ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 150 ศิษย์พี่เผยแผ่พระสูตรมั่นคงอีกครั้ง
เมื่อนักพรตเต๋าหลังค่อมจากไป สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนและมืดมนอย่างยิ่ง
เดิมทีเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักบำเพ็ญประจิม แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้และผิดหวัง
จ้าวกงหมิงรู้สึกขบขัน
เขาทุบตีคนอื่นและปล่อยให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายอีกฝ่ายก็ต้องขอโทษเขา…
ความรู้สึกนั้นไม่เคยมีมาก่อนและแปลกใหม่
จ้าวกงหมิงมองดูผ้าที่ถูกโยนลงพื้น แล้วคว้าแม่แบบของคำสาบานก่อนจะยัดมันเข้าไปในแขนเสื้อ
ของดี…
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเล็กน้อยนั้น จ้าวกงหมิงก็กล่าวว่า “สหายเต๋า คนผู้นั้นจากไปแล้ว ออกมาเถิด”
หลี่ฉางโซ่วตกลงผ่านพลังปราณส่งเสียง หลังจากนั้นไม่นาน นักพรตเต๋าผมขาวก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมด้วยการสีหน้าท่าทีดูมีเมตตา ก่อนหน้านี้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย…
นักพรตเต๋าเฒ่ายกมือขึ้นและสร้างชั้นของม่านพลังเซียนขึ้นมา จากนั้นเขาก็โค้งคำนับจ้าวกงหมิง และกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านผู้อาวุโสช่วยข้าไว้ขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวกงหมิง หัวเราะทันที “ข้าโจมตีหรือเจ้าแนะนำข้าให้โจมตี? ข้าควรจะขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าจากภัยพิบัติในวันนี้!”
“ผู้อาวุโส ท่านกล่าวอันใด…”
“อย่าพูดกับข้าแบบนั้น ผู้อาวุโส ข้า จ้าวกงหมิง ชอบคบหาสหาย เจ้ากับข้าสามารถเรียกกันและกันว่าสหายเต๋า!”
หลี่ฉางโซวเงียบงัน
แต่ข้าไม่อยากเป็นสหายกับท่าน ข้าไม่อยากให้ท่านเข้ามายุ่งเรื่องของข้า ข้าไม่คิดจริงใจกับท่าน
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดจริงใจออกมาดังๆ แบบนี้
หลี่ฉางโซ่วไม่เพียงไม่เอ่ยออกมาดังๆ เท่านั้น แต่เขายังเผยรอยยิ้มจริงใจออกมาด้วยขณะกล่าวกับจ้าวกงหมิงว่า “ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ ข้าจะเรียกท่านว่า สหายเต๋า”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวกงหมิงหัวเราะอีกครั้ง “เทพทะเล เจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ว่าแต่สหายเต๋า เจ้ามีนามเต๋าว่าอย่างไร”
ขณะที่เขากล่าว จ้าวกงหมิงก็โค้งคำนับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์และแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ
“ข้าชื่อ จ้าวกงหมิง ผู้บำเพ็ญของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย”
“ข้า…” หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาไม่สามารถเรียกตัวเองว่า ‘คุณชายเสวียนตู’
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูได้รับการเรียกขานเช่นนั้นมาหลายปีแล้ว และนั่นเป็นเหตุผลที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เรียกตัวเองเช่นนั้น…ไม่มีเหตุผลที่หลี่ฉางโซ่วจะใช้ชื่อนั้น…
ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะละอายหรือไม่
“เรียกข้าว่า นักพรตเต๋าฉางเกิง” “โอ้? ฉางเกิง? เป็นชื่อที่ดี”
จ้าวกงหมิงแอบหาข้อมูล แต่เขาไม่พบสิ่งใดเลย แต่เขาสัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าในแผนภาพไท่จี๋ ซึ่งยืนยันว่าเขามาจากสำนักของเขา
“สหายเต๋าฉางเกิง วิธีที่เจ้ากล่าวถึงก่อนหน้านี้นั้นน่าวิเศษยิ่ง เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ข้าก็คิดว่ามันชาญฉลาดทีเดียว”
จ้าวกงหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าขอใช้แผนการเช่นนี้ในอนาคตด้วยได้หรือไม่” หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอนาคตเทพแห่งโชคนี้จะยังกรรโชกผู้อื่นต่อไป… “หากท่านไม่บอกผู้ใดในเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ก็ย่อมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า นี่เป็นเพียงมาตรการรับมือกับยามคับขันเท่านั้น…
…ท่านผู้อาวุโส ท่านยังต้องพิจารณาให้รอบคอบ การทำเช่นนี้…จะทำลายชื่อเสียงของท่านได้ง่ายดาย” ““ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวกงหมิงหัวเราะร่าเต็มที่
เขาหยิบพัดออกมาแล้วเติมไข่มุกสีขาวลงไปก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้เมื่อร่างจำแลงของเจ้าตาย ไข่มุกนี้เป็นของขวัญขอบคุณจากข้า สหายเต๋า หากท่านปฏิบัติต่อข้าพเจ้าเหมือนสหายของท่าน ก็ขอได้โปรดรับมันไว้ด้วย อย่าปฏิเสธเลย!”
“นี่…ขอบคุณ สหายเต๋า”
หลี่ฉางโซ่วหยิบพัดกระดาษอีกครั้ง ทว่าครั้นเมื่อเขาหยิบศิลา หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะ
ศิลาวิญญาณโกลาหล!
มันเป็นสมบัติที่หาพบได้ในทะเลโกลาหลเท่านั้น สามารถใช้เพื่อปรับแต่งสมบัติวิญญาณโฮ่วเทียน นอกจากนี้ยังสามารถหลอมเป็นไข่มุกปราณบรรพกาลได้อีกด้วย สามารถใช้ลอบโจมตี ทำลายรากและปราณวิญญาณได้…
ข้ากล่าวได้เพียงว่าปรมาจารย์จ้าวใช้ชีวิตตามนามของเขาจริงๆ ความจริงแล้ว เขาตั้งใจมอบสมบัติวิญญาณโฮ่วเทียน
หากเขาได้พบกับสมบัติเต๋า ศิษย์สายในของสำนักสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย เขาย่อมจะไม่…
แน่นอนว่า หากเป็นไปได้อย่าไปพบเขาจะดีกว่า
“สหายเต๋า” หลี่ฉางโซ่วกล่าวจริงจัง “ข้าได้บอกความลับเพียงส่วนหนึ่งแก่ท่านว่า สำนักเทพทะเลได้บุญมากมายจากเครื่องสักการะก่อนหน้านี้ ความจริงแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้สำนักเทพทะเลเติบโตได้”
“โอ้?” จ้าวกงหมิงไพล่มือไปไว้ด้านหลังและสบถพร้อมด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋า ท่านซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้จริงๆ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่คุ้นเคยกับท่าน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้…”
“นั่นก็จริง” จ้าวกงหมิงโบกมือและพยักหน้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “เมื่อถึงในเวลานี้ ย่อมถือได้ว่าเราฝ่าฟันปัญหามาด้วยกัน และได้สร้างมิตรภาพแน่นแฟ้นขึ้นแล้ว!”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน
แน่นอนว่า มันเป็นกลอุบายเดียวกับศิษย์น้องหญิงเป็นพิษ
แต่ศิษย์น้องหญิงเป็นพิษชอบคิดเรื่องไร้สาระ ส่วนผู้ยิ่งใหญ่นี้มีทักษะการฝึกฝนสูงและมีสมบัติอยู่กับตัวเขา ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างไม่เป็นกันเอง
ช่างมันเถิด ข้าไม่อาจพูดอะไรได้มากไปกว่านี้อีก นอกจากนี้ คงลำบากหากข้าถูกลากเข้าไปในวิหารเพื่อสร้างพันธมิตร
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วได้นำฉบับปกแข็งของ ‘หลักคำสอนแห่งเทพทะเล’ ซึ่งเดิมมอบให้กับองค์เง็กเซียน และมอบให้จ้าวกงหมิง
เนื้อหาหลักคำสอนนี้คือโน้มน้าวให้มนุษย์ทำความดีและวิธีทำให้บรรดาศิษย์มีชีวิตที่ดี
หากเหล่าเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยสามารถเรียนรู้จากของสิ่งนั้นได้ เมื่อพวกเขารวมเครื่องสักการะเข้าด้วยกัน หลี่ฉางโซ่วก็จะได้รับบุญบางอย่างเช่นกัน
นี่เป็นเรื่องดี และจะไม่ก่อให้เกิดกรรมใด ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่แล้วมันจะเกิดขึ้นในมหาตรีสหัสโลกธาตุ
จ้าวกงหมิงถือตำราหลักคำสอนและอ่านอย่างระมัดระวังชั่วขณะหนึ่ง และในไม่ช้าเขาก็เข้าใจและถอนหายใจ
“เป็นความจริงที่สำนักบำเพ็ญเต๋าควรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่เป็นปัญหาที่ผู้บำเพ็ญในยุคของเรามักมองข้าม ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ สหายเต๋า ในที่สุดข้าก็เข้าใจมันในวันนี้ บุญเครื่องสักการะนี้ไม่มีความสำคัญ เมื่อกลับไปแล้วข้าจะบอกให้พวกเขาฝึกฝนอย่างสงบสุข” หลี่ฉางโซ่วกล่าว
แน่นอนว่า เป็นไปตามที่คาดไว้ เขาไม่รู้ว่าจ้าวกงหมิงกำลังคิดอะไรอยู่…
เมื่อจ้าวกงหมิงออกจากวิหารเทพทะเล เขามีจิตใจที่สูงส่งและมีความสุขในขณะที่ร่างกายของเขาเปล่งลมปราณผันผวนออกมา
หลี่ฉางโซ่วคำนวณอย่างรอบคอบและสรุปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
นักพรตเต๋าหลังค่อมถูกยับยั้งโดยปฏิญญาต้าเต๋า และเขายังคงมีจ้าวกงหมิงและเผ่ามังกรเพื่อช่วยเขาป้องกันการโจมตี…
อันตรายที่ซ่อนอยู่นั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ เขาจึงต้องพร้อมที่จะทำลายร่างจำแลงของเขาได้ทุกเมื่อ
คราวนี้ การแทรกแซงอันทรงพลังของจ้าวกงหมิงได้เพิ่มตัวแปรมากมาย
ประการแรก สำนักบำเพ็ญประจิมมักจะคิดว่าเผ่าพันธุ์มังกรและสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย มีบางอย่างเกิดขึ้น ทว่าหากพวกเขาตรวจสอบอย่างรอบคอบ พวกเขาจะพบว่าอ๋าวอี่กำลังฝึกฝนอยู่บนเกาะเต่าทอง
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็จะสามารถลดแรงกดดันต่อเผ่าพันธุ์มังกรไปได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือหากสำนักบำเพ็ญประจิมตัดสินใจที่จะควบคุมเผ่าพันธุ์มังกร พวกเขาจะต้องระมัดระวังในการวางแผนและดำเนินการให้มากขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องดีสำหรับเขา
ข้ายังคงกังวลว่าจะจัดการกับความเป็นไปได้ที่สำนักบำเพ็ญประจิม จะค้นหาข้าได้อย่างไร แต่คราวนี้ข้าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้แล้ว
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เพื่อให้สำนักเทพทะเลหลุดพ้นจากการไล่ล่าเผ่ามังกรของสำนักบำเพ็ญประจิมชั่วคราว…
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วเรียกคนของวิหารที่รับผิดชอบในการจุดธูป และมอบทองและเงินให้เขา เขาขอให้เขาปลอบเหล่าสานุศิษย์ในเมืองในภายหลัง
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วใช้เจตจำนงวิญญาณของเขาในการกล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงออกไปเพื่อ ‘ตีความและวิเคราะห์’ เรื่องของอ๋าวอี่ เขาบอกให้อ๋าวอี่ฉวยโอกาสเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชายชราคนนั้นในภายหลัง ในยามคับขัน เขาอาจจะสามารถช่วยเผ่ามังกรได้
หลี่ฉางโซ่วดูแลรองเจ้าสำนักของเขาเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เขายังให้กุญแจสำคัญแก่อ๋าวอี่ที่สามารถช่วยให้ปรมาจารย์จ้าวรู้สึกดีกับเขา เขาบอกว่าจ้าวกงหมิงจริงใจและยังช่วยเพิ่มเกียรติให้แก่พวกเขาด้วย
หากต้องการผูกมิตรกับจ้าวกงหมิง เขาต้องลดตัวตนของเขาและให้เกียรติจ้าวกงหมิง
หลังจากนั้นเขาก็ถอยออกไปครึ่งก้าวและรอให้จ้าวกงหมิงพูดคุยอยู่ในระดับเดียวกับเขา เขาจะบอกว่าเขามีขอบเขตพลังต่ำและทักษะตื้นเขิน จึงไม่กล้าผูกมิตรกับเขา
ในเวลานั้น จ้าวกงหมิงจะโบกมือและเอ่ยอะไรบางอย่างเช่น ‘ขอบเขตพลังไม่ใช่ปัจจัยในการพิจารณาเมื่อคบหาสหาย’
นอกจากนั้น หลี่ฉางโซ่วยังให้คำแนะนำแก่อ๋าวอี่อีก…สองสามร้อยข้อ เพื่อให้อ๋าวอี่จัดการกับผลที่ตามมา
หลังจากจัดการกับเรื่องนั้น หลี่ฉางโซ่วได้แอบเฝ้าสังเกตสถานการณ์ในที่ลับเป็นเวลาสามเดือน และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งรบกวนอีกต่อไป เขาก็ปล่อยให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เข้าสู่สถานะ ‘รอพร้อมรับงาน’
“ข้าต้องส่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อีกชุดหนึ่งไป”
ในห้องลับใต้ดินบนยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วลืมตาขึ้น แขนเสื้อของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เลื่อนผ่านโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าพวกมัน ในขณะที่มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองสามตัวตีลังกากระโดดออกมาและทักทายหลี่ฉางโซ่วพร้อมกัน
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ แต่ซ่อนรอยยิ้มของเขาไว้เอาอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวทวายุวัจน์ในการส่งเสียงของเขาไปยังหลิงเอ๋อร์ เพื่อแจ้งให้นางรู้ว่าเขากำลังจะเข้าปิดด่าน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปที่มุมหนึ่ง
เขาวางแผนให้เผ่ามังกรเข้าสู่แดนสวรรค์มาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว และดูเหมือนว่า บัดนี้จะไม่ปลอดภัย
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วทบทวนตัวเองสักพัก เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดสภาพจิตใจของเขาจึงผันผวนซึ่งเสริมหัวใจเต๋าของเขาให้แข็งแกร่งขึ้น
ต่อไป ข้าต้องเสริมว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะไม่มาปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สำคัญ และปรมาจารย์อีกสองคนจากทั้งสองนิกายจะเข้าร่วมในสถานการณ์เล็กน้อยเหล่านั้น สถานการณ์อาจจะพัฒนาไปแตกต่างกัน…
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก หลี่ฉางโซ่วได้แยกแยะความคิดของเขาและเริ่มคิด
การเข้าสู่แดนสวรรค์ของเผ่าพันธุ์มังกรดูเหมือนจะเป็นงานของมือสมัครเล่นและมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันแผนการของ ‘กล้วยไม้’ และ ‘หน้าไม้’ แต่อาจดึงดูดความสนใจของสองผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ‘จอกเรืองแสง’ และ ‘ตะกร้าไม้ไผ่’…
เขาต้องพิจารณาสถานการณ์ทั้งหมดนั้น
สองสามเดือนต่อมา…
“ผ้าใบกำลังจะหมดแล้ว”
“ศิษย์พี่ฉางโซ่วยังไม่ออกจากการปิดด่านอีกหรือ”
“ใช่ ศิษย์พี่บอกข้าเมื่อสามปีก่อนว่าเขากำลังจะเข้าปิดด่าน จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่ออกมา”
หลิงเอ๋อร์และโหย่วฉินเสวียนหย่าพูดคุยกันเบาๆ ขณะเดินเล่นรอบๆ กรงสัตว์วิญญาณในยอดเขาหยกน้อย ซึ่งกลับสู่สภาวะสงบสุขมานานแล้ว
โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสุข
หลิงเอ๋อร์ยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงมีเรื่องอันใดเป็นที่น่ายินดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่” โหย่วฉินเสวียนหย่า กล่าว “ข้าแค่รู้สึกว่าศิษย์พี่ฉางโซ่วต้องเข้าใจอะไรบางอย่างหลังจากอยู่อย่างสันโดษมาเป็นเวลานานเช่นนี้ เขาคงจะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย”
ขณะที่ศิษย์พี่ฉางโซ่วกำลังจะออกจากหอโอสถ เขาก็เพิ่มขอบเขตพลังของเขาขึ้นหนึ่งระดับอย่างเงียบๆ
บัดนี้ เขาเพิ่มระดับขึ้นเป็นคืนกลับเต๋าวิถีขั้นสอง
มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ที่จะฝ่าทะลวงขึ้นไปได้
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ก็เดินออกจากหอโอสถ เขายกมือปิดปากหาวขณะที่เหลือบมองหินสัมผัสที่ล้อมรอบตัวเขา และกระจายเป็นค่ายกลรอบๆ หอโอสถ
เดิมทีหลี่ฉางโซ่วคิดว่า ทันทีที่เขาออกมาจากการปิดด่าน ศิษย์น้องหญิงของเขาจะสามารถตรวจจับที่อยู่ของเขาได้
เขาไม่คิดว่าสาวสวยสองคนที่พยายามค้นหาสัตว์วิญญาณที่ป่วยเป็นลมแดด จะไม่สังเกตเห็นเขาเลย
ข้าได้เปิดใช้คาถาศาสตร์การอำพรางหรือ
หลี่ฉางโซ่วตรวจสอบสภาพของเขา และส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตั้งข้อสังเกตว่าเขาจะให้น้องสาวของเขาคัดลอกพระสูตรมั่นคงสามร้อยครั้ง
ต่อมาพวกเขาจะทำตามแผนการร่วมกันและท่องจำมันสามพันครั้ง!
หลี่ฉางโซ่วบินเข้าไปในกรงสัตว์วิญญาณ และในที่สุดทั้งสองคนก็ค้นพบร่องรอยของเขา
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!” หลังจากตะโกนสองครั้ง พวกนางก็เดินออกมาพร้อมๆ กัน ทว่าสีหน้าของพวกนางเปลี่ยนไป
หลิงเอ๋อร์ถามอย่างกังวลว่า “ศิษย์พี่ ท่านทุ่มเทมากไปหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดต้องทำกับตัวเองเช่นนี้”
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว เหตุใดดวงตาของท่านลึกโหลและมีรอยคล้ำเช่นนี้เจ้าคะ เหตุใดท่านดูโทรมจัง” หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า “การฝึกฝนช่างยากยิ่ง ไม่เช่นนั้นก็ทะลวงฝ่าเข้าไปไม่ได้…ข้าตัดสินใจเข้ามาดูก่อนจะไปนอนที่หอโอสถทีหลัง” โหย่วฉินเสวียนหย่ารีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่วพักผ่อนบ้าง เช่นนั้น ข้าอำลาไปก่อนเจ้าค่ะ” จากนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าจึงโค้งคำนับ และบินไปยังยอดเขาพิชิตสวรรค์ด้วยท่าทางกังวล
หลี่ฉางโซ่วกะพริบตาและตระหนักว่า ดูเหมือนเขาจะได้รับ…ทักษะใหม่?
หลิงเอ๋อร์เอนตัวลงและถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ ท่านเหนื่อยจริงๆ หรือตั้งใจทำกันเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วยกมือขึ้นและตบหน้าผากเรียบของเธอ ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้าเหนื่อยจริงๆ มีหลายสิ่งที่เจ้าไม่รู้ เพราะขอบเขตพลังของเจ้ายังต่ำเกินไป ในอนาคต…ช่างมันเถิด เจ้าเพียงแค่มุ่งเน้นฝึกฝนของเจ้าไป อย่าเที่ยวเล่นให้มากนัก”
“เจ้าค่ะ!” หลิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างมีความสุขขึ้นมาในทันที
หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อไปว่า “พรุ่งนี้เจ้านำแผ่นหินและตามข้าไปที่หอโอสถ ขอบเขตพลังของเจ้าค่อยๆ ไล่ตามทัน ในอีกสิบถึงยี่สิบปี เจ้าจะสามารถเข้าสู่คืนกลับเต๋าวิถีต่อไป ข้าจะสอนทักษะการต่อสู้บางอย่าง รวมถึงการขจัดกรรมหลังจากการต่อสู้ จงศึกษาให้ดี มันเป็นความลับทั้งหมดที่ข้าได้เรียนรู้ทีละน้อย”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาและยอมรับอย่างเชื่อฟัง
หลี่ฉางโซ่วหาวอีกครั้งและบินกลับไปที่หอโอสถ เวลานี้ เขาต้องการพักผ่อนจริงๆ
แต่เขาไม่กล้านอนและทำได้เพียงนั่งสมาธิ และปล่อยให้จิตใจพักผ่อนให้เพียงพอ
ในเวลาเดียวกัน ในค่ายกลที่สวยงามไม่กี่แห่งในมุมห่างไกลของดินแดนเทวะประจิม นักเต๋าชราในชุดขาดรุ่งริ่งก็นอนอยู่บนพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าช้ำของเขา มีไข่มุกเทพทะเลยี่สิบสี่เม็ดรายล้อมเขาอยู่
หึ เจ้าเคยทำร้ายสหายสนิทของพี่สาวข้าในอดีต เวลานี้ ข้าได้รับทักษะเวทแล้ว แล้วจะไม่ให้ข้าระบายโทสะกับสหายเก่าของข้าได้อย่างไร
จ้าวกงหมิงคิดกับตัวเอง เขาศึกษาขั้นตอนต่อมาอย่างรอบคอบและมั่นใจในการเก็บไข่มุกเทพทะเล แล้วเตรียมผลึกบันทึกเหตุการณ์และผ้าที่มีแม่แบบคำสาบาน
จ้าวกงหมิงกัดฟันและสบถออกมา
“เฮ้! วันนี้เจ้ากลั่นแกล้งข้า”
คนที่อยู่บนพื้นก็กระโดดขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาจ้องมองจ้าวกงหมิงด้วยดวงตาฉายแววสับสน ขณะที่จ้าวกงหมิงถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“รากฐานเต๋าของข้าได้รับความเสียหายจากเจ้า มันจะไม่อาจฟื้นตัวได้ภายในหมื่นปี!…
…ตามข้าไปที่ภูเขาหลิงซาน! เรื่องของเรายังไม่จบในวันนี้!”