ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 21 เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็น
โชคดีที่อาจารย์ของหลี่ฉางโซ่วไม่ได้มีข้อกังขาใดๆ เขาเป็นห่วงอย่างยิ่งและถามว่าหลี่ฉางโซ่วปรากฏอาการเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดก่อนจะจับข้อมือของหลี่ฉางโซ่วขึ้นมาเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด
นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณกับความจริงที่ว่า นักพรตเต๋าชราฉีหยวนครองขอบเขตพลังคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้าเท่านั้น ซึ่งอยู่ห่างจากการบรรลุเซียนไปหนึ่งก้าว ฉะนั้นเมื่อเขาพยายามตรวจสอบ หลี่ฉางโซ่วจึงหลอกเขาได้โดยง่ายซึ่งช่วยให้หลี่ฉางโซ่วผ่าน ‘วิกฤติเล็กๆ’ นี้ไปได้…
“ประสาทสัมผัสทั้งหกของเจ้าไม่มั่นคงและมีสภาพจิตใจปั่นป่วน” ฉีหยวนเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉางโซ่ว หลังจากที่เจ้ากลับไปยังสำนักแล้ว เจ้าต้องเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรเป็นระยะเวลาหนึ่ง และห้ามออกจากยอดเขาไปเดินเที่ยว ข้าจะเตือนหลิงเอ๋อร์ไม่ให้รบกวนเจ้า สภาพจิตใจของเจ้ามีปัญหาอยู่บ้าง แต่โชคดีที่ไม่ร้ายแรง แค่นั่งสมาธิสักระยะหนึ่ง เจ้าก็จะดีขึ้นเอง”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมก่อนจะกล่าวตอบรับ “ขอรับ ท่านอาจารย์”
โหย่วฉินเสวียนหย่าที่กำลังนั่งอยู่ด้านหน้านั้น เดิมทีนางรู้สึกเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย แต่ก็โล่งใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าท่าทีของนางตกอยู่ภายใต้สายตาของจิ่วอู นักพรตเต๋าร่างเตี้ยที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ นาง
น่าสนใจ เขาคิดในใจ
จิ่วอูเลิกคิ้วเข้มซึ่งทั้งสั้นและดกหนาขึ้นข้างหนึ่งขณะที่มีสีหน้าดูขี้เล่นเล็กน้อย
เมื่อได้ยินถ้อยคำของนักพรตเต๋าชราฉีหยวน จิ่วจิ่วก็รู้สึกผ่อนคลายเช่นกันก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระโดดตรงไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่าและถามนางเสียงเบาว่า มีอันใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองไปที่ไข่มุกสะกดวิญญาณในคลังเวทจัดเก็บของเขา ยังมีเศษซากวิญญาณอยู่สองสามดวงที่ยังไม่ละลายหายไปหมดสิ้น เขาพบว่ามีชิ้นส่วนความทรงจำมากมายอยู่ภายในนั้น ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปอย่างเงียบๆ และวางไข่มุกสะกดวิญญาณไว้ในมุมที่ลึกยิ่งขึ้น แล้วใช้ยันต์ปิดผนึกเอาไว้ด้วย
หากไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขา ทุกอย่างย่อมจะเรียบร้อยดี
จิ่วอูทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าจิ่วจิ่วมาก แต่เขาก็ไม่กล้าเดินทางด้วยความเร็วเต็มที่ในดินแดนเทวะอุดรเช่นกัน
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยระมัดระวังอย่างยิ่ง เขาไม่เอ่ยวาจาแม้สักคำในระหว่างเดินทาง ดวงตาของเขาตื่นตัวระแวงภัยอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วประทับใจยิ่ง
ในที่สุดพวกเขาก็ออกจากดินแดนเทวะอุดรได้อย่างปลอดภัย
หลังจากที่พวกเขาออกจากสถานที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยไอพิษแล้ว จิ่วอูก็พาพวกเขาบินไปทางใต้หนึ่งร้อยลี้ก่อนจะพบภูเขารกร้างแห้งแล้ง แล้วจึงแจ้งให้สหายคนอื่นๆ ในสำนักมาพบกันที่นี่
หลังจากรอเกือบครึ่งชั่วยาม อาจารย์ของหวางฉีก็มากับหวางฉีและหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก่อน
หลังจากนั้นเจียงจิ่งซานอาจารย์ของโหย่วฉินเสวียนหย่า หลินฉีอาจารย์ของหยวนชิง พร้อมทั้งอาจารย์ของหลิวเยี่ยนเอ๋อร์ก็มาถึงที่นี่ในอีกสองชั่วยามต่อมา
เจียงจิ่งซานนั้นถือได้ว่าเป็นเซียนสตรีที่มีรูปลักษณ์ระดับ ‘แม่แบบมาตรฐาน’ นางมีใบหน้าสวยงามพร้อมด้วยท่าทางดูราวกับสายลมสดชื่นที่พัดโชยผ่านรอบกายนาง และยังมีทรงผมที่ประณีตและสวมเสื้อผ้างดงามระดับนางสวรรค์ นางดูสง่างามสูงส่งยิ่ง ทว่ายังสามารถเข้าถึงได้
“เสี่ยวหย่า!”
เมื่อเห็นศิษย์รักของนางคุกเข่าลงบนพื้นด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ชุดกระโปรงยาวของนางยังเต็มไปด้วยคราบเลือด และสีหน้าของนางก็ยังซีดเผือดดูอ่อนล้า ราวกับว่ากลายเป็นคนละคน
ทันใดนั้นเจียงจิ่งซานก็มีสีหน้าเศร้าสลดในขณะที่รีบวิ่งตรงไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่าแล้วโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนของนาง
“ท่านอาจารย์…”
“อาจารย์มาแล้ว อาจารย์มาแล้ว! เป็นอาจารย์ที่สับสนเองที่ไปเห็นด้วยกับคำขอของเจ้าวายร้ายหยวนชิง และให้เจ้ามาที่นี่เพื่อค้นหาหญ้าผลาญหัวใจเพลิงในการออกมาหาประสบการณ์ครั้งนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของอาจารย์เอง!”
ดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที นางสูดลมหายใจเข้าลึกและสงบสติอารมณ์ลงก่อนจะตอบกลับเสียงเบาว่า “เป็นศิษย์เองที่ไร้สามารถ ทำให้อาจารย์ต้องกังวลแล้วเจ้าค่ะ”
นักพรตเต๋าหลินฉีซึ่งมาพร้อมกับเจียงจิ่งซานก็ได้รับข่าวการตายของหยวนชิง เขาไม่ได้โกรธเคืองในขณะที่มองทั้งสองศิษย์อาจารย์ โหย่วฉินเสวียนหย่าและอาจารย์ของนางที่คุกเข่ากอดกันอยู่ พลางเอ่ยถามโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างเคร่งขรึมว่า “มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
เมื่อพวกเขาแยกทางกันเพื่อค้นหาศิษย์ที่หายไป พวกเขาก็ได้นำเซียนหยวนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของหยวนชิงและอวี่เหวินหลิงออกไปด้วย หลังจากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็สังหารเซียนหยวนผู้นั้นเช่นกัน
นักพรตเต๋าจิ่วอูพลันกล่าวขึ้นว่า “ศิษย์พี่หลินฉีอย่าได้ร้อนใจไปเลย ให้เสวียนหย่าชี้แจงเรื่องทั้งหมดก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่อีกครั้ง เสวียนหย่า เจ้าจงพยายามลงรายละเอียดให้มากที่สุด ห้ามปิดบังสิ่งใดเด็ดขาด!”
เจียงจิ่งซานรีบกล่าวกับศิษย์ของนางว่า “เสี่ยวหย่า เจ้าพูดมาเถอะ อาจารย์จะช่วยเจ้าเอง!”
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์” โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวพลางมองไปที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งยืนอยู่ด้านหลังคนอื่นๆ ด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคง แต่นางกลับสงบลงได้อย่างน่าพิศวงเมื่อเห็นเขา
นางถอนหายใจก่อนจะเล่าเหตุการณ์อย่างช้าๆ เริ่มจากยามที่บรรดาศิษย์ทั้งห้าแยกทางกันไป นางเล่ารายละเอียดทุกอย่างเท่าที่นางรู้
นางเล่าตั้งแต่ยามบ่ายจนถึงยามอาทิตย์อัสดงและจบลงยามท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวแล้ว
เหตุใดศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายถึงไม่เริ่มเล่าเรื่องนับตั้งแต่เมื่อโลกถูกสร้างขึ้นเสียเลยเล่า
หลี่ฉางโซ่วคิดประชดประชันในใจ เขาเดินห่างออกไปอีกเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบเพื่อนั่งทำสมาธิปรับลมปราณ ขณะที่ยังได้ยินโหย่วฉินเสวียนหย่าอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
หลังจากที่จิ่วจิ่วติดกับถูกขังอยู่ หยวนชิงยังไม่ได้โจมตีโหย่วฉินเสวียนหย่าโดยตรง แต่ก่อนหน้านั้นเขาได้จ้างกลุ่มโจรร้ายมาโจมตีพวกเขาล่วงหน้า เพื่อหวังว่าจะได้เป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม
ทว่าผลที่ได้คือ ‘สาวงาม’ โหย่วฉินเสวียนหย่านั้น กลับแข็งแกร่งกว่า ‘วีรบุรุษ’ หยวนชิงมาก ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดอับอายอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นหยวนชิงก็ได้เปลี่ยนแผนของเขาอีกครั้ง โดยให้ผู้สมรู้ร่วมคิดกดดันพวกเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความรู้สึกสิ้นหวังให้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รอดพ้นจากการถูกทำร้าย จากนั้นเขาก็จะฉวยโอกาสเผยความรู้สึกในหัวใจของเขาที่มีต่อโหย่วฉินเสวียนหย่า
อย่างไรก็ตามแม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่นางก็ยังคงปฏิเสธ ข้อเสนอของหยวนชิงอย่างหนักแน่น ในเรื่องของการ ‘ตายด้วยกันแล้วพบกันใหม่ในชีวิตหลังความตาย’ แม้นางจะต้องเผชิญกับหายนะ
แผนการของหยวนชิงล้มเหลวทั้งหมดและนั่นทำให้เขาโกรธ ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาและพยายามจะใช้หนอนกู่พิษรักควบคุมโหย่วฉินเสวียนหย่า แต่โหย่วฉินเสวียนหย่าสบโอกาสใช้วัตถุเวทล้ำค่าเคลื่อนย้ายสถานที่ในการหนี จนบังเอิญได้พบกับหลี่ฉางโซ่ว และได้รับการช่วยเหลือเป็นครั้งแรกจากหลี่ฉางโซ่ว
หลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ โหย่วฉินเสวียนหย่าก็อยากอ้อมกลับไปที่ป่าสมบัติโกลาหลหลังจากเดินมาสองสามวัน นางก็หลงทางและโชคไม่ดีที่บังเอิญพบหยวนชิงและพวกของเขา ดังนั้นจึงเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง
และเวลานี้เองที่หลี่ฉางโซ่วบังเอิญเดินผ่านไปพบการต่อสู้นั้นอีกครั้ง
ภายใต้การแนะนำของหลี่ฉางโซ่ว โหย่วฉินเสวียนหย่าได้ล่อคนเหล่านั้นไปยังอสรพิษที่ทรงพลัง และในที่สุดก็ปล่อยให้คนชั่วร้ายกลุ่มนั้นถูกพิษของอสรพิษฆ่าตาย ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าได้สังหารหยวนชิงด้วยตัวนางเอง
เมื่อได้ฟังโหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็อดจะร้องอุทานภายในใจไม่ได้
หยวนชิงคนนี้มีโอกาสมากมายถึงเพียงนี้ กลับไม่ได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์!
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าบรรดาลูกน้องของหยวนชิงอย่างเช่น อวี่เหวินหลิงนั้น ช่างไร้ค่า ใช้การไม่ได้เลย
หลังจากที่โหย่วฉินเสวียนหย่าเล่าเรื่องเสร็จสิ้น ก็มีสายตามากมายหันไปมองหลี่ฉางโซ่ว
เจียงจิ่งซานเป็นผู้นำโหย่วฉินเสวียนหย่ามาขอบคุณหลี่ฉางโซ่วอย่างจริงจังด้วยตัวเองและกล่าวเสริมว่า นางจะส่งของขวัญล้ำค่าให้เขาเพื่อเป็นการแสดงความรู้สึกขอบคุณมากขึ้นเมื่อกลับไปถึงสำนักแล้ว ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วปฏิเสธข้อเสนอนั้น ‘อย่างคร่งขรึม’
ด้วยกลัวว่าหลี่ฉางโซ่วจะกล่าวถ้อยคำบางอย่างผิดไป นักพรตเต๋าฉีหยวนจึงรีบกล่าวแทรกเข้ามาทันเวลาและยอมรับการแสดงความขอบคุณของพวกเขาด้วยใบหน้าเบิกบานใจ
ทว่าในเวลานี้มีเพียงหลินฉีอาจารย์ของหยวนชิงเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด
“เฮ้อ” หลินฉีถอนหายใจ “เป็นเพราะข้าเองที่ดูไม่ออกในยามที่ยอมรับเขาเป็นศิษย์ และจะกลับไปรับการลงโทษเมื่อกลับไปที่สำนักแล้ว”
นักพรตเต๋าจิ่วอูพลันกล่าวปลอบเขาว่า “นั่นเป็นเพราะหยวนชิงเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง เขาวางแผนการมากมายมาตั้งแต่แรกเมื่อเริ่มเข้าสำนัก เจ้าจึงยอมรับเขาเป็นศิษย์สายตรงในระหว่างพิธีเปิดเรียนครั้งล่าสุด เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่ความผิดและไม่อาจตำหนิเจ้าได้ อย่าได้โทษตัวเองเลย ศิษย์น้อง”
หลินฉีส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจและไม่เอ่ยวาจาใดอีก
แม้หยวนชิงจะทำอะไรที่ชั่วร้าย แต่เขาก็ยังเป็นศิษย์ของหลินฉีอยู่เสมอ และนักพรตเต๋าผู้นี้ก็ยังรู้สึกเสียใจ
ส่วนเรื่องที่โหย่วฉินเสวียนหย่าสังหารหยวนชิงนั้น แม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะมี ‘เหตุผล’ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจและยอมรับได้ แต่นางก็ยังสังหารศิษย์พี่ของนางเองและยังคงต้องถูกลงโทษตามกฎของสำนัก
แน่นอนว่าการลงโทษย่อมไม่รุนแรงมากนัก นางน่าจะเพียงถูกให้เก็บตัวอยู่ภายในสำนักเป็นเวลาสองสามปี เพื่อให้ทบทวนการกระทำผิดของนางเท่านั้น
จิ่วอูยังกล่าวชื่นชมหลี่ฉางโซ่วอีกด้วยเช่นกันโดยกล่าวว่าหลังจากกลับไปที่สำนักแล้ว จะมีรางวัลตอบแทนให้หลี่ฉางโซ่วอย่างแน่นอน และย่อมเป็นรางวัลที่หลี่ฉางโซ่วสมควรได้รับ
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้กลับสำนักตู้เซียนด้วยกัน
ฉีหยวนพาหลี่ฉางโซ่วพร้อมด้วยหลิวเยี่ยนเอ๋อร์กับหวางฉี อีกทั้งอาจารย์ทั้งสองของพวกเขา และใช้เวลาในการค่อยๆ เดินทางกลับไปยังสำนัก
ส่วนคนอื่นๆ ก็รีบกลับไปที่สำนักตู้เซียนด้วยความเร็วเต็มที่เพื่อยอมรับการกระทำผิดและโทษทัณฑ์ของพวกเขา
และเหตุที่พวกเขาเร่งรีบเช่นนั้นก็เพราะเจียงจิ่งซานกระตุ้นพวกเขา
อาจารย์ของโหย่วฉินเสวียนหย่านั้นหาใช่คนสามัญไม่ นางเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เจ้าสำนัก และมีสถานะสูงส่งในสำนัก นางมีฐานพลังที่ยอดเยี่ยมและอาวุธเวทมากมาย นอกจากนี้ยังมีคู่บำเพ็ญเต๋าที่ครองขอบเขตพลังระดับเซียนเทียนซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนอย่างยิ่งเช่นกัน
แม้เหตุการณ์ในดินแดนเทวะอุดรจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เจียงจิ่งซานจะไม่ยอมให้ศิษย์ของนางต้องทนทุกข์กับความคับข้องใจเช่นนี้ได้
ก่อนที่จะออกเดินทางกลับ เจียงจิ่งซานก็ได้ส่งสารถึงคู่บำเพ็ญเต๋าของนางโดยตรง เพื่อขอให้เขาหาสหายร่วมสำนักที่มีเวลาว่างสักสองสามคนไว้ และเมื่อนางกลับไปที่สำนักแล้วก็ให้พวกเขารีบมุ่งหน้าไปที่ดินแดนเทวะทักษิณทันที ด้วยตั้งใจจะถอนรากถอนโคน โค่นกลุ่มอิทธิพลในดินแดนมนุษย์ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังหยวนชิง เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาอีกต่อไปในภายภาคหน้า!
ตลอดทางกลับสำนักนั้นสถานการณ์ราบรื่น คลื่นลมสงบยิ่ง
อย่างไรก็ตามขณะกำลังเดินทาง หลี่ฉางโซ่วก็มักจะตัวสั่นสะท้านเมื่อได้ยินหลิวเยี่ยนเอ๋อร์เรียกอย่างอ่อนหวานนุ่มนวลว่า ‘ศิษย์น้องฉีฉี’ อย่างรักใคร่
อะแฮ่ม นั่นคือความแตกต่างทางวัฒนธรรมจริงๆ เพราะในโลกเดิมของหลี่ฉางโซ่ว ‘ศิษย์น้องฉีฉี’ นั้นฟังดูคล้ายกับ ‘ไอ้ศิษย์น้องบัดซบเอ๊ย’…
……
ท่ามกลางรัตติกาลยอดเขาหยกน้อยเงียบสงบยิ่ง บัดนี้มีเมฆาขาวหยุดอยู่ในอากาศเหนือยอดเขา หลี่ฉางโซ่วก็ลอยร่างลงมาจากเมฆานั้น ในขณะที่นักพรตเต๋าฉีหยวนยังคงเหยียบเมฆาและมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาอื่นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
อาจารย์ของหลี่ฉางโซ่วได้รับคำเชิญจากอาจารย์หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ให้ไปร่วมโต๊ะอาหารและดื่มสุราด้วยกัน
เมื่อข้ามผ่านค่ายกลแยกตัวที่เขาสร้างขึ้นเองและเหยียบลงบนผืนหญ้าที่คุ้นเคยแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
ปลอดภัยแล้ว เขาคิด
“ศิษย์พี่!”
มีเสียงตะโกนเรียกอย่างยินดีปรีดาดังมาจากด้านข้างของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงหันศีรษะไปมอง และเห็นแสงไฟสีเขียวริบหรี่รอบๆ กระท่อมมุงจากของศิษย์น้องหญิงของเขา
ค่ายกลที่ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกตรวจพบว่ามีอันใดเกิดขึ้นภายในนั้น บัดนี้มันได้เปิดช่องว่างจากภายในค่ายกล และเสียงที่เขาได้ยินนั้นก็เล็ดลอดออกมาจากช่องว่างนั้น…
เขาได้ยินเสียงน้ำสาดกระเพื่อม เสียงหลิงเอ๋อร์ตะโกนอย่างเบิกบานใจ “ศิษย์พี่ ท่านกลับมาแล้ว! ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เกิดอันใดขึ้นก่อนหน้านี้ เหตุใดถึงกลับมาช้ายิ่งนักเจ้าคะ”
แล้วก่อนที่นางจะทันได้กล่าวถามจนจบ หลี่ฉางโซ่วก็ได้เห็นเงาร่างแสนสะคราญพุ่งทะยานออกมาจากกระท่อมมุงจาก นางพันร่างด้วยผ้าห่มบางผืนหนึ่ง ทำให้ร่างเพรียวบางดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งขึ้น ในขณะที่เส้นผมยาวของนางเปียกโชกและมีหยดน้ำเกาะบนผิวเนียนอ่อนนุ่มของนาง
ทว่านางหาได้ใส่ใจในเรื่องนี้ไม่ นางกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่าทันทีที่ได้เห็นหลี่ฉางโซ่ว
หลันหลิงเอ๋อร์เพิ่งเข้าไปอาบน้ำในถังอาบน้ำไม้ได้ไม่นาน และอาจเป็นเพราะน้ำที่เข้าตาขณะกำลังอาบน้ำ จึงยังคงมีม่านน้ำอยู่ในดวงตาดั่งผลซิ่งของนางในขณะที่นางอ้าแขนออกแล้วพุ่งปรี่ไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน
เดิมทีหลี่ฉางโซ่วตั้งใจจะหลบหลีกการกอดของนางโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นดวงตาของหลิงเอ๋อร์ที่เต็มไปด้วยการร้องทุกข์ที่มีต่อเขา เขาก็พลันถอนหายใจในใจแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงนั้น และปล่อยให้ศิษย์น้องหญิงเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขา
“ศิษย์พี่หน้าเหม็น ท่านทำให้ข้ากลัวแทบตาย! ท่านจากไปนานมากจนข้าคิดว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับท่าน!” หลันหลิงเอ๋อร์ส่งเสียงร้องออกมาราวกับเสียงร่ำไห้ จากนั้นจึงสะอึกเล็กน้อยขณะที่กำลังสะอื้นไห้ ทว่าก่อนที่น้ำตาจะรินไหลออกมา นางก็พลันรู้สึกว่ามีมือใหญ่ลูบศีรษะนางเบาๆ
“ศิษย์พี่…” หลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของนางเปล่งประกายเจิดจ้าจนวาบเข้ามาในดวงตาของเขาในขณะที่นางเม้มริมฝีปากเล็กๆ ของนาง
ทว่าจู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “โอ ใช่แล้ว ท่านอาจารย์…”
“อ๋า!”
หลิงเอ๋อร์มีปฏิกิริยาสนองตอบโดยพลัน ตระหนักถึงบางสิ่งได้อย่างกะทันหันเมื่อคิดว่าท่านอาจารย์จะต้องกลับมาพร้อมกับศิษย์พี่ของนาง จึงร้องเสียงเบาพลางหมุนตัวกลับอย่างเร็วรี่ พุ่งปรี่กลับไปที่กระท่อมมุงจากอย่างไวด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แล้วกระโจนลงไปในถังอาบน้ำไม้ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งผ้าที่ห่มอยู่ ซ่อนกายอยู่ใต้น้ำโดยไม่กล้าโผล่ออกมาอีก
นางยอมให้ศิษย์พี่ของนางเห็นนางนุ่งน้อยห่มน้อยได้เพียงเท่านั้น ไม่อาจปล่อยให้บุรุษอื่นใดนอกจากศิษย์พี่ของนางได้เห็นเรือนร่างของนางได้!
แม้แต่ท่านอาจารย์ของนางก็ไม่ได้เด็ดขาด!
หลิงเอ๋อร์แผ่พุ่งพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปสำรวจสภาพแวดล้อมภายนอกกระท่อมก่อนจะโผล่ศีรษะขึ้นมาอยู่เหนือน้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แล้วจากนั้นเสียงของหลี่ฉางโซ่วก็ดังลอยมาจากภายนอกกระท่อมว่า “อาจารย์ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่ยอดเขาอื่น ข้าขอไปพักผ่อนก่อน แล้วค่อยมาเล่าประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ให้เจ้าฟังในยามเซิน[1]”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็เปิดค่ายกลที่อยู่รอบๆ กระท่อมมุงจากของนางอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปยังกระท่อมที่พำนักของเขา
ในถังอาบน้ำไม้ หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะมองลงไปที่ผ้าห่มผืนบางซึ่งพันรอบกายนาง
แล้วทันใดนั้นแก้มของนางก็ค่อยๆ ขึ้นสีกุหลาบแดงปลั่ง
“เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็น…” นางพึมพำออกมาเบาๆ
ก่อนที่นางจะค่อยๆ จมศีรษะลงไปในน้ำและทิ้งฟองอากาศมากมายไว้บนผิวน้ำ
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] ยามเซิน ช่วงเวลาระหว่าง 15:00-16:59 น.