ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 142.1 ตกลงมาจากฟากฟ้า
เจ้าตัวบัดซบผู้นี้…
หลี่ฉางโซ่ว ผู้ซึ่งจดจ่ออยู่กับการปรับแต่งรากฐานค่ายกลได้แบ่งสมาธิของเขาเพื่อให้ความสนใจส่วนหนึ่งในการเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของศิษย์ลาดตระเวนภูเขา
คนผู้นั้นโชคร้ายยิ่ง เขาได้เห็นการแต่งหน้าที่ ‘เลวร้าย’ ของเทพธิดาน้อยทั้งสามในสำนัก ซึ่งมาจากสองรุ่นที่แตกต่างกัน โชคดีที่ทุกคนล้วนยับยั้งตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ก่อให้เกิดการนองเลือด พวกนางเพียงแค่ข่มขู่ ทำให้ศิษย์ผู้นั้นหวาดกลัวเท่านั้น
จิ่วจิ่วสุดโหด ผู้ดุร้ายอย่างยิ่ง นางถือคทาหนามแล้วยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนเก้าอี้ไม้ และเพียงพริบตาเดียว นางก็ทำให้ศิษย์ลาดตระเวนผู้นั้นสั่นสะท้าน ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งล้างหน้าจนสะอาดหมดจดแล้ว เผยท่าทางเคร่งขรึมพร้อมส่งสายตาเย็นชา ยิ่งทำให้ศิษย์ลาดตระเวนรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก…
โชคดีที่หลิงเอ๋อร์แย้มยิ้มแล้วก้าวออกมาทันเวลา
นางใช้ข้ออ้างในการขอให้ศิษย์ชายผู้นั้นออกไปโดยให้เขาทำปฏิญญาต้าเต๋าพันคำ แล้วสตรีทั้งสามจึงปล่อยศิษย์ชายไป…
ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์ผู้มาที่ยอดเขาหยกน้อยก็ส่งมอบยันต์หยกสื่อสารออกไป
ทว่าก่อนจะจากไป เขาก็ได้รับบาดแผลทางจิตใจครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำลายจินตนาการก่อนหน้านี้ของเขาออกไปมากมาย
เป็นสารถึงอาจารย์อีกแล้ว…
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในขณะนั้น สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าทันทีที่อาจารย์ได้รับสารนั้นแล้ว จะต้องเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นอย่างแน่นอน
จากนั้น โดยที่หลี่ฉางโซ่วไม่ต้องส่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไป ผู้บำเพ็ญสตรีที่โดดเด่นสามคนในห้องศาลานั้นก็ได้เริ่มดูยันต์หยกสื่อสารแล้ว
หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “มีสารอีกฉบับถึงอาจารย์ใช่หรือไม่”
จิ่วจิ่วถามด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่ฉีหยวนมีสหายนอกสำนักหรือไม่ เขาไม่น่าจะออกไปจากภูเขามาก่อน”
และเมื่อไร้คนภายนอก โหยวฉินเสวียนหย่าก็หยุดทำตัวเย็นชา
“อาจารย์อาจิ่วจิ่ว หากอาจารย์ลุงฉีหยวนไม่ได้ออกจากสำนักเลย แล้วท่านจะรับศิษย์พี่ฉางโซ่วและศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์มาอยู่กับท่านได้อย่างไรเจ้าคะ” “ใช่แล้ว ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ไม่ได้เข้ามาในสำนักในช่วงระหว่างพิธีเปิดรับศิษย์”
จิ่วจิ่วลูบคางเรียบสะอาดของนางก่อนจะเผยความคิดเห็นออกมาว่า “ข้าอยากเปิดดู…”
ทว่าโหย่วฉินเสวียนหย่ารีบกล่าวถามว่า “เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ”
แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ หลิงเอ๋อร์ก็คว้าพู่กันและกระดาษออกมาเพื่อจดบันทึกเนื้อหาจากยันต์หยกสื่อสารเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อหาหายไปหลังจากเปิดสารยันต์หยกสื่อสารนั้น นางลงมือทำทุกอย่างจริงๆ!
ในใจของเขา หลี่ฉางโซ่วยกย่องหลิงเอ๋อร์และให้คะแนนเต็มสิบคะแนนสำหรับความพิถีพิถันในรายละเอียดเล็กน้อยของนาง
หลังจากนั้น หลิงเอ๋อร์ก็เริ่มตรวจสอบหากฎห้ามของสารยันต์หยกสื่อสารนั้นอย่างระมัดระวัง เผื่อว่าจะมีเวทและคาถาชั่วร้าย…หลี่ฉางโซ่วจึงเพิ่มคะแนนให้นางไปอีกสิบคะแนน
ทว่าหลังจากที่หลิงเอ๋อร์ตรวจสอบอีกครั้ง นางก็ถ่ายเทพลังศักดิ์สิทธิ์ของนางเข้าไปในยันต์หยกโดยตรง และไม่ได้ใช้เซียนเสิ่นที่อยู่เคียงข้างนางอย่างเต็มที่เพื่อให้ช่วยตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของยันต์หยกเพิ่มเติม…ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงหักคะแนนของนางออกหกสิบคะแนน
ในขณะนั้นก็มีลำแสงปรากฏขึ้นบนยันต์หยก และรวมตัวกันเป็นสาร แล้วทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงเข้าไปในหูของหลิงเอ๋อร์
“คัดลอกพระสูตรมั่นคง สี่สิบจบ” หลิงเอ๋อร์พลันเอามือก่ายหน้าผากทันที ขณะที่คร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงรีบหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนข้อความลงบนนั้นอย่างรวดเร็ว
ในห้องลับใต้ดิน ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปเพื่อตรวจสอบ ‘ตัวอักษรที่สว่างขึ้น’ ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยุดปรับแต่งรากฐานค่ายกล ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากด้านหลังโต๊ะของเขา
แน่นอนว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้ เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่มันไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเขามากนัก
ขณะนี้ ในศาลาข้างกรงสัตว์วิญญาณ จิ่วจิ่วได้เริ่มอ่านสารโดยออกเสียงอย่างไร้อารมณ์
“ถึงศิษย์เจียงอวี่และฉีหยวน
ย้อนกลับไปในยามนั้น เพื่อแสวงหาโอกาสฝ่าทะลวงสู่เซียนเทียน ข้าจึงออกจากโลกบรรพกาลและเดินทางไปยังโลกหลักในมหาตรีสหัสโลกธาตุ บัดนี้ ในที่สุดข้าก็ได้บรรลุสู่เซียนเทียนเมื่อสองสามวันก่อน หลังจากที่ข้าเสถียรขอบเขตพลังของข้าให้มั่นคงแล้ว ข้าจะกลับสำนักไปหาพวกเจ้าทั้งสองคน
เมื่อนับคำนวณปีแล้ว ข้าไม่ได้พบพวกเจ้าทั้งสองมาเกือบพันปีแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองปลอดภัยดีหรือไม่ ในตอนนั้น ข้าสนใจแต่ความก้าวหน้าของตัวเองเท่านั้น มาบัดนี้ จึงรู้สึกผิดกับพวกเจ้ายิ่งนัก แต่ข้าไม่มีทางเลือก ข้าไม่อาจอยู่กับพวกเจ้าและสหายศิษย์ของพวกเจ้าในสำนักได้ ข้ารู้สึกอับจนหนทางจริงๆ ข้าจะพูดคุยกับพวกเจ้าอีกครั้งเมื่อกลับไปที่ภูเขา บัดนี้ เมื่อฝ่าทะลวงด่านแล้ว ข้าจึงมีความสุขมากและขอให้สหายเซียนเสิ่นผู้หนึ่งนำสารมาส่งถึงพวกเจ้าสองคน ถนอมตัวด้วย ท่านอาจารย์” และชั่วพริบตานั้น หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามว่า “นั่นคือท่านอาจารย์ของอาจารย์ใช่หรือไม่ ท่านเป็นปรมาจารย์ใหญ่ของศิษย์พี่และข้าหรือ”
ทว่าจิ่วจิ่วพึมพำด้วยความฉงน “อาจารย์ป้าคนนี้ชื่ออะไรนะ ข้าจำได้ว่าเคยพบท่านสองสามครั้งเมื่อเข้ามาในสำนักครั้งแรก”
โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเบาๆ ว่า“นามเต๋าของปรมาจารย์ของอาจารย์ลุงฉีหยวน คือหลินเจียงซานเหริน นางติดอยู่ในเซียนเสิ่นมานานกว่าสามพันปีและไม่อาจทะลวงผ่านได้ นางตัดสินใจออกไปฝึกฝนเมื่อพันปีที่แล้ว และหลังจากนั้น นางก็ขาดการติดต่อกับสำนัก”
จิ่วจิ่วกะพริบตาและแอบยิ้มอย่างลับๆ “เสี่ยวหยา เจ้าสืบมาได้กระจ่างชัดเจนยิ่ง”
“นะ นี่ไม่ใช่…”
โหย่วฉินเสวียนหย่าตื่นตระหนกครู่หนึ่ง แต่นางก็รีบสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างสงบว่า “อาจารย์อาคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิษย์พี่ฉางโซ่ว จึงเป็นเหตุให้ข้าหาข้อมูลเรื่องนี้”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเอ่ยเสียงพร้อมด้วยท่าทีมั่นใจ แต่จิ่วจิ่วก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย…
เมื่อหลิงเอ๋อร์คัดลอกสารเสร็จแล้ว นางก็ถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “เรื่องนี้คงยุ่งยากน่าดู”
“ยุ่งยากอะไรหรือ” จิ่วจิ่วกล่าวว่า “นี่ย่อมเป็นเรื่องดี เราควรช่วยกันสร้างกระท่อมมุงจากหลังใหม่ริมทะเลสาบดีหรือไม่”
หลิงเอ๋อร์ฝืนยิ้มแห้ง
นางไม่อาจกล่าวได้ว่า ในที่สุดศิษย์พี่ของนางก็ตัดสินใจแทนอาจารย์ของนางได้แล้ว และสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการบนยอดเขาหยกน้อยได้
หากปรมาจารย์ใหญ่เซียนเทียนกลับมา การจัดเตรียมและไพ่ไม่ตายของศิษย์พี่บางอย่างก็อาจถูกเปิดเผย…
และทันใดนั้น ก็มีคนเอ่ยว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ท่านปรมาจารย์จะได้กลับมาที่ภูเขา ศิษย์น้องหญิงอย่ากังวลไปเลย”
ฉับพลันเท่านั้นผู้บำเพ็ญสตรีทั้งสามคนต่างก็หันไปมองที่ทางเดินในป่านอกประตู แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเข้ามา
หลี่ฉางโซ่วเดินช้าๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มธรรมดาและรองเท้ายาวสีเทา เส้นผมยาวของเขาถูกมัดเป็นทรงผมทั่วไปเหมือนเหล่าศิษย์ในสำนัก เขาแย้มยิ้มเผยให้เห็นถึงความสนิทสนมธรรมดา
ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและตะโกนว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”
“ใช่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงแสดงท่าทีให้หลิงเอ๋อร์มองดู ซึ่งดูเหมือนจะหมายถึง ‘สบายใจไร้กังวล’
หลี่ฉางโซ่วพลันกล่าวตรงไปที่ประเด็นทันทีว่า “ตามเนื้อหาในสาร ท่านปรมาจารย์ใหญ่ไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงและอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่มีปัญหา ข้าไม่รู้ว่าท่านปรมาจารย์ใหญ่จะมีนิสัยอย่างไร ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ต่ออาจารย์และหอไป่ฝาน”
เมื่อหลี่ฉางโซ่วกล่าวเช่นนั้น จิ่วจิ่ว โหย่วฉินเสวียนหย่าและหลิงเอ๋อร์ต่างก็ปฏิกิริยาตอบสนองทันที
ในสารนั้น เซียนเทียนคนใหม่ได้ระบุว่านางรู้สึกผิดต่อศิษย์ทั้งสองคน
หากหลินเจียงซานเหรินกลับมาและพบว่าหนึ่งในศิษย์ทั้งสองคนนั้นหายไป ส่วนอีกคนก็ถูกทำลายรากฐาน…
จิ่วจิ่วกอดอกแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าจำได้ว่าเคยได้ยินจากศิษย์พี่ห้าว่าอาจารย์ของข้าและอาจารย์ของศิษย์พี่ฉีหยวนค่อนข้างสนิทกัน เจ้าอยากให้ข้าขอให้อาจารย์ช่วยเพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องกันหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “หากเราไม่อาจหยุดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากการต่อสู้ได้ การเตรียมการเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย”
“หือ? เจ้าหมายความอันใดกัน” จิ่วจิ่วรู้สึกสับสน
หลิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านปรมาจารย์ใหญ่เซียนเทียน…ไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่”
“วางใจเถิด”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ในช่วงไม่นานมานี้ ท่านอาจารย์ไม่ได้รู้สึกหดหู่ใจมากนัก แต่เขายังไม่อาจผ่านพ้นมันไปได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อท่านปรมาจารย์ใหญ่กลับมา ท่านอาจารย์ก็ย่อมจะมีพลังวังชามากขึ้นอย่างแน่นอน”
จู่ๆ จิ่วจิ่วที่อยู่ด้านข้างก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ยังลังเลที่เอ่ยออกมา
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วได้เริ่มเตรียมการแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้น จิ่วจิ่วจึงกลืนคำพูดที่ขึ้นมาถึงลำคอของนางลงไป
“หลังจากนี้ ข้าจะไปแจ้งท่านอาจารย์ หากท่านไม่เข้าปิดด่านอยู่”
จิ่วจิ่วพึมพำกับตัวเอง
ในความประทับใจของนาง อาจารย์ป้าคนนี้ดุร้ายยิ่ง แต่นางดูเป็นคนใจดีที่ไม่พูดอะไรมาก…
เมื่อฉีหยวนอ่านสารนั้นแล้ว เขาก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจออกมาพร้อมด้วยน้ำตาไหลอาบแก้มของเขา มือเหี่ยวย่นของเขาสั่นขณะที่อ่านซ้ำ
“ดีจริงๆ ที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่”
ทว่าในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วไม่มีความประทับใจที่ดีต่อท่านปรมาจารย์ใหญ่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นผู้นั้น
เขารู้สึกว่ามันไม่มีความรับผิดชอบเลยที่ทิ้งศิษย์สองคนซึ่งยังไม่ได้กลายเป็นเซียนอยู่ในสำนักตามลำพัง
อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจเอ่ยอะไรในเรื่องนี้ได้ เขาเป็นแค่รุ่นเยาว์ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกและความไม่พอใจของเขาเองจะไม่ส่งผลต่อการตัดสินของเขาในเรื่องนี้
ตราบใดที่อาจารย์ไม่ตำหนิท่านปรมาจารย์ใหญ่ เขาก็จะเคารพเขา
แม้การกลับมาของปรมาจารย์ใหญ่ จะทำให้ยอดเขาหยกน้อยที่เคยเรียบง่าย กลายเป็นซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
แต่ท้ายที่สุด เขาก็ยังคงเป็นเซียนเทียนขั้นสูงคนใหม่…
หลี่ฉางโซ่วมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่อาจมองเห็นความผิดปกติในตัวเขาได้ และเขาจะสามารถปกปิดความผิดปกติของยอดเขาหยกน้อยได้ดีขึ้นในอนาคต
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วยังได้แนะนำท่านอาจารย์ฉีหยวนของเขาว่าอย่าบอกท่านปรมาจารย์ใหญ่ในเรื่องเกี่ยวกับเขา
หลังจากที่ฉีหยวนครุ่นคิดในเรื่องนี้ เขาก็เห็นด้วยอย่างจริงจัง
ในช่วงสองสามวันถัดมา หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์กำลังยุ่ง ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าและจิ่วจิ่วก็กำลังช่วยงานกันบนยอดเขาหยกน้อยเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วสร้างกระท่อมมุงจากอีกหลังด้วยตัวเองใน ‘ฮวงจุ้ยแดนสมบัติ’ ซึ่งอยู่ถัดจากกระท่อมมุงจากของท่านอาจารย์
หลังจากที่จิ่วอูได้ยินเรื่องนั้น เขาก็ไปหาจิ่วซือ…และร่วมการสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องนี้
จากนั้นไม่นาน ฉีหยวนก็เฝ้ารออยู่ที่ประตูสำนักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อรอคอยที่จะได้เห็นท่านอาจารย์ของเขา และตั้งตารอทั้งวันทั้งคืน
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วแอบปรับเปลี่ยนการจัดเตรียมบางอย่างและตรวจสอบสิ่งที่เขาทำในยอดเขาหยกน้อย และหยุดการปรับแต่งรากฐานค่ายกล
และในวันที่หกของการสร้างกระท่อมมุงจากหลังใหม่เสร็จสิ้น จิ่วจิ่วก็นั่งบนน้ำเต้าและบินมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์…“นางกำลังมา กำลังมาแล้ว! ผู้อาวุโสสองคนในสำนักได้รับปรมาจารย์ของเจ้าแล้ว ศิษย์พี่ฉีหยวนอยากให้พวกเจ้ารีบไปที่ประตูสำนัก!”
ในเวลานั้น หลานหลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังตกแต่งกระท่อมมุงจาก และหลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังวาดภาพอยู่ริมทะเลสาบต่างเห็นพ้องกัน และไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆและพาหลานหลิงเอ๋อร์ไปประตูสำนักด้วยกัน
หลินเจียงซานเหรินกลับมาจากมหาตรีสหัสโลกธาตุ หากนางมาจากทิศตะวันออก นางก็จะผ่านมาทางตะวันออกของทะเลบูรพาสถานที่ที่เรียกว่าพรมแดนของโลก
เมื่อไม่กี่วันก่อน สำนักตู้เซียนได้ส่งผู้อาวุโสสองคนไปยังพรมแดนของโลกเพื่อรอ และพวกเขาก็ได้รับนางมาได้ในขณะนี้
ผู้อาวุโสทั้งสองคนไม่เพียงแต่ไปต้อนรับเท่านั้น แต่พวกเขาส่วนใหญ่ยังรับผิดชอบในการตรวจสอบตัวตนของนางและถามหลินเจียงซานเหรินเกี่ยวกับการกระทำของนางด้านนอกสำนักเพื่อตรวจสอบว่านางถูกปีศาจหรือความชั่วร้ายครอบงำหรือไม่ หรือมีเจตนาร้ายหรือไม่
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในนิกาย…
ดังนั้นฉีหยวน หลี่ฉางโซ่ว หลานหลิงเอ๋อร์ จิ่วจิ่ว และจิ่วอูจึงรออีกครึ่งวันที่ประตูสำนักก่อนที่พวกเขาจะเห็นเมฆสีขาวลอยมาช้าๆ จากทิศทางตะวันออกเฉียงใต้
บนก้อนเมฆนั้น ผู้อาวุโสสองคนที่มีผมสีขาวยืนอยู่ข้างหน้าโดยมีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูแปลกๆ เล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
หลิงเอ๋อร์ยืนเขย่งมองอย่างสงสัย แต่ขอบเขตพลังของนางต่ำเกินไปและพลังปราณสัมผัสรับรู้ของนางไม่อาจตรวจจับได้ในเวลานี้
หลังจากนั้นไม่นาน พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของฉีหยวนก็พบร่างเบื้องหลังผู้อาวุโสทั้งสอง
ฉีหยวนตื่นตกใจแล้วรีบบินขึ้นไปต้อนรับพวกเขา
ผู้อาวุโสทั้งสองล้วนมองหน้ากันและก้าวออกไปเพื่อเผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านหลังพวกเขา…
นั่น…
“นี่คือท่านปรมาจารย์ใช่หรือไม่”
หลิงเอ๋อร์เอียงศีรษะ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ที่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสองมิใช่ชายชราที่มีผมสีขาวและมีใบหน้าเหี่ยวย่น
แต่กลับเป็นเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงหุ้มเกราะต่อสู้และถือดาบสีโลหิตเป็นรูปประตู ใบหน้าของนางค่อนข้างสวยมีเสน่ห์…
เด็กสาว?
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองที่จิ่วอู ในขณะที่จิ่วอูกะพริบตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงยืนยันว่า “นี่คือปรมาจารย์ใหญ่ของเจ้า หลินเจียงซานเหริน เรียกขานว่า เจียงหลินเอ๋อร์
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงัน
อันที่จริงรูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่สำคัญ
แต่สิ่งสำคัญคือ หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงในตัวเด็กสาวที่มีอายุหลายพันปีผู้นี้
นางเป็นนักฆ่าที่โหดเหี้ยมมากและเขาคิดว่านางอาจจะต้องต่อสู้ดิ้นรนระหว่างความเป็นตายมาก่อนจะสามารถฝ่าโซ่ตรวนของนางได้ บัดนี้ นางอยู่ตรงกันข้ามกับพระสูตรนิรกรรมของสำนักตู้เซียนแล้ว
หลี่ฉางโซ่วรู้ในทันทีว่าดาบยาวบนหลังของหญิงสาวนั้นเปื้อนเลือดและวิญญาณของสิ่งมีชีวิตมากมาย มีรอยแผลเป็นจางๆ ที่ลำคอขาวของนางซึ่งขยายไปถึงกระดูกไหปลาร้าของนาง…
ในขณะนั้น ปรมาจารย์สาวน้อยไม่ได้แสดงท่าทีดุร้ายใดๆ นางเพียงแค่มองไปที่นักพรตเต๋าชราฉีหยวน ในขณะที่ดวงตาดุจดวงดาวของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเห็นฉีหยวนที่ดูชราแล้ว นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ นางอยากแกล้งศิษย์คนรองผู้นี้นัก…
ทว่ารอยยิ้มของนางเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ขมวดคิ้วขณะที่นักพรตเต๋าชราฉีหยวนคุกเข่าลงบนเมฆแล้วตะโกนว่า “ศิษย์ฉีหยวน! ขอน้อมพบท่านอาจารย์ขอรับ!”
และทันทีที่ปรมาจารย์สาวน้อยกล่าวออกมา น้ำเสียงของนางก็ดังกระจ่างใสชัดเจน
“เจ้ารอง เจ้า…ทำผิดพลาดระหว่างข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างไร เจ้ากลายเป็นเซียนจั๋วได้อย่างไร แล้วเจ้าใหญ่อยู่ที่ใด เหตุใดนางไม่ออกมาหาข้าด้วย”
ฉีหยวนอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอย่างไร
ในขณะนั้น ความยากลำบากกว่าแปดถึงเก้าร้อยปีได้กลายเป็นความเจ็บปวดของเซียนจั๋วที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจของฉีหยวน…
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ความสามารถ รากฐานเต๋าของข้าถูกทำลาย ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงเป็นเซียนจั๋วเพื่อความอยู่รอดเท่านั้นขอรับ!”
ในชั่วพริบตานั้น อากาศภายนอกประตูสำนักก็ดูเหมือนจะเย็นลงไปในทันที
ในขณะที่เจตนาสังหารแสนเย็นชาก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของปรมาจารย์สาวน้อย
นางคว้าด้ามดาบที่ด้านหลังด้วยมือเล็กๆ ที่มีแผลเป็นของนาง แต่แล้วก็ค่อยๆ คลายออกและวางมือไว้ข้างด้านข้างกายนาง
“เจ้ารอง ผู้ใดทำให้เป็นเช่นนี้ บอกข้ามา”