ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 240 หยุดพูดแล้วจูบข้า (2)
ตอนที่ 240 หยุดพูดแล้วจูบข้า (2)
ใช่แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีพลังขับเคลื่อนเพียงพอ
ในเวลานั้น ข้าจะให้เหล่าทูตเทวะตะโกนว่า ‘ข้าจะสร้างหัว’ ‘ข้าจะสร้างแขนซ้าย’, ‘ข้าจะสร้างบั้นท้าย’ ภาพเหตุการณ์นั้นจะค่อนข้างน่าทึ่ง…และน่าสนุกยิ่ง
…
…
…
ในช่วงพลบค่ำ ครึ่งวันหลังจากเหตุการณ์การสังหารมังกรในเมืองอันสุ่ย อ๋าวอี่ได้ปรับสภาพจิตใจของเขาแล้วและทำทุกอย่างที่ทำได้ เขายังบอกพระบิดาของเขาอย่างละเอียดถึงทุกอย่างที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักบอกเขา
ทั้งสองคนล้วนรู้ดีว่าเกิดอันใดขึ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และหลังจากนี้ จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพื่อจะแยกสำนักเทพทะเลและเผ่ามังกรออกจากกัน และเผ่ามังกรจะสูญเสียการสนับสนุนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
เมื่อเห็นว่าอ๋าวอี่ดูไม่สบายใจ หลี่ฉางโซ่วจึงแนะนำว่า “ไปเดินเล่นบนภูเขาและหาสัตว์วิญญาณสักสองสามตัวมาย่าง แล้วส่งไปเป็นอาหารค่ำ”
อ๋าวอี่ฝืนยิ้มและเดินตามหลี่ฉางโซ่วไปด้วยความรู้สึกหนักใจ
ทั้งสองออกจากหอโอสถและมุ่งหน้าไปยังกรงสัตว์วิญญาณ หลี่ฉางโซ่วนำหัวข้อเกี่ยวกับคู่บำเพ็ญเต๋าของอ๋าวอี่มาพูดคุย ทำให้อ๋าวอี่รู้สึกผ่อนคลายมาก… และเบี่ยงเบนความสนใจของเขาออกไป ครั้นเมื่อพวกเขาตั้งเตาย่างและเริ่มย่างเนื้อในป่า พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องเสียงหนึ่งดังมาจากทะเลสาบ
“มิใช่ผู้ที่ข้าคิดถึง มิใช่ผู้ที่ข้าคนึงหา บูชาชื่นชม ประคบประหงมสตรีน้อยแสนงามเฉกเช่นนางเป็นธิดาของข้า”
นี่คือ เสียงองค์หญิงเงือกที่ส่งเสียงร้องเพลงออกมา เสียงร้องของนางนุ่มนวลและไพเราะยิ่ง ดูเหมือนว่าจะสามารถบรรเทาความเศร้าโศกในใจของผู้คนได้ ทำให้ผู้คนหลงใหลโดยไม่รู้ตัว
ทว่าในทางกลับกัน หลี่ฉางโซ่วจดจ่ออยู่ที่การย่างเนื้อ และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเสียงเพลง
สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาตามสายลม
จิ่วจิ่วกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่เจ้าพูดว่าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร?”
สงหลิงลี่กล่าวตามตรงว่า “ข้ายังอยากฟังอยู่ เจ้าร้องเพลงท่อนอื่นได้หรือไม่” เจียงซื่อเอ๋อร์กล่าวว่า “ขออภัยด้วย ข้าทำให้ตัวเองต้องอับอายกลายเป็นที่ขบขันเสียแล้ว ใช่ คงจะดีหากข้าบรรเลงพิณได้”
“แค่เรื่องเล็กน้อย” หลิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างสงบ แล้วชี้ไปทางด้านข้าง จากนั้น ร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสองก็กลายเป็นสตรีสองคน แล้วหยิบฉิน ขลุ่ยเซียว[1] และกลองออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงดนตรีบรรเลงดังออกมาจากกระท่อมมุงจาก และได้ยินเสียงเงือกดังขึ้นอีกครั้ง มันผสานเข้ากับเสียงเพลงและค่อยๆ ล่องลอยไป บนยอดเขาหยกน้อยช้าๆ
ในกระท่อมมุงจากข้าง ๆ ขณะนี้ ฉีหยวนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง ดวงตาชราฝ้าฟางของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์
บรรดาศิษย์ที่บังเอิญผ่านยอดเขาหยกน้อย ล้วนถูกดึงดูดด้วยเสียงร้องเพลงและบรรเลงดนตรี พวกเขาหยุดอยู่บนก้อนเมฆและฟังอย่างเงียบ ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกค่อนข้างมีอารมณ์
ในที่สุดหลิงเอ๋อร์ก็มีทักษะ แม้นางจะไปท่องเที่ยวในเมืองใกล้ๆ นางก็ยังสามารถเอาตัวรอดอยู่ได้ด้วยการแสดงตามท้องถนน
การจ่ายศิลาวิญญาณหนึ่งก้อน อย่างน้อยๆ ก็สามารถฟังเพลงได้สามท่อน!
ไม่นานเสียงร้องเพลงก็กลายเป็นเสียงหัวเราะ และบรรดาร่างที่ยืนอยู่ด้านนอกยอดเขาหยกน้อย ต่างก็แยกย้ายกันไป
หลี่ฉางโซ่วและอ๋าวอี่ใช้พลังเซียนของพวกเขา พาเนื้อย่างที่พวกเขาเตรียมไว้ให้ลอยไปที่กระท่อมมุงจากที่พวกเขาสองสามคนจัดโต๊ะเตี้ยพร้อมจัดอาหารและเครื่องดื่มไว้ที่ริมทะเลสาบ
หลิงเอ๋อร์ไปปรุงอาหารอีกสองสามจานและจับปลาปลาหลี่เหว่ยสองตัวมาทำอาหารเพิ่มขึ้น ตัวหนึ่งตุ๋นและอีกตัวก็ต้ม
ทว่าหลิงเอ๋อร์เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อนำจานอาหารมา… ดูเหมือนว่าเผ่าเงือกจะ…
อย่างไรก็ตาม หลิงเอ๋อร์กำลังคิดมากเกินไปเช่นกัน
เจียงซื่อเอ๋อร์กินปลาวิญญาณสองตัวอย่างสำราญใจยิ่งและไม่ตระหนี่คำชมที่ยกย่องฝีมือการทำอาหารของหลิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล
หลังอาหารค่ำ พวกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะและสนุกสนานกันจนดึกดื่น
จิ่วจิ่วร่ำร้องเกี่ยวกับการเริ่มต้นโครงการสงวนของยอดเขาหยกน้อย นางนำเสนอการแข่งขันอย่าง ศึกสู้มหาเทพ แบบจำลองวิถีเซียน และศึกสู้ทหารถั่ว จนทำให้ทั้งอ๋าวอี่และเจียงซื่อเอ๋อร์ ล้วนเวียนหัว ไม่อาจหยุดพักได้เลย…
…
หลังจากงานเลี้ยงสามวัน อ๋าวอี่และเจียงซื่อเอ๋อร์ก็กล่าวอำลากันอย่างไม่เต็มใจ
สำหรับอ๋าวอี่ ยามนี้ไม่ใช่เวลามาสนุกกัน เผ่ามังกรกำลังเผชิญปัญหา และเขา องค์ชายรองจะนิ่งเฉยอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เดิมที อ๋าวอี่มีแผนจะออกเดินทางในครึ่งวัน แต่สุดท้ายเขาก็ใช้เวลาไปสามวัน และนั่นทำให้อ๋าวอี่กระสับกระส่ายไม่สบายใจ
ก่อนที่อ๋าวอี่จะจากไป หลี่ฉางโซ่วก็ได้มอบชุดอุปกรณ์ในถุงผ้าไหมหลากสีสันให้เขา
คราวนี้มันเป็นถุงผ้าใส่ชุดอุปกรณ์ที่เหมาะสม
หลี่ฉางโซ่วแนะนำอ๋าวอี่ว่าให้เปิดถุงผ้าสีใดในเวลาใดบ้าง มันมีแผนรับมือฉุกเฉินอยู่ในนั้น
แผนการที่จัดเตรียมด้วยชุดอุปกรณ์เหล่านี้จะนำเผ่ามังกรให้ไปขอความช่วยเหลือจากองค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์ได้
ในเวลานี้ หลิงเอ๋อร์และเจียงซื่อเอ๋อร์ต่างสนิทสนมกันดี สตรีทั้งสองคนกล่าวคำอำลากันที่หน้าประตูสำนักตู้เซียน เจียงซื่อเอ๋อร์มองย้อนกลับไปมองพวกเขาในทุกๆ สามก้าวในขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็โบกมือให้
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่ พวกเราควรให้ของขวัญตอบแทนพวกเขาหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่ต้องห่วง” หลี่ฉางโซ่วเผยรอยยิ้มมีนัยลึกซึ้งยิ่งขึ้น “ข้าเตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว”
เจียงซื่อเอ๋อร์ได้มอบน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนให้กับหลิงเอ๋อร์ และหลี่ฉางโซ่วก็ได้มอบสุรามังกรพิษให้อ๋าวอี่ และโอสถปรารถนาอีกด้วย ดูเหมือนสุรามังกรพิษจะไม่มีผลใดๆ แต่โอสถปรารถนา…
เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมของยอดเขาหยกน้อย แน่นอนว่า ฤทธิ์โอสถย่อมได้รับการรับรอง
เมื่อรถม้ามังกรของอ๋าวอี่หายลับไปในเส้นขอบฟ้า หลี่ฉางโซ่วก็พาหลิงเอ๋อร์ไปโค้งคำนับให้เซียนผู้พิทักษ์ประตูก่อนจะขี่เมฆแล้วกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยด้วยกัน
ครั้นกลับมาถึงยอดเขาแล้ว หลิงเอ๋อร์ก็ก้มหน้าหนี ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ถามว่า “เจ้ายังอยากลองน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนอีกครั้งหรือไม่?”
หลิงเอ๋อร์ผงะงันทันทีแล้วหันศีรษะพลางหัวเราะคิกคักเบาๆ
“ข้าแค่…เอ่อ ศิษย์พี่ ท่านจะไม่ตกหลุมถูกจับอย่างแน่นอน… ข้าแค่… ฮิฮิ ศิษย์พี่ อย่ามีโทสะเลย…”
“ไม่ต้องห่วง คราวนี้ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าแน่นอน”
หลิงเอ๋อร์หน้าซีดเผือดทันที…
คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วกล่าวเบา ๆ และช้าๆ
“น้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนไม่มีผลกับข้า แต่มันสามารถช่วยท่านปรมาจารย์ใหญ่เติมเต็มความปรารถนาของนางได้ ข้าจะมอบยันต์หยกนี้ให้เจ้าเพื่อติดต่อท่านปรมาจารย์ใหญ่ได้ แล้วบอกนางถึงเรื่องน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อน และถามนางด้วยว่า นางอยากจะใช้มันหรือไม่” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและมองไปที่คนตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ และตบหน้าผากของเธอเบา ๆ “เจ้าคิดถึงเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ทุกวัน แต่ไม่อาจใช้ความคิดเหล่านี้ในการฝึกบำเพ็ญได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพการฝึกบำเพ็ญของเจ้าในยามนี้ มิได้ด้อยไปกว่าศิษย์ในสำนักคนใดเลย?”
หลิงเอ๋อร์ยกมือปิดหน้าผากและกัดริมฝีปากของนางพลางมองหลี่ฉางโซ่วอย่างน่าสงสาร เส้นผมสีดำขดม้วนอยู่รอบนิ้วของนางขณะที่นางกล่าวเบา ๆ ราวกับเสียงยุงบินว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะพยายามทุ่มเทฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก… เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ ท่านละเลย ไม่ตอบข้า ข้าไม่มั่นใจ…”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอย่างสงบและชี้ไปทางด้านหลังหลิงเอ๋อร์ แล้วพลังเวทจำลองก็ได้ก่อตัวขึ้นเป็นข่ายอาคมอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าในขณะที่หลิงเอ๋อร์ก็ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวจนชนเข้ากับกำแพงแสงของข่ายอาคมเบา ๆ และทันใดนั้นนางก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกทันที
“ศิษย์…”
หลี่ฉางโซ่วยกแขนซ้ายของเขาขึ้นปัดผ่านข้างหูของหลิงเอ๋อร์ และกดลงไปที่กำแพงแสง จากนั้นเขาก็ถอดชุดปลอมตัวที่เขาเคยใช้ปกปิดกลิ่นอายลมปราณและใบหน้าของเขาออก แล้วเผยเสน่ห์ออกมาขณะก้มหน้ามองหลิงเอ๋อร์
เขายื่นมือขวาออกไปข้างหน้าแล้วใช้นิ้วค่อยๆ เชยคางเล็กเรียบๆ ของหลิงเอ๋อร์
“พี่…”[2]
“หยุดพูด”
หลี่ฉางโซ่วค่อย ๆ ก้มศีรษะลงไปช้าๆ…
หลิงเอ๋อร์ใจเต้นแรง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และทำได้เพียงหายใจออกมาเท่านั้น
การเคลื่อนไหวของหลี่ฉางโซ่วนั้นเชื่องช้ามากจริงๆ ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปใกล้ หลิงเอ๋อร์ก็หดคอแล้วประคองตัวหนีจากแขนของหลี่ฉางโซ่ว นางปิดหน้าและรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อมมุงจาก ทิ้งร่องรอยของควันสีขาวไว้บนศีรษะของนาง[3]
จากนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นตามมาด้วยเสียงฟองสบู่เป็นชุด นางน่าจะกระโดดลงไปในถังอาบน้ำทันที
หลี่ฉางโซ่วเม้มริมฝีปากและส่ายศีรษะเบาๆ แล้วปลดข่ายอาคมออกอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะขี่เมฆไปทางหอโอสถอย่างสงบ
ดูนั่นสิ…
……………………………………………………………………….
[1] ขลุ่ยเซียวหรือเซียวหรือต้งเซียวหรือขลุ่ยเป่า เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าแนวตั้งโบราณของจีนมานานนับพันปี ให้เสียงไพเราะ พลิ้วไหว เบา นุ่มนวล
[2] เป็นคำเรียกต่อจากคำว่าศิษย์ข้างบน ซึ่งเต็มๆ ก็คือ ศิษย์พี่ แต่หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวตะกุกตะกักขาดช่วงไปเพราะความเขินอาย
[3] คนจีนมักจะใช้บรรยายในเชิงที่บอกถึงว่าตัวละครมีความอายมากหรือโมโหมาก ซึ่งในบริบทนี้ก็คือความรู้สึกอายมาก