ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 231 เจ้าตัดสินถั่วด้วยรูปลักษณ์ภายนอกมิได้...(1)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 231 เจ้าตัดสินถั่วด้วยรูปลักษณ์ภายนอกมิได้...(1)
ตอนที่ 231 เจ้าตัดสินถั่วด้วยรูปลักษณ์ภายนอกมิได้…(1)
“เอ่อ หลิงเอ๋อร์ เมื่อไม่นานมานี้ ศิษย์พี่ของเจ้าไปทำอะไรมาหรือ? ข้าไปที่หอโอสถก็ยังไม่พบเขา”
“ท่านอาจารย์อา ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ ศิษย์พี่เพิ่งปรับระดับที่ดินที่ด้านหลังภูเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาจะวิ่งไปที่นั่นเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่า เขาจะกำลังศึกษาพลังเวทอยู่”
“อืม…”
จิ่วจิ่วเท้าเอว ยืดอก พลางถอนหายใจแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“หลิงเอ๋อร์ แม้จะฟังดูสนิทสนมและแสดงถึงความชื่นชม แต่เจ้าเรียกข้าว่าจิ่วแทนได้หรือไม่?” “อย่าเรียกข้าว่า ‘อาจารย์อา’ เช่นนั้นเลย มันทำให้ข้าดูสูงวัยยิ่ง!”
หลิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงมองดูมนุษย์ชั่วร้ายที่อยู่ข้างกายนาง แล้วถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านดื่มสุราหมดแล้วหรือเจ้าคะ?”
“เหอะๆ” จิ่วจิ่วยิ้มอย่างเขินอายเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เร็ว ๆ นี้ ข้าอยากเข้าปิดด่าน แต่ของในคลังของข้าหมดแล้ว ข้าจึงมาที่นี่เพื่อดูว่า ช่วงนี้ ศิษย์พี่ของเจ้ากำลังขาดคนทำงานหรือไม่ ศิษย์พี่ของเจ้าต้องการผู้ช่วยพิเศษหรือไม่?
“ท่านอาจารย์อา ท่านได้ช่วยยอดเขาหยกน้อยของพวกเรามามากแล้วเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแล้วยิ้มก่อนจะหยิบถุงเก็บสมบัติออกมาพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่บอกข้ามาก่อน แล้วว่า ให้ข้ามอบสิ่งนี้กับท่าน เขาเตรียมไว้ให้ท่านนานแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วไยไม่เอาออกมาก่อนเล่า!?!”
จิ่วจิ่วฟื้นคืนพลัง มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที แล้วคว้าถุงเก็บสมบัติเอาไว้พลางมองไปที่ ‘ของ’ ในถุงเก็บสมบัติ และระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบ ก่อนและหลังจากการขอยืมเงินจากใครสักคน
“มีสุราแล้วจะไม่มีอาหารได้อย่างไรกัน? ไปดูกันดีกว่าว่ามีสัตว์วิญญาณตัวใดป่วย!”
“หลิงลี่ยังบอกเมื่อวานนี้ว่า มีวิหคสองสามตัวที่สามารถกินได้ วันนี้เรามาย่างพวกมันสักสองตัวกัน แล้วส่งไปให้ผู้อาวุโสแห่งหอไป่ฝานด้วย”
“แล้วจะรออะไรเล่า? ไปกันเถิด”
ครู่ต่อมาหลังจาก…
“นี่ๆ ก็ไม่เลวนะ ฟ้าเฟื่องฟู อ้วนแต่ไม่อ้วน แค่นั้นเอง!”
“ว้าว ตัวนี้ก็ดีนะ ตาข่ายสวรรค์กว้างใหญ่ไร้รูรั่ว[1] เจ้าไม่รอดแน่ มันอ้วนแต่ไม่มีไขมันมากไป เอาตัวนี้แหละ!”
ดังนั้นกลิ่นหอมเย้ายวนจึงลอยละล่องอยู่บนยอดเขาหยกน้อย
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะท่าทีของสัตว์วิญญาณเหล่านั้น สงหลิงลี่ หลิงเอ๋อร์ และจิ่วจิ่วก็ไปที่ป่าห่างไกลออกไปเพื่อตั้งหม้อเหล็กและเตาย่าง
พวกนางส่งเสียงหัวเราะดังลั่น และพูดคุยล้อเล่นกันขณะเพลิดเพลินไปกับอาหารและสุรา
พวกนางทั้งสามคนเก็บ ‘อุปกรณ์ทำอาหาร’ เอาไว้ที่นี่ สงหลิงลี่หยิบค้อนขนาดเล็กของนางออกมา และกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจประจำวันของนาง – การลาดตระเวนบนภูเขา
จิ่วจิ่วยิ้มและกล่าวว่า “หลิงลี่ นี่คือ สำนักชั้นใน ซึ่งมีค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาอยู่ด้านนอก จึงไม่มีผู้ใดจะแอบขึ้นไปถึงยอดเขาได้หรอก”
“ไม่ได้!”
สงหลิงลี่ตอบอย่างจริงจังว่า “บนภูเขามีสัตว์วิญญาณและสมุนไพรวิญญาณมากมาย หากไม่คอยเฝ้าดูมัน แล้วมีคนมาขโมยไป จะทำอย่างไรเล่า!?! พี่ชายของข้าสร้างมันขึ้นมา ไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้มาเปล่าๆ อย่างง่ายดาย พี่ชายยังสั่งสอนให้ข้าฝึกบำเพ็ญ ทั้งยังให้ข้าได้กินอิ่มหนำมากมาย ดังนั้นข้าย่อมไม่กล้าเกียจคร้านและหักหลังเขาได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ข้าต้องทำทุกอย่างที่พี่ชายสั่งให้ข้าทำ!”
หลิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน และกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์อา”
“ฮิฮิ หากพวกเจ้าขาดคนเล่นศึกสู้มหาเทพ ก็รอจนกว่าข้าจะทำงานให้เสร็จก่อน”
สงหลิงลี่หน้าแดงพลางโบกมือใหญ่ของนางแล้วหยิบค้อนสมบัติวิญญาณที่ท่านเซียนอวิ๋นจงจื่อสร้างขึ้นมาเองและเดินตรงไปที่ภูเขา
หลังจากเดินต่อไปอีกเล็กน้อย นางก็ยังคงส่งเสียงร้องเพลงที่นางแต่งขึ้นมาเองเบาๆ
“พี่ชายขอให้ข้าลาดตระเวนบนภูเขา หลังจากที่ข้าลาดตระเวนทางด้านซ้ายเสร็จแล้ว ข้าก็จะไปทางขวา หากมีผู้ใดกล้ามาขโมยไข่วิหค ข้าจะต่อยเขาให้แหลกเป็นชิ้น ๆ เลย”
ทันใดนั้น ทั่วทั้งป่าก็เต็มไปด้วยเสียงร้องและเสียงคำรามของเหล่าวิหค สัตว์ร้าย และหมี
หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวชื่นชมเบา ๆ ว่า “อาจารย์อาสง เชื่อฟังสิ่งที่ศิษย์พี่ชายพูดทั้งหมด”
“อืม” จิ่วจิ่วเช็ดปากขณะที่เผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมาบนใบหน้างดงามของนางเล็กน้อย
นางยังคงมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่บ้างขณะที่พึมพำว่า “เราไม่อาจเอาแต่กินโดยไม่ตอบแทนได้ มาดูกันว่าศิษย์พี่ของเจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
หลิงเอ๋อร์รีบกล่าวว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์อา ศิษย์พี่ไม่ชอบให้ผู้ใดไปรบกวนเจ้าค่ะ”
“จะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไร” จิ่วจิ่วแค่นเสียง “ระดับฐานพลังของข้าอยู่ที่เวียนเสิ่นขั้นสูง ข้ากำลังจะเข้าสู่เซียนเทียนแล้ว เวลานี้ ข้าเป็นกึ่งเซียนเทียนของสำนักชั้นใน แล้วไยเขาถึงไม่อยากให้ข้าทำอะไรเพื่อเขาบ้างเล่า!?!”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาและในขณะที่นางกำลังจะเกลี้ยกล่อมต่อไป นางก็ได้ยินเสียงของศิษย์พี่ของนางผ่านการส่งข้อความเสียง
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราไปที่ภูเขาด้านหลังด้วยกัน ศิษย์พี่กำลังขาดคนช่วยอยู่เจ้าค่ะ”
จากนั้น จิ่วจิ่วก็ยิ้มพอใจ แล้วขี่เมฆพาหลิงเอ๋อร์ไปที่ภูเขาด้านหลังโดยไม่รู้ว่าค่ายกลแยกตัวถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใด
หลังจากเข้าไปในค่ายกลแล้ว จิ่วจิ่วและหลิงเอ๋อร์ก็เห็นเพิงฟางทรงกลมหลายสิบหลังซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสิบจั้งกระจัดกระจายไปทั่ว
มีสมุนไพรเซียนหลากหลายชนิดเติบโตภายใต้เพิงหญ้าฟาง ดูเหมือนว่า สมุนไพรเซียนเหล่านี้จะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่เมื่อแยกแยะอย่างระมัดระวัง จะพบว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อพวกเขาพยายามระบุตัวตนอย่างระมัดระวัง
“ค่ายกลรวมวิญญาณยอดเยี่ยมหรือ?”
จิ่วจิ่วเบิกตากว้างขณะมองไปที่แสงวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาภายใต้เพิงหญ้าฟางเหล่านี้
แม้นางจะไม่รู้เรื่องค่ายกลมากนัก แต่นางก็รู้จักค่ายกลยิ่งใหญ่เช่นนี้
จากประสบการณ์ที่ผ่านมานับพันปีของนาง นางย่อมรู้ชัดว่าสิ่งที่ปลูกที่นี่นั้น มิใช่สมุนไพรวิญญาณล้ำค่า แต่เป็นสมุนไพรเซียนและสมุนไพรวิญญาณธรรมดาบางชนิด
ทว่ามีค่ายกลรวมวิญญาณยอดเยี่ยมอยู่ใต้ดิน มันเชื่อมต่อกับพลังปราณบริสุทธิ์แห่งสวรรค์และรวมกับพลังวิญญาณปฐพีซึ่งถูกใช้ที่นี่เพื่อหล่อเลี้ยง “วัชพืช” เหล่านี้
“เขากำลังทำอันใดหรือ?”
“มีป้ายอยู่ที่นี่…” หลิงเอ๋อร์ซึ่งเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก กล่าวออกมา นางอยู่ในชุดกระโปรงเทพธิดาที่กำลังพลิ้วไหวในขณะที่ร่อนลงมาหยุดที่ด้านหน้าของป้ายไม้ที่ริมขอบค่ายกลรวมวิญญาณ
พวกเขาอยู่ในเขตพื้นที่ปลูกถั่วเซียนของยอดเขาหยกน้อย ซึ่งได้รับอนุญาตจากหอไป่ฝานให้สร้างขึ้นมา
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วซึ่งพับแขนเสื้อขึ้น ได้เดินออกมาจากเพิงหญ้าฟาง เสื้อคลุมยาวของเขาเต็มไปด้วยโคลน แต่เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา
“มาตรงนี้สิ ข้ามีอะไรดีๆ จะให้พวกเจ้าดู”
หลิงเอ๋อร์และจิ่วจิ่วไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น พวกนางจึงมารวมตัวกันที่นั่นด้วยความสงสัย…
ด้วยประสบการณ์ของการสร้างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ และการสนับสนุนด้วยพลังเวทที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มอบให้แก่เขา คราวนี้ แผนการปรับปรุงพลังเวทโปรยถั่วเป็นทหารได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก
ในตอนแรก หลี่ฉางโซ่วไม่ได้คาดหวังโปรยถั่วเป็นทหารเอาไว้สูงนัก เขาเพียงแค่คิดว่าพวกเขาจะต้องมีพลังการต่อสู้ระดับเซียนหยวนเท่านั้น
แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ในกระบวนการปรับปรุงนั้น จะยังคงมีแรงบันดาลใจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง…
เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาได้ฝึกฝน การผสมพันธุ์ และทำความคุ้นเคยกับ ‘ถั่วเซียนต้นกำเนิด’ ประเภทต่างๆ เขายังพยายามผสมผสานเวท และรอยฝ่ามือที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีการผสานรวมการจำแลงกายนอกร่างที่ลึกซึ้ง…
เขาได้สร้างกองทัพทหารถั่วขนาดใหญ่สามประเภทและกองทัพทหารถั่วขนาดเล็กสิบสองประเภทแล้ว!
ในยามนี้ มีประเภทเหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว ขั้นตอนต่อไปในการค้นคว้าต่อไปของเขาก็คือ การเพิ่มความแข็งแกร่งของทหารเต๋าแต่ละคน
หลังจากนั้นเขาก็จะสรุปค่ายกลต่อสู้พันคนและยุทธวิธีต่อสู้หมื่นคนเพื่อให้ทหารเต๋าเหล่านั้นสามารถปล่อยพลังการต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
เขาต้องก้าวไปทีละก้าว เขาไม่อาจทำทุกอย่างได้ในคราวเดียว…
คราวนี้เขาเรียกหลิงเอ๋อร์และอาจารย์อาจิ่วจิ่วมาเพื่อทดสอบผลลัพธ์ของด่านในยามนี้ด้วย นอกจากนี้ เขายังอยากค้นคว้าดูว่าจะส่งเสริมพลังเวทนั้นในสำนักตู้เซียนได้อย่างไร
แน่นอนว่าจะต้องส่งเสริมพลังเวทดั้งเดิม และถั่วเซียนที่ปรับปรุงแล้วจะต้องไม่แพร่กระจายออกไปง่ายๆ…
หลี่ฉางโซ่วถ่ายทอดพลังเวทดั้งเดิมของโปรยถั่วเป็นทหารไปยังอาจารย์อาจิ่วจิ่วและหลิงเอ๋อร์โดยตรงและยังสาธิตให้พวกเขาดูอีกด้วย
เขาโยนถั่วสองสามเม็ดออกไปแล้วเปลี่ยนมันเป็นทหารร่างโปร่งบางสวมชุดเกราะหนังถือคันธนูสามคน
หลี่ฉางโซ่วกำลังใช้ทหารเต๋าซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถี
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ออกคำสั่งง่ายๆ ว่า “ต้นไม้นั่น”
………………………………………………………………………
[1] หรือ ตาข่ายฟ้าไร้รอยตะเข็บ หมายถึงสวรรค์ย่อมทรงธรรม ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดหลบหนีรอดไปได้ ในที่นี้ ผู้เขียนเพียงนำมาปรับใช้กับสัตว์วิญญาณที่อย่างไรก็มิอาจรอดพ้นเป็นอาหารไปได้