ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 141.1 นักพรตเต๋าฉางเกิง (1)
เมื่อมังกรต่อสู้กับยุง ข้าก็กลายเป็นผู้ชนะ?
เมื่อเขาได้รับของขวัญขอบคุณจากเผ่าพันธุ์มังกร หลี่ฉางโซ่วก็มีความรู้สึกไม่เข้าใจชัดเจนนัก
เมื่อได้รับรางวัลจากองค์เง็กเซียนที่แม่ทัพตงมู่นำมาให้ ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจบางอย่าง…
แม้เผ่ามังกรจะชนะการต่อสู้ครั้งนั้น แต่เขาก็ได้ประโยชน์จากมันอย่างแท้จริง เขาสูญเสียพลังเซียนไปเพียงเล็กน้อย สำนักเทพทะเลประสบความสูญเสียบางส่วนจากซากปรักหักพังของวิหาร แต่เขาก็ได้รับสมบัติที่กองซ้อนทับกันจนเป็นเนินเขาย่อมๆ
เขายังได้รับความรู้สึกขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจจากเผ่าพันธุ์มังกรและทำให้ได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก
ข้ายอมรับข้อตกลงนั้นกี่ครั้งแล้ว
ช่างมันเถิด จะดีกว่าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สมบัติส่วนใหญ่ที่วังมังกรมอบให้เขานั้น เป็นศิลาวิญญาณล้ำค่า ในขณะที่สมบัติจำนวนเล็กน้อยเป็นสมบัติบริสุทธิ์ เช่น ปะการัง ไข่มุก และไข่มุกราตรี
แน่นอนว่า วังมังกรจะไม่ให้สิ่งของทั่วไปเช่นทองและเงิน วัสดุล้ำค่า ศิลาวิญญาณ และกล่องขนาดใหญ่หลายสิบกล่องนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วได้รวบรวมมาทั้งหมด
มีถุงเก็บสมบัติมากมาย และพวกมันก็จะมีบทบาทสำคัญที่นี่!
หลี่ฉางโซ่วได้มอบสมบัติส่วนหนึ่งให้กับทูตเทวะเผ่าพ่อมดของหมู่บ้านสงที่ทำงานดี และส่วนหนึ่งถูกสงวนเอาไว้สำหรับการสร้างวิหาร
หลังจากนี้…
หลี่ฉางโซ่วคิดว่าตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองตัวน่าจะยุ่งและใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนในการนับและจัดการสมบัติเหล่านี้ รวมถึงวางกฎห้ามเวทลึกลับเอาไว้
แต่ด้วยความช่วยเหลือนี้…
ค่ายกลป้องกันที่ครอบคลุมของยอดเขาหยกน้อย และแผนพเนจรของยอดเขาหยกน้อยจะรุดหน้าไปได้อย่างมาก!
ถึงเขาจะมีขาใหญ่ให้เกาะ แต่ก็ยังต้องวิ่ง[1] แค่กๆ…
แม้บัดนี้ เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ยิ่งใหญ่แล้ว แต่เขาก็ยังต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินทั้งหมดอย่างเต็มที่
เมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น หากเอาแต่ลำพองใจในตนเองมากเกินไป ก็จะมีสิ่งเลวร้ายในระดับต่างๆ เกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วความสุขในใจของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นความกังวลใจ และในไม่ช้า เขาก็เริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบกาย ทว่าขณะที่หลี่ฉางโซ่วเพิ่งนับสมบัติจากวังมังกรเสร็จ จู่ๆ ก็มีร่างที่คุ้นเคยมาถึงถนนสายเดิมที่คุ้นเคยอีกครั้ง และร่างนั้นก็เข้าไปในประตูวิหารที่คุ้นเคย…
แน่นอนว่า ผู้ที่มาคือ แม่ทัพตงมู่ ซึ่งนำรางวัลขององค์เง็กเซียนมามอบให้เขาด้วย
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วจึงทำตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวหนึ่งให้กลายเป็นชายชราผมขาวร่างผอมบางในชุดคลุมสีขาว ซึ่งถือแส้หางม้าในขณะที่เขารีบไปพบแม่ทัพตงมู่
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วได้แนะนำแม่ทัพตงมู่ให้ไปที่วิหารเทพทะเลแห่งอื่นบ้าง แต่ก็เหมือนเขาพูดให้คนหูหนวกฟังจริงๆ
และหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ภาพวาดภูเขาและแม่น้ำแล้ว แม่ทัพตงมู่ก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านเทพแห่งท้องทะเลปลอดภัยดีหรือไม่”
“ข้าปลอดภัยดี ขอบคุณแม่ทัพตงมู่ที่เป็นห่วง”
“คราวนี้ มิใช่เพียงแต่ข้าคนเดียวที่ห่วงกังวล ทว่ายังรวมถึงองค์เง็กเซียน ซึ่งเป็นผู้ส่งข้ามาที่นี่ด้วย”
“โอ้? ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย!”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะเผยรอยยิ้มแย้มที่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
แม่ทัพตงมู่แอบมองดูเขาอย่างลับๆ และด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาเห็น…ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเทพแห่งท้องทะเล เขาก็รู้สึกว่าเวทและอักขระเต๋าของอีกฝ่ายนั้น แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…เทพแห่งท้องทะเลจะสงบและมีความมั่นใจมากกว่าเมื่อก่อนมาก เส้นผมสีขาวของเขานุ่มสลวยและเปล่งประกายสว่างขึ้นมาก
“ท่านเทพแห่งท้องทะเล นี่คือของรางวัลจากฝ่าบาท”
แม่ทัพตงมู่ถือกำไลเวทจัดเก็บสองวงแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อพระราชโองการของศาลสวรรค์ยังไม่ปรากฏขึ้น ตำแหน่งเทพจึงยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง และครั้งนี้รางวัลจึงยังไม่ได้สูงค่าสมเกียรตินัก”
หลี่ฉางโซ่วก้าวเดินไปข้างหน้าและรับสมบัติมาไว้ในมือ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาทประทานรางวัลให้พ่ะย่ะค่ะ!”
และทันทีหลังจากนั้น เขาก็หยิบกำไลขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจขณะก้าวออกไปข้างหน้าอีกครึ่งก้าว แล้วมอบมันให้แม่ทัพตงมู่
“แม่ทัพตงมู่…”
“เพ้ย! ท่านทำอันใดกัน!! ข้าไม่ใช่เทพเซียนเช่นนั้นสักหน่อย!”
แม่ทัพตงมู่ขมวดคิ้วและโบกมือทันทีในขณะที่หลี่ฉางโซ่วยิ้มและยื่นมันให้ พลางกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณที่ท่านช่วยกล่าวถึงด้านดีๆ ของข้าต่อฝ่าบาท แม่ทัพตงมู่ โปรดรับมันไว้ ถือเป็นของขวัญแต่งงานจากข้าด้วยเถิดขอรับ…”
เมื่อมองจากด้านนอกภาพวาดแล้ว จะเห็นร่างทั้งสองต่างผลักกัน และปฏิเสธของขวัญของกันและกัน ซึ่งต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่พวกเขาจะหยุดลง
และสุดท้ายจึงส่งผลให้รางวัลขององค์เง็กเซียนถูกแบ่งกันไปคนละครึ่งหนึ่ง
ทันใดนั้น หัวใจของหลี่ฉางโซ่วพลันกระตุกขึ้นมาทันที แต่เขารู้ว่ามันเป็นขั้นตอนที่จำเป็น จากการสนทนาระหว่างเขาและเฒ่าเทพจันทรา เขาจึงได้เรียนรู้ว่าเทพเซียนแห่งศาลสวรรค์สนใจเรื่องเช่นนั้น…
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็คุยกันมากมายในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
หลี่ฉางโซ่วไม่รีบร้อนที่จะพูดคุยเรื่องเผ่าพันธุ์มังกรกับองค์เง็กเซียน เพราะไม่เพียงแต่ว่า มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้องค์เง็กเซียนรู้สึกสงสัยหากเขาพูดมากเกินไป
แม่ทัพตงมู่พยายามหาหัวข้อต่างๆ ที่จะพูดคุย เขาต้องการรู้ชื่อของหลี่ฉางโซ่ว ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่อยไปอย่างแนบเนียนโดยที่เขาไม่ทันสังเกต
จนในท้ายที่สุด แม่ทัพตงมู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถามออกไปโดยตรงว่า “สหายเต๋า ในเมื่อพวกเราต่างก็เป็นมิ่งมิตรสนิทกันแล้ว ข้าช่างไร้มารยาทนักที่ยังไม่เคยถามไถ่นามของสหายเต๋าเลย ไม่รู้ว่าข้าจะขอทราบนามของสหายเต๋าได้หรือไม่ จะได้ง่ายขึ้นเมื่อข้ารายงานต่อฝ่าบาท” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มทันทีแล้วพยักหน้า ทว่าจิตใจของเขากำลังเต้นแรงเร็วขึ้นทันที
ข้าควรจะบอกชื่อจริงของข้ากับเขาดีหรือไม่
มันจะไม่เป็นการเสียเปล่าที่ท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ช่วยเหลือและพยายามปกปิดความลับให้ข้าหรือ
แม้แผนในอนาคตของเขาจะยังคงเป็นการไปทำงานในศาลสวรรค์และติดตามองค์เง็กเซียนและบรรพชนไท่ชิง แต่ภาพลักษณ์ของเซียนอาวุโสจะถูกทำลายทันทีที่องค์เง็กเซียนรู้ว่าเทพแห่งท้องทะเลทักษิณมิใช่ปรมาจารย์ที่ปกปิดตัวตนอยู่ แต่เป็นเพียงศิษย์น้อยเท่านั้น และเมื่อนั้น ศักดิ์ศรีของเขาจะถูกทำลายและลดลงอย่างมากจนไม่สะดวกที่เขาจะทำสิ่งใดได้อีก
สำหรับองค์เง็กเซียนแล้ว หลี่ฉางโซ่วยังคงอยากจะรักษาความลึกลับบางอย่างเอาไว้ต่อไป…
ทันใดนั้น หัวใจของเขาพลันเต้นผิดจังหวะอย่างกะทันหัน
ข้าชื่อหลี่ฉางโซ่ว ถ้าเช่นนั้น…
หลี่ฉางโซ่วจึงยิ้มและกล่าวว่า “ความลึกลับนั้นอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ และวิญญาณเซียนย่อมได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยตัวเอง
ข้าไม่มีเจตนาอื่นใด ข้าเพียงปรารถนาจะแสวงหาความเป็นอมตะ”
แม่ทัพตงมู่ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สหายเต๋า นามเต๋าของท่านซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและถามว่า “ท่านปรมาจารย์มู่ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีกี่นามเรียกขานในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”
แต่แม่ทัพตงมู่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามีเพียงแค่สองคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินไม่ใช่หรือ
คนหนึ่งคือ ปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพ บรรพชนไท่ชิง และอีกคนหนึ่งคือ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู…
ถูกต้อง เป็นความจริงที่ว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูไม่มีนาม หรือนามเต๋าใดๆ และนอกจากนี้ เขามีภาพวาดไท่จี๋เพื่อระงับไม่ให้เกิดกรรมและให้แน่ใจว่าโชคของเขาเองจะไม่ได้รับผลกระทบ
เป็นไปได้หรือไม่ที่ปรมาจารย์สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะไม่ชอบใช้ชื่อ
หากเป็นเช่นนั้น โดยปกติแล้ว พวกเขาจะบอกชื่อของพวกเขากับคนอื่นอย่างไร
ข้าคือนักพรตเต๋าระดับกลางในอารามเสวียนตู ข้าคือลมกรดน้อยแห่งอารามเสวียนตู ข้าคือจอมโฉดน้อยของบรรพชนไท่ชิง…
แม่ทัพตงมู่สงบสติอารมณ์และยิ้มขื่น “แต่ข้าควรจะรายงานเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทอย่างไรเล่า”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ยามนี้ข้าจะตั้งนามเต๋าให้ตัวเอง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเรียกตัวเองว่า นักพรตเต๋าฉางเกิง รบกวนท่านแม่ทัพตงมู่โปรดทูลฝ่าบาทเช่นนี้เถิด”
“ได้!”
จู่ๆ แม่ทัพตงมู่ก็แย้มยิ้มแล้วโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วพร้อมกล่าวอำลาให้หลี่ฉางโซ่วก่อนจะรีบกลับไปที่วังสวรรค์เพื่อรายงาน
[1] ถึงจะมีขาใหญ่ให้เกาะ แต่ก็ยังต้องวิ่ง หมายถึงรอให้คนช่วยเหลืออย่างเดียวไม่ได้ คือถึงจะมีผู้สนับสนุนยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ยังต้องทำงานด้วยตัวเองอย่างเต็มที่