ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 13 โต้กลับ (1)
ร่างหนึ่งที่สวมชุดผ้าป่านสีเทาและหมวกไม้ไผ่ทรงกรวยครอบคลุมอยู่บนศีรษะพุ่งลึกเข้าไปในป่าข้างหน้า เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจนร่างของเขาดูบิดเบี้ยวและมีชั้นแสงสีเทาอ่อนล้อมรอบกายเขา
มีเพียงใยแมงมุมสามหัวพลจักษ์เท่านั้นที่สามารถตรวจจับลมปราณของเขาได้
จากการสังเกตของหลี่ฉางโซ่ว คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง เขามีกระบี่ยาวห้อยอยู่ที่เอวของเขา ซึ่งน่าจะเป็นอาวุธชั้นยอดของนักฆ่า กลิ่นอายลมปราณอำมหิตแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างของคนผู้นั้น หลี่ฉางโซ่วเดาว่าเขาน่าจะคุ้นเคยกับการลิ้มเลือดจากปลายกระบี่ของเขาเป็นอาจิณ
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก หลี่ฉางโซ่วก็ปรับลมปราณของเขา และความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาก็พุ่งพรวดขึ้น
จากนั้นไม่นานผู้แอบซุ่มโจมตีก็เร่งความเร็วขึ้นเช่นกัน และปรับมุมการพุ่งไปข้างหน้าเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนแล้วว่าเป้าหมายย่อมเป็นหลี่ฉางโซ่วอย่างไม่ต้องสงสัย
ฝ่ายตรงข้ามครองขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหกหรือเจ็ด แต่คู่ต่อสู้อาจจะปกปิดฐานพลังบางส่วนของเขาเอาไว้ เมื่อใคร่ครวญรอบคอบแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คาดว่าคนผู้นั้นน่าจะครองขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นหก
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามไล่ตามเขาด้วยวิชาเวทเคลื่อนไหวร่างกาย แทนที่จะบินไปในอากาศซึ่งมีประสิทธิภาพกว่ามาก เช่นนั้นแล้วโอกาสที่คนผู้นั้นจะเป็นเซียนจึงต่ำอย่างยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว เขาถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลกๆ แล้ว
แล้วเขาจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี
ปฏิกิริยาแรกของหลี่ฉางโซ่วคือ การใช้เวทหลบหนี แต่เขาพลันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาถูกติดตามมาสองวันแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายมีวิธีการบางอย่างที่จะติดตามรอยเขาได้
หากเขาหลบหนีในครั้งนี้ แล้วอีกฝ่ายก็ยังคงไล่ล่าเขาอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นไปอีก
เวลานี้ห่างออกไปห้าลี้ในป่าที่อยู่เบื้องหน้าหลี่ฉางโซ่วนั้น เป็นที่ราบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยวัชพืชพิษแต่ไร้ซึ่งต้นไม้ใดๆ เลย…
หลี่ฉางโซ่วร่ายเวทเบาๆ แล้วใช้มือขวาหยิบตุ๊กตากระดาษเล็กๆ สองตัวออกมาพร้อมกับรวบรวมลมปราณในร่างของเขาขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือขวานั้นอย่างเงียบๆ
“ธาตุทั้งห้าหมุนเวียน คุณธรรมผันเปลี่ยน ไร้สิ่งกีดขวาง ดินคงอยู่กลาง!”
จากนั้นก็มีรอยคลื่นยับย่นปรากฏขึ้นบนพื้นสีเทาขาวด้านหน้าเขา หลี่ฉางโซ่วได้ใช้เวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อหนีอีกครั้ง แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะจมลงไปในดิน มือขวาของเขาก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้า…
คนที่ไล่ตามติดหลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว เขาเพิ่งพ่นเสียงเย้ยหยันอย่างเย็นชา พลันสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในใต้พื้นดิน ฉับพลันนั้นเขาก็พุ่งกระโดดไปยังทิศทางนั้นและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกเพื่อไล่ตามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากนั้นไม่นานหลี่ฉางโซ่วก็ปรากฏกายออกมาท่ามกลางวัชพืชพิษ เขาสะบัดสิ่งสกปรกที่เป็นพิษออกจากร่างกาย รวมทั้งแมลงพิษสองสามตัวออกไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะยกมือขึ้นเปลี่ยนยันต์ไล่ไอพิษสองสามแผ่นของเขา และจากนั้นเขากำลังจะพุ่งร่างไปข้างหน้าต่อ…อีกครั้ง
ฉับพลันเสียงของกระบี่ปรากฏขึ้นด้านข้างเขา!
ลำแสงเย็นวาบที่เร็วกว่าเสียงกระบี่ถึงสามในสิบส่วนก็พุ่งตรงไปที่ลำคอของหลี่ฉางโซ่ว!
หลี่ฉางโซ่วหันกลับในทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอันใดเขาก็ถูกกระบี่เวทเรียวยาวฟันเข้าที่ลำคอของเขา ทำให้ศีรษะถูกตัดขาดจนปลิวกระเด็นไปข้างหลังทันที!
ขณะนั้นก็มีควันสีเทาเบาบางลอยวนไปมา แล้วผู้บำเพ็ญซึ่งสวมหมวกไม้ไผ่ทรงกรวยและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเทาก็พลันปรากฏกายขึ้นที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่ว ผ้าโปร่งคลุมหน้าหมวกไม้ไผ่ของเขาก็พลิ้วสะบัดขึ้นไปเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของเขา
“หึ! ความจริงแล้วเจ้าก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลามากเลย…เจ้า!”
จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักคำพูดกลางคัน แล้วมองลงไปที่ขาของเขาในทันใด
‘หลี่ฉางโซ่ว’ ผู้ซึ่งไม่มีศีรษะไปแล้วกำลังเอื้อมมือคว้าจับข้อเท้าของคนผู้นี้!
ทว่า ‘นักฆ่า’ ผู้นี้ตอบสนองได้อย่างฉับพลัน เขากำลังจะกระโดดถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ สายตาของเขาก็พร่ามัวทันทีราวกับว่าพละกำลังทั้งหมดถูกสูบออกไปจากร่างของเขา พลังเวทและลมปราณก็พลันเหือดหายไปจนเขาไม่อาจทำอันใดได้อีก!
บัดนั้นเองที่เจ้านักฆ่าเห็นหม้อใบเล็กที่เปิดอยู่บนเข็มขัดของร่างศพที่รั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้บนพื้นด้านล่าง…
เขาหลงกลแล้ว!
ทันใดนั้นคนผู้นี้พยายามกัดปลายลิ้นของเขาอย่างสุดกำลังเพื่อคงสติสัมปชัญญะเอาไว้ แต่ในเวลานี้เขากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะกัดปลายลิ้นของเขา กระทั่งสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวมากยิ่งขึ้น!
นี่คือ…โอสถเซียนที่พัฒนาขึ้นเอง: ผงยาเซียนระทวย
ในขณะนั้นก็มีลำแสงลอยเหนือศีรษะของนักฆ่าและวนเวียนอยู่ตรงนั้น มันคือร่มกระดาษที่ดูแปลกตาซึ่งประดับประดาไปด้วยศิลาวิญญาณหลากสีต่างๆ
ร่มกระดาษนี้ได้หมุนไปช้าๆ และศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่ในนั้นก็บินออกไปโดยรอบ ทันใดนั้นก็มีค่ายกลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบห้าจั้งปรากฏขึ้นมาโดยอาศัยร่มคันนั้นเป็นฐาน และจู่ๆ พื้นที่แห่งนี้ที่เป็นอาณาเขตของค่ายกลก็แยกออกจากพื้นที่โลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง!
นี่คือ…อาวุธเวทที่พัฒนาขึ้นเอง: ฉัตรเปลี่ยนสวรรค์
จากนั้นร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน เขายกมือขวาขึ้นและตุ๊กตากระดาษทั้งสามก็ขยายตัวออกไปตามสายลม และเพียงได้ยินเสียงกระทบกันสองครั้ง พวกมันก็กลายร่างเป็นรูปลักษณ์ของหลี่ฉางโซ่ว แล้วพุ่งตัวออกไปข้างหน้าทันที
นี่คือ…เคล็ดวิชาเต๋า: ตุ๊กตากระดาษมนุษย์
ก่อนที่ตุ๊กตากระดาษมนุษย์จะพุ่งไปถึงนักฆ่า หลี่ฉางโซ่วก็ยกหน้าไม้สั้นทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาด้วยมือซ้าย แล้วเหนี่ยวไกหน้าไม้ทันทีอย่างไม่ลังเล ลูกศรไม้พุ่งออกไปแทงทะลุยังบริเวณหว่างคิ้วของนักฆ่าอย่างแม่นยำ!
หมวกไม้ไผ่ปลิวขึ้นไป เผยให้เห็นใบหน้าตอบเหี่ยวแห้งน่าเกลียดน่ากลัว
ทันทีที่ลูกศรพุ่งทะลุหน้าผากของนักฆ่า ทำให้แสงในดวงตาของเขาจางลงแล้วดับหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…”
นักฆ่าส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดออกมาในนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต แต่เสียงนั้นก็ไร้พลังใดๆ และในทันทีที่อ้าปากออก ตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็พุ่งเข้ามาถึงร่างเขา
ตุ๊กตากระดาษตัวที่หนึ่งได้ตอกตะปูยาวสามเล่มเข้าไปในสามตำแหน่งคือ บน กลาง และล่างของจุดตันเถียนของนักฆ่า เพื่อกักสามดวงจิตอมตะเจ็ดปราณวิญญาณเซียนของเขาเอาไว้!
ตุ๊กตากระดาษตัวที่สองใช้สองมือสร้างตราประทับ มันอ้าปากแล้วพ่นเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาปกคลุมร่างของนักฆ่าเอาไว้อย่างสิ้นเชิง และเปลวเพลิงเหล่านี้ก็แผดเผาร่างเนื้อของนักฆ่าทันทีจนดูราวกับว่ามันเป็นมนุษย์หิมะที่ถูกสาดด้วยน้ำเดือดแล้วละลายกลายเป็นของเหลวอย่างรวดเร็วก่อนจะสลายไป
ชายผู้นี้ไม่อาจแม้แต่จะทันได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ…
ส่วนตุ๊กตากระดาษตัวที่สามก็ร่ายเวทคาถาคำสาปปราบวิญญาณพิฆาตปีศาจ ทันใดนั้นก็มีคลื่นพลังควบแน่นขึ้นเบื้องหน้ามัน ซึ่งสั่นสะเทือนเงาวิญญาณที่อยู่ในเปลวเพลิงสีขาวจนสลายหายไปในทันที!
เวลานี้วิญญาณของนักฆ่าก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงแค่เศษซากร่างหนึ่งหยิบมือที่ยังคงถูกเปลวเพลิงสีขาวเผาผลาญอยู่
ทว่าหลี่ฉางโซ่วยังคงไม่อาจวางใจได้ จึงโยนไข่มุกเม็ดโตเท่าหัวแม่มือออกไป ไข่มุกนั้นหมุนไปรอบๆ และดูดซับแสงสีเขียวอ่อนเอาไว้โดยไม่หลงเหลือร่องรอยวิญญาณของนักฆ่าเลยแม้แต่น้อย
หลี่ฉางโซ่วถือหน้าไม้ทองสัมฤทธิ์ เดินไปข้างหน้าแล้วหยิบไข่มุกขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ในเวลานี้ เปลวเพลิงสีขาวมอดดับลงไปแล้ว มีเพียงเถ้าถ่านสีดำราวกำมือหนึ่ง กระบี่ครึ่งเล่ม และแหวนวงเล็กๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้นดินเท่านั้น
ในเวลาต่อมาตุ๊กตากระดาษทั้งสามตัวก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพร้อมกัน ก่อนจะเริ่มท่องพระคัมภีร์ออกมาอย่างรวดเร็ว