ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 166 การเป็นศิษย์ของสงน้อย (2)
ตอนที่ 166 การเป็นศิษย์ของสงน้อย (2)
หลี่ฉางโซ่วยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับให้เหล่าศิษย์ของสำนักเซียนเซียวเหยาพลางกล่าวว่า “ญาติผู้น้องของข้ารบกวนพวกท่านแล้ว สหายเต๋า”
เหล่าศิษย์พลันกล่าวทักทาย ในขณะที่หนึ่งในนั้นมีสีหน้าซับซ้อนพร้อมกับสัมผัสหน้าอกของเขาแล้วฝืนยิ้มแหยพลางกล่าวว่า “ไม่ลำบากเลย แค่เจ็บเท่านั้น”
ศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ จับจ้องไปที่หลี่ฉางโซ่ว แล้วมอบรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนตอบกลับให้เขาทันที “นอกจากจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยแล้ว ศิษย์น้องหลิงลี่ยังเข้ากันกับพวกเราได้ดีมาก ทั้งยังได้รับการชื่นชมจากสำนักเป็นอย่างมาก”
สงหลิงลี่คลี่ยิ้มน้อยๆ อยู่ที่ด้านข้างเขา ราวกับเด็กน้อยที่ได้รับคำชื่นชม
หลี่ฉางโซ่วพูดคุยกับพวกเขาอีกสองสามคำอย่างเพลิดเพลินแล้วถามสงหลิงลี่ว่าอาจารย์ของนางอยู่ที่ใด เพื่อจะไปพบกับเขา
เพียงเพื่อให้เข้ากับตัวตนฐานะญาติผู้พี่ของเขา
ทว่าศิษย์ของสำนักเซียนเซียวเหยากลับดูมีสีหน้าลังเลแปลกๆ และพวกเขาแต่ละคนก็เริ่มกล่าวตะกุกตะกักออกมา
สงหลิงลี่เบะปากและกล่าวด้วยเสียงเบาว่า “พี่ชาย ข้าบังเอิญทำให้อาจารย์ของข้าได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่ได้มาที่นี่ในครั้งนี้…”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับผงะงันกะทันหัน… “น้องสาว! เหตุใดเจ้าจึงทำให้อาจารย์ของเจ้าบาดเจ็บได้”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเช่นกัน แต่ศิษย์พี่หญิงผู้อ่อนโยนยังคงกล่าวว่า “ในเรื่องนี้ สำนักได้ลงโทษนางแล้ว … ไม่รู้ว่า จะให้เรียกสหายเต๋าผู้นี้ว่าอย่างไรดี? หลี่ฉางโซ่วจึงยิ้มและกล่าวว่า “ฉางโซ่ว หลี่ฉางโซ่ว ศิษย์ของสำนักตู้เซียน”
“หลิงลี่ เจ้าจะพูดคุยกับญาติผู้พี่ของเจ้าที่นี่หรือไม่?”
“ข้าทำได้หรือ?”
จู่ๆ ดวงตาของสงหลิงลี่ก็สว่างวาบขึ้นทันทีขณะเอ่ยถามเบา ๆ
ทันใดนั้น ศิษย์ของสำนักเซียนเซียวเหยาล้วนพยักหน้าให้พร้อมกันราวกับว่าพวกเขาฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวของพวกเขาเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้น ก็ดูเหมือนว่า หลี่ฉางโซ่วจะเข้าใจบางอย่างได้ในใจทันที เป็นผลให้ในขณะนี้ สงหลิงลี่ก็ยังคงติดตามเขาอยู่ขณะที่หลี่ฉางโซ่วเริ่มกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเป็นญาติ ไม่ใช่เทพแห่งท้องทะเล
ด้วยสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านสง และมารดาของสงหลิงลี่ เขาจึงได้สร้างเรื่องราวเรียบง่ายของการแต่งงานระหว่างญาติพี่น้องทั่วดินแดนเทวะทักษิณ “ท่านอารองแต่งงานไปอยู่ในที่ห่างไกล”
ในขณะนั้น สงหลิงลี่ก็หยิบเบาะนั่งสมาธิขนาดพอๆ กับที่นอนออกมาแล้วนั่งลงข้างๆ หลี่ฉางโซ่วอย่างเชื่อฟัง
เนื่องจากต้นขาหนาเกินไป สงหลิงลี่จึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อนั่งขัดสมาธิ นางจึงนั่งลงพลางงอขาขึ้นแล้วรวบกดด้านข้างของชุดกระโปรงลงด้วยชุดเกราะเหล็กขนาดใหญ่พิเศษและมืออ่อนนุ่มทั้งคู่ของนาง
จิ่วจิ่วที่อยู่ข้างๆ นั้นอยากจะเข้าไปดูแลทันที แต่ก็นึกถึงคำแนะนำของหลิงเอ๋อร์น้อยก่อนจะเดินทางได้ จึงทำเพียงส่ายศีรษะและนั่งกระดิกขาอยู่ที่นั่นอย่างเบื่อหน่าย
นั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
โหย่วฉินเสวียนหย่าสุดยอดจริงๆ…
“ญาติผู้น้องของศิษย์พี่ฉางโซ่ว… ช่างโดดเด่นจริงๆ”
นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แต่ไม่ได้กล่าวทักทายเพื่อปล่อยให้พวกเขาพี่น้องได้มีช่วงเวลาอบอุ่นอยู่ด้วยกัน
เมื่ออาจารย์ลุงจิ่วอูเดินทางกลับมาจากที่ห่างไกล เขาก็ตกใจเช่นกัน เขาคิดว่ามีภูเขาจำลองลูกหนึ่งอยู่ข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งเมื่อเพ่งมองไปก็เห็นว่ามีศีรษะของสาวน้อยวางอยู่บนยอดภูเขาจำลอง
เขารู้สึกตื่นกลัวและสยองขวัญเล็กน้อย
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยขมวดคิ้วและสนใจทันที เขาพบว่ามีนักพรตเต๋าสองสามคนจากสำนักเซียนเซียวเหยา รวมถึงศิษย์สองสามคนที่ตามอยู่เบื้องหลังพวกเขา บินมายังสำนักตู้เซียน หลายคนล้วนมองหลี่ฉางโซ่ว และเด็กสาวแปลกหน้าผู้นี้
เขาเพิ่งออกไปได้ไม่นาน แล้วเกิดอันใดขึ้น? หรือเด็กสาวผู้นี้เห็นว่าศิษย์หลานฉางโซ่วมีใบหน้าหล่อเหลา รูปงาม ฉลาดเฉียบแหลม สุภาพเรียบร้อยและอยากยัดเยียดตัวเองเข้าหาเขา?
แล้วเรื่องนี้จะทำให้เสี่ยวจิ่วมีความสุขตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน?
“แค่กๆ” จิ่วอูกระแอมไอแล้วยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
แต่เมื่อจิ่วอูเข้าไปใกล้ เขาก็ได้ยินเด็กสาวพึมพำเสียงขื่น
“หลังจากนั้น ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็ไม่พอใจข้าอีกต่อไป พวกท่านก็เลยโยนข้าออกไปทางเหนือและบอกไม่ให้ข้ากลับมาหากหาอาจารย์ไม่พบ ตอนนั้นข้าเที่ยวค้นหาไปทั่ว แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับข้า ยังโชคดีที่ข้าได้เรียนรู้ทักษะการล่า ข้ามักจะล่าสัตว์ในภูเขา กินเนื้อย่างแม้จะไม่หิว พี่ชายรู้หรือไม่ว่ามีสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วย!?!”
ทันใดนั้นจิ่วอูพลันลื่นล้มกะทันหันขณะที่หลี่ฉางโซ่วก็กระแอมไอออกมา
นี่น่าจะเป็น… เผ่าพ่อมดที่ล่าเผ่าปีศาจและแสวงหาเต๋าแห่งความเป็นอมตะของเผ่าพันธุ์มนุษย์!?!
สงหลิงลี่พึมพำอย่างไม่พอใจ “ไม่นานหลังจากนั้น ในที่สุดก็มีสำนักเซียนยอมรับข้า พวกเขาให้อาหารข้าและให้ข้าเป็นบ่าวรับใช้ ข้าต้องตกลงตามนั้นอย่างแน่นอน ท่านแม่บอกว่ากินเนื้อตลอดเวลาย่อมไม่ดี แต่ตอนที่ข้ากำลังออกล่าสัตว์บนภูเขา ข้าก็บังเอิญไปย่างสัตว์วิญญาณที่ปกป้องภูเขาของพวกเขาและกินพวกมันอย่างไม่ตั้งใจ ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ากินสิ่งมีชีวิตบนภูเขานั้นไม่ได้ แล้วในที่สุดพวกเขาก็ขับไล่ข้าออกไปอีกครั้ง…”
นางบังเอิญกินสัตว์วิญญาณที่ปกป้องภูเขาอย่างไม่ตั้งใจ แล้วถูกขับไล่ออกมาจากสำนักเซียน?
บัดนั้น จิ่วอูก็นั่งลงเงียบๆ นิ่งฟังต่อไป
สงหลิงลี่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเล่าเรื่องการเดินทางที่ยากลำบากในการเป็นศิษย์ของนางต่อ
“ต่อมา ข้าก็ใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาสองสามปี และกำจัดเหยื่อทั้งหมดบนภูเขาจนไม่มีเหลือ จึงคิดอยากเปลี่ยนสถานที่ไปที่อื่น…ข้าจะอดตายไม่ได้! แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ข้าก็เห็นหนอนตัวใหญ่ยาวต่อสู้กับเซียนเฒ่าผู้หนึ่ง ข้าจึงใช้วิธีตามที่ท่านพ่อสอนเอาไว้ด้วยการขยับหินก้อนเล็กๆ แล้วโยนมันออกไปจากด้านข้างจนทับเจ้าหนอนตัวยาว แล้วพี่ชายลองเดาสิว่า เกิดอันใดขึ้น? ”
หลี่ฉางโซวยิ้มและกล่าวว่า “เซียนเฒ่าผู้นั้นรับเจ้าเป็นศิษย์ใช่หรือไม่?”
“ใช่ๆ!” สงหลิงลี่พยักหน้าหงึกหงักหนักแน่น “เขาคืออาจารย์คนแรกของข้า!”
“คนแรก!?!”
หลี่ฉางโซ่วหายใจไม่ออกกะทันหัน และเกือบจะทำการคารวะเต๋าให้สาวน้อยที่อยู่ข้างๆ เขาแล้ว
สงหลิงลี่ถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “เมื่อข้าขึ้นไปบนภูเขา ข้าก็เปลี่ยนอาจารย์อีกสี่คน… อาจารย์คนแรกบอกว่าข้ามีชะตาที่จะได้อยู่กับเขา แล้วพาข้ากลับไปที่ภูเขา จากนั้นก็ถ่ายทอดเวทเซียน จึงทำให้ข้าได้เรียนรู้วิชาเวทบางอย่าง”
ในเวลานี้ สงหลิงลี่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นแรก ดังนั้นหากนับเวลากับฐานพลังปราณของนางแล้ว นางย่อมจะเป็นเมล็ดพันธุ์เซียนคุณภาพสูง
“แล้วจากนั้นเล่า?”
ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วเอ่ยถามด้วยท่าทางแปลกๆ
สงหลิงลี่พึมพำว่า “เมื่อหัดขี่เมฆ ข้าก็บังเอิญตกลงมาจากก้อนเมฆและกระแทกทำลายเตาหลอมโอสถของอาจารย์ ข้าตื่นตกใจยิ่งจนอยากแอบโยนเตาหลอมโอสถไปที่ด้านหลังของภูเขา แต่เมื่อขว้างมัน ข้าก็บังเอิญเผลอใช้กำลังมากเกินไปจนทำให้อาจารย์ที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่บนต้นไม้นั้นหมดสติ จากนั้น… ก็มีชายชราสองคนในสำนักเซียนมาสั่งสอนข้า และรับข้าไปอยู่กับพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นอาจารย์คนที่สองของข้า…”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้
แม้เผ่าพ่อมดจะถือเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่พวกเขาก็มีพลังของเผ่าเวท และทันทีที่พวกเขาระเบิดพลังการต่อสู้ออกมา ก็เพียงพอที่จะทำลายเซียนหยวน และทำร้ายเซียนเสิ่นได้ แม้คู่ต่อสู้จะระมัดระวังตัวอยู่แล้วก็ตาม
ไม่รู้ว่า อาจารย์คนแรกของสงหลิงลี่ยอมรับศิษย์เผ่าพ่อมดได้อย่างไร …เฮ้อ… สงหลิงลี่ถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “บางทีเมื่อข้าทำงานที่นี่เสร็จแล้ว ข้าอาจจะมีอาจารย์คนที่ห้า…พี่ชาย ข้าควรทำอย่างไรดี?”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น จงท่องคำว่า ‘พี่ชาย’ อยู่ในใจของเจ้าสามร้อยครั้ง”
“เจ้าค่ะ!” สงหลิงลี่พยักหน้าตกลงก่อนจะมุ่งมั่นท่องคำนั้นในใจอย่างเชื่อฟัง
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เอี้ยวกายไปทางด้านข้างอย่างทรงพลังจนในที่สุดก็พบกับอาจารย์ลุงจิ่วอู ที่ ‘ตัวเล็ก แต่ฉลาด’ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของสงหลิงลี่ที่ ‘ตัวใหญ่และแข็งแกร่ง’
หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ท่านอาจารย์ลุง ท่าน…ขาดศิษย์หรือไม่?”
ทันใดนั้น จิ่วอูก็ตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือดฉับพลัน
…………………………………………………………….