ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 140 สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 140 สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วอารมณ์ดียิ่งขณะที่ขับเคลื่อนเมฆไปตามภูเขาและแม่น้ำสีเขียว เขามั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
เขามองขึ้นไปเห็นแก่นแท้ของโลกและเห็นแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ทันใดนั้น แสงอาทิตย์อันอบอุ่นก็สาดประกายเข้ามาสู่ความมืดมิดในโลกบรรพกาลที่ชั่วร้ายและ หนาวเย็น ยะเยือก…
“ข้าไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว”
ในที่สุดเขาก็พบผู้ยิ่งใหญ่ที่หายากแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกถึงโคลงกวีเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ถึงข้าจะมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก แต่ข้าก็ยังไม่อาจผ่อนคลายได้”
การมาถึงของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้นจริงๆ ตอนนี้เขามีที่คุ้มภัย ทั้งยังได้ใกล้ชิดกับผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แกนหลักทั้งสองคนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ตั้งแต่ผู้นำไปจนถึงหัวหน้าศิษย์ใหญ่ พวกเขาทั้งหมดล้วนมุ่งเน้นการฝึกฝนและแสวงหาความเงียบสงบ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้เตือนหลี่ฉางโซ่ว เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่ฉางโซ่วอวดดีและลำพองใจเพียงเพราะเป็นที่โปรดปรานของจอมปราชญ์เทพ…
ความจริงแล้ว คำเตือนของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับหลี่ฉางโซ่วมากนัก
ทันทีที่กล่าวคำอำลากับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ หลี่ฉางโซ่วก็นึกถึงบางสิ่งถึงคำถามในใจ…
เหตุใดข้าถึงได้รับความโปรดปรานจากท่านจอมปราชญ์เทพ
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆ คิดเรื่องนี้ช้าๆ
ประการแรก สำนักเทพทะเลทักษิณเกี่ยวข้องกับกรรมของศาลสวรรค์และเผ่าพันธุ์มังกร นั่นเป็นเหตุให้ท่านจอมปราชญ์เทพประทับใจเขา
ประการที่สอง การกระทำก่อนหน้านี้ของเขาน่าจะสอดคล้องกับเจตนาของท่านบรรพชนจอมปราชญ์เทพ ดังนั้น จึงช่วยเขาปกปิดความลับแห่งสวรรค์และมอบหมายภารกิจให้เขานำเผ่ามังกรเข้าสู่สวรรค์ และเมื่อรวบรวมเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มคิดทุกอย่างออกมาช้าๆ เขาย่อมรู้ดีว่าท่านบรรพชนจอมปราชญ์เทพ ย่อมไม่ได้ให้ประโยชน์แก่เขาเพียงเพราะหน้าตาหล่อเหลาของเขาเท่านั้น
หากต้องการได้รับการปกป้องจากท่านจอมปราชญ์เทพ เขาก็ต้องพิสูจน์ว่าเขามีคุณค่าบางอย่าง เขาต้องยึดมั่นหลัก ‘สงบสติอารมณ์ด้วยนิรกรรม และหลีกเลี่ยงกรรม’ ตลอดเวลา!
พร้อมกันนั้น เขาจะลดระดับการฝึกฝนของเขาไม่ได้ การเข้าบรรลุสู่เซียนจินเท่านั้น จึงจะทำให้เขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานให้กับท่านจอมปราชญ์เทพและได้รับพรคุ้มครองจากท่านต่อไป
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นแล้วถอนหายใจในใจ…
ผู้ที่เก่งกาจในการใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือก็ย่อมกลายมาเป็นเครื่องมือเสียเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางที นี่อาจเป็น…ความหมายเดียวกับ ‘ชายหนุ่มที่สังหารมังกร และในที่สุดเขาก็กลายเป็นมังกรร้าย’
จากนั้น เขาก็แผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปสำรวจหุบเขาและพบว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆร่อนลงไปในป่าเบื้องล่าง
จากนั้นเขาจึงแอบหนีลงไปใต้ดินเงียบๆ และรีบกลับไปที่สำนักตู้เซียน
ในความเห็นของหลี่ฉางโซ่ว การเกาะต้นขา[1]ของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีเพียงสองความหมายที่แท้จริงเท่านั้น…
ประการแรก การหลอกลวงโกหกครั้งก่อนของเขา บัดนี้ได้กลายเป็นจริงแล้ว
เวลานี้ เขามีความมั่นใจมากขึ้นในเรื่องของสำนักเทพทะเลทักษิณ
ประการที่สอง มันช่วยบรรเทาความกดดันส่วนใหญ่ของ ‘ผู้บำเพ็ญเหวินจิง’ โดยตรง
ตราบใดที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวในทะเลทักษิณและกล่าวว่า ‘จงอย่าทำร้ายมนุษย์’ เขาก็จะสามารถบรรลุผลของการปาหินก้อนเดียวได้นกทั้งฝูง
เผ่าพันธุ์มังกรคงคิดว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏตัวเพื่อสนับสนุนสำนักเทพทะเลทักษิณ ดังนั้น จึงเป็นการยืนยันว่าสำนักเทพทะเลทักษิณอยู่ภายใต้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
เผ่าพันธุ์มังกรจะให้ความสำคัญกับสำนักเทพทะเลมากขึ้น ความเย่อหยิ่งของพวกเขา สถานการณ์ในยามนี้ และความหวาดกลัวในใจของพวกเขาจะทำให้พวกเขายึดฟางเส้นสุดท้ายนี้ คือสำนักเทพทะเล เอาไว้ให้แน่น
ส่วนผู้บำเพ็ญเหวินจิงในสำนักบำเพ็ญประจิมก็น่าจะกลัวและระมัดระวังมากขึ้นเล็กน้อย
แต่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เพียงกล่าวว่า ‘จงอย่าทำร้ายมนุษย์’ และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ทว่าสิ่งที่เขาหมายถึงจริงๆ แล้วคือ…‘เจ้าสามารถไปต่อสู้ที่ทะเลได้’
คำพูดเหล่านั้นช่างสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจริงๆ
เมื่อสำนักบำเพ็ญประจิมมาบรรจบกันที่ทางตะวันตกของดินแดนเทวะทักษิณ พวกเขาก็ควรให้ความสนใจด้วยเช่นกัน
หากหลี่ฉางโซ่วคิดถูก สำนักบำเพ็ญประจิมจะยังคงวางแผนต่อต้านเผ่ามังกรเพื่อรวมเผ่ามังกรเข้าสู่อำนาจของสำนักบำเพ็ญประจิม
เขาต้องวางแผนให้ดี และใช้สำนักเทพทะเลทักษิณอย่างเต็มที่ และเมื่อเผ่ามังกรรู้สึกว่าพวกเขาไม่อาจแบกรับภาระได้อีกต่อไป เขาจะดึงเผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์และทำให้พวกเขาเป็นผู้สนับสนุนองค์เง็กเซียน…
การต่อสู้เพื่อเผ่ามังกรกับสำนักบำเพ็ญประจิมก็ไม่ต่างจากการแย่งเนื้อจากปากเสือ
ก่อนหน้านี้มีเพียงการดำรงอยู่ที่คลุมเครือขององค์เง็กเซียนที่อยู่เบื้องหลังหลี่ฉางโซ่วเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น
แต่เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วยังมีท่านจอมปราชญ์เทพที่ช่วยเขาปกปิดความลับแห่งสวรรค์ ยิ่งกว่านั้น ท่านยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมปราชญ์เทพทั้งหก…จากนั้น ตราบใดที่หลี่ฉางโซ่วระมัดระวังมากพอและไม่เปิดเผยร่างที่แท้จริงของเขา หรือไปเกี่ยวข้องกับกรรมของเขา เขาก็สามารถลองดูได้!
และเรื่องนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นภารกิจแรกที่ได้รับจากท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพ
มันเป็นเรื่องของความปลอดภัยในอนาคตและชะตากรรมของเขา เขาจึงต้องระวังและทำทุกอย่างทุ่มสุดตัว
เดิมที หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วกลับมาที่สำนัก เขาอยากชวนอาจารย์และศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาไปกินปลาและกบหม้อไฟเพื่อเฉลิมฉลอง และจากนั้นจึงศึกษาแผ่นหยกทั้งสองชิ้นที่เขาเพิ่งได้รับมาใหม่…
ทว่าบัดนี้ เขารู้สึกว่า…
อันดับแรก เขาจะระบุปฏิกิริยาที่เป็นไปได้ของสำนักบำเพ็ญประจิม และเผ่ามังกร จากนั้น เขาจะจัดทำแผนสำหรับอนาคตเพื่อติดตามผลและป้องกันให้สอดคล้องกับความเป็นไปได้เหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
บัดนี้ เขาใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย เดินทางใต้ดินจนกระทั่งอยู่ห่างจากสำนักตู้เซียนไปหกร้อยลี้
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนทิศทางของเขาแล้วขับเคลื่อนเมฆไปด้วยความเร็วในระดับที่ศิษย์ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีจะทำได้ แล้วจึงค่อยๆ กลับมาอย่างช้าๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้แปลกเกินไป เหมือนกับยามเมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ยินว่าเขาเป็นเจ้าสำนักเทพทะเลทักษิณในทะเลทักษิณ เขาก็แปลกใจเล็กน้อย…
และตราบใดที่ท่านบรรพชนไท่ชิงพยายามปกปิดความลับแห่งสวรรค์ให้เขา และตราบใดที่อ๋าวอี่ไม่เปิดเผยตัวเอง แล้วผู้ใดจะคิดว่าเจ้าสำนักเทพทะเลทักษิณจะเป็นเพียงศิษย์น้อยที่ยังไม่กลายเป็นเซียนของสำนักตู้เซียน
สำหรับหลี่ฉางโซ่วแล้ว การปลอมตัวถือเป็นหนึ่งในไพ่ไม้ตายของเขาอยู่แล้ว
มันสำคัญมากขึ้น
ในเคหาสน์ถ้ำของผู้บำเพ็ญเหวินจิงใกล้กับภูเขาหลิงซานในดินแดนเทวะประจิม ในขณะนี้ มียุงที่ส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้นในขณะที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงปรากฏตัวขึ้นจากอากาศบางๆ และยืนอยู่ต่อหน้าสาวใช้สองคนที่กำลังฝึกฝนอยู่
สาวใช้ทั้งสองล้วนตัวสั่น และก่อนที่พวกนางจะลืมตาขึ้น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงก็ปัดมือของนางผ่านไป และสาวใช้ทั้งสองก็กลายเป็นขี้เถ้าถ่านไปในทันที…
“ราชินีผู้นี้ อนุญาตให้เจ้าฝึกฝนหรือ” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกล่าวอย่างเย็นชาในขณะที่นางสะบัดชุดกระโปรงของนางออก และเสียงน้ำก็ดังขึ้นในถ้ำที่พำนักนั้น
เมื่อชุดกระโปรงผ้าโปร่งของนางร่วงหลุดลง นางก็ลงนั่งแช่อยู่ในสระสมบัติที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่หนาแน่นออกมา จากนั้นนางก็ใช้นิ้วเรียวบีบดอกบัววิญญาณ และค่อยๆ ฉีกกลีบดอกบัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย…
นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสงบสติอารมณ์สำหรับนาง
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว คนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานนั้น มักมีมุมวิปริตเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นไม่เข้าใจ
“ช่างเป็นมังกรเจ้าเล่ห์อะไรเช่นนี้! ลูกๆ ของข้าล้วนถูกพวกเจ้าสังหารหมดสิ้น! แล้วพวกเจ้ายังกระจายขี้เถ้าของพวกเขาอีกด้วย!” ผู้บำเพ็ญเหวินจิงกัดฟันก่นด่าสาปแช่ง แต่แล้ว นางก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาทันทีหลังจากนั้น
นางแค่ทำได้ไม่ค่อยดีนัก
คราวนี้ รองเจ้าสำนักได้มอบประชากรสามในสิบส่วนของเผ่าของนางให้เป็นกำลังพล ซึ่งนางได้จัดกลุ่มหนึ่งในสิบส่วนเพื่อซุ่มโจมตีมังกรกลุ่มนั้น โดยคิดว่าจะชนะ
แต่นางไม่คาดคิดว่า อีกฝ่ายจะเจ้าเล่ห์มากขนาดนี้ ในขณะที่นางเองก็ยังไม่มั่นคงพอ!
และแน่นอนว่า ในฐานะราชินี นางย่อมรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อกำลังพลของนางต้องตกตายไปเป็นจำนวนมาก
แต่แม้นางจะเจ็บปวดใจ แต่ตราบใดที่ยังมีกลุ่มยุงโบราณในเผ่ายังอยู่รอบๆ พวกมันก็จะสามารถไปเกิดใหม่ได้อีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี…
และขณะที่นางค่อยๆ ระงับโทสะลง จู่ๆ ร่างนั้นก็ปรากฏขึ้นในใจของผู้บำเพ็ญเหวินจิงอีกครั้ง…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู!
นางอยากกัดฟันและระบายโทสะออกมา แต่ใจนางก็สั่นอยู่สองสามครั้ง แล้วนางก็นึกถึงความกลัวและความสิ้นหวังในใจที่นางรู้สึกเมื่อเสวียนตูมาหานาง…
ไม่อาจยั่วยุบุรุษผู้นี้ได้
“ต่อไปนี้ ข้าต้องหลีกเลี่ยงเผ่าพันธุ์มนุษย์…สำนักเทพทะเลทักษิณได้รับความคุ้มครองจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจริงๆ”
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงพึมพำเบาๆ ขณะฉีกกลีบดอกบัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโปรยมันลงไปกระจัดกระจายอยู่ในน้ำ
ดูเหมือนว่านางจะต้องเริ่มต้นที่เผ่าพันธุ์มังกรนั่นเอง
โดยปกติแล้ว นางจะต้องสร้างผลงานภายในหนึ่งพันปีหลังจากที่ได้รับบัญชาจากรองเจ้าสำนัก
เผ่าพันธุ์มังกรมีจุดอ่อนใดที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือไม่
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงบีบนิ้วคาดคำนวณของนางขณะที่ดวงตาเรียวรีดุจดวงตาหงส์ของนางหรี่ลงเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์อย่างยิ่งทว่าก็ดูเย็นชาเช่นกัน
นางจำได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกองทหารเซียนมังกรวารีบางคนไม่พอใจกับเผ่าพันธุ์มังกรและได้ก่อการกบฏขึ้น…
“ข้าน่าจะใช้เรื่องนี้ได้”
ในขณะเดียวกันนั้น บริเวณทะเลทางตอนใต้ของเมืองอันสุ่ย
“เขาคือปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจริงๆ หรือ”
“แน่นอนว่าย่อมเป็นความจริง เขาคือปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจริงๆ เราต้องไม่ทำอะไรผิดพลาดอย่างเด็ดขาด”
“แล้วหากเขาคือปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู พวกเราเผ่ามังกรยังจะต้องอาศัยพวกเขาอีกหรือ”
“ใช่แล้ว การถวายเครื่องสักการะของสำนักเทพทะเลทักษิณมีไว้สำหรับหลานชายอ๋าวอี่”
และในขณะนั้น อ๋าวอี่ก็กำลังนั่งอยู่ในรถม้ามังกรวารี เขาอดหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของบรรดาท่านลุงมังกรที่อยู่ข้างนอก
ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีคนที่ไม่ต้องการจะยอมรับความจริงว่าเผ่ามังกรนั้นอ่อนแอ ในขณะที่พวกเขายังคงฝืนดื้อรั้นและถึงกับบอกว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักไร้ความสามารถอีกด้วย
อ๋าวอี่เห็นว่ากรามของท่านลุงทั้งสองของเขาที่กำลังตะโกนเสียงดังที่สุดในขณะนี้ เงียบเสียงลงในทันทีที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูปรากฏตัวขึ้น!
และไม่นานหลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็สะบัดศีรษะขณะปัดความคิดอื่นใดออกไปแล้วหยิบกระจกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาและเปิดใช้งานกฎห้ามของมัน
หึ่ง
ทันใดนั้น กระจกพลันสั่นสะเทือนสองสามครั้ง แล้วก็มีภาพปรากฏขึ้นทันที
อ๋าวอี่เห็นพระบิดาของเขานอนอยู่บนบัลลังก์ปะการังสีรุ้ง นอกจากนี้ ยังมีสาวใช้ทะเลที่อ่อนโยนหลายคนคอยโบกพัด นวดขา นวดไหล่ และรินชา
ความจริงแล้ว ราชามังกรแห่งทะเลบูรพายังเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรทั้งหมดในยามนี้ เขานั่งครองสี่คาบมหาสมุทรและมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน ชีวิตของมังกรก็เป็นเฉกเช่นนี้…
มันน่าเบื่อ ไร้สาระ และเต็มไปด้วยโลกีย์ และชั่วขณะนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแหบแห้งแก่ชราของมังกรเฒ่าผู้หนึ่งที่ด้านข้างกล่าวเสียงสั่นเทาว่า “ฝ่าพระบาท องค์ชายมีพระประสงค์จะขอพบฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ”
แน่นอนว่า อ๋าวอี่รู้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชาของพระบิดาของเขา ท่านนายกรัฐมนตรีเต่า
“อ๋าวอี่” ราชามังกรลืมตาขึ้นและโบกมือให้สาวใช้ทะเลออกไปก่อนจะมองไปที่อ๋าวอี่ผ่านกระจกสมบัติ
ในขณะนั้น อ๋าวอี่ก็นั่งตัวตรงและเกร็งตัวในทันที
“พระบิดา ลูกมาแล้วขอรับ!”
“อืม ข้ารู้เรื่องการต่อสู้ที่นั่นแล้ว เจ้าทำได้ดีจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อ๋าวอี่ก็หยักยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณคำแนะนำของท่านปรมาจารย์ ลูกไม่กล้ารับเป็นผลงานของลูกหรอกขอรับ”
ราชามังกรแห่งทะเลบูรพาแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าฝึกฝนบนเกาะเต่าทองอย่างไม่เสียเปล่าจริงๆ
“หลังจากนี้ อย่าลืมไปวางสมบัติไว้ในสำนักเทพทะเลเพิ่มเติมด้วย เผ่าพันธุ์ของเราไม่อาจติดหนี้บุญคุณของเทพทะเลได้”
“ลูกเข้าใจขอรับ ลูกจะจัดการในภายหลังขอรับ พระบิดา ลูกอยากกลับไปที่เกาะเต่าทองเพื่อฝึกฝนต่อแล้วขอรับ”
“ไปเถิด” ราชามังกรแห่งทะเลบูรพาโบกมือของเขา “ลูกชายของข้าขยันขันแข็งเช่นนี้ ข้าย่อมมีความสุขยิ่งนัก เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องสมบัติล้ำค่า ข้าจะจัดการให้เอง”
ทันใดนั้น กระจกสมบัติก็สั่นเล็กน้อย และภาพในกระจกก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หลังจากนั้น อ๋าวอี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเก็บกระจกทันที
เขากลัวจริงๆ ว่าพระบิดาของเขาจะถามเขาว่าใครเป็นเจ้าสำนักเทพทะเล หากพระบิดาถามออกมาจริงๆ อ๋าวอี่ไม่รู้ว่าเขาจะตอบหรือไม่…
“พี่ฉางโซ่ว ข้าควรจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
พระราชโองการของราชามังกรทะเลบูรพาก็ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่ออ๋าวอี่ออกจากกองทัพและกลับไปที่เกาะเต่าทอง ทหารกลุ่มหนึ่งของกองทหารมังกรเซียนวารีก็ถือกล่องขนาดใหญ่หลายสิบกล่อง และมุ่งหน้าไปยังเมืองอันสุ่ย
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่อยู่ภายในกล่อง เพราะเพียงแค่ตัวกล่องเอง…ก็เป็นวัสดุล้ำค่าที่หายากมากสำหรับการหลอมอาวุธแล้ว…
และแล้ว สองวันต่อมา ในหอสมบัติหลิงเซียวที่ว่างเปล่าในวังสวรรค์เก้าชั้น แม่ทัพตงมู่ก็ขับเคลื่อนเมฆและตรงไปที่หอสมบัติหลิงเซียว จากนั้นเขาก็โค้งคำนับใต้แท่นสูงและกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เราได้ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับสำนักเทพทะเลเมื่อสองวันก่อนแล้ว”
“โอ้?”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูง วางพู่กันหยกในมือลงทันที
“ว่ามา”
“มีคนวางแผนต่อต้านเผ่ามังกรและใช้สำนักเทพทะเลทักษิณเพื่อซุ่มโจมตีกองกำลังของเผ่าพันธุ์มังกร แต่พวกเขาก็ถูกเผ่ามังกรซุ่มโจมตี ข้าไม่อาจสรุปและตรวจสอบผู้ที่วางแผนต่อต้านเผ่าพันธุ์มังกรได้ แต่ในเวลานั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือสัตว์ร้ายในสมัยโบราณคือ ยุงดำปีกโลหิต ซึ่งในเวลานี้ มีเพียงสองเผ่าเท่านั้นที่สามารถปล่อยยุงดำปีกโลหิตจำนวนมากได้…”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวพยักหน้าช้าๆ แน่นอนว่า เขาเข้าใจว่าแม่ทัพตงมู่หมายถึงผู้ใด
“พวกเขาไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาของพวกเขาเลย” บุรุษหนุ่มในชุดขาวถอนหายใจอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาเป็นประกาย แล้วหันกลับมาเผยสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้งตามปกติในทันที
“หลังจากนี้ ท่านแม่ทัพตงมู่ช่วยนำรางวัลไปมอบให้สำนักเทพทะเลด้วย
ณ เวลานี้ เนื่องจากพระราชโองการยังไม่เสร็จ ข้าจึงทำได้เพียงปลอบใจด้วยสิ่งเหล่านี้…แขกมิ่งมิตรของข้า…”
องค์เง็กเซียนหยุดและบีบนิ้วคาดคำนวณ จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะกล่าวว่า “แม่ทัพตงมู่ ในครั้งนี้ อย่าลืมถามชื่อและนามเต๋าของเทพแห่งท้องทะเลมาด้วย”
แม่ทัพตงมู่ตกตะลึง และในขณะนั้นเอง เขาก็ตระหนักว่าเขายังไม่รู้จักชื่อของเทพแห่งท้องทะเลด้วยซ้ำ
เขาไม่รู้แม้กระทั่งนามแฝงของเขา
[1] เกาะต้นขา รับใช้ใกล้ชิด ประจบสอพลอ