ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 286 ผู้ใดยังไม่เคยดุองค์เง็กเซียน (2)
ตอนที่ 286 ผู้ใดยังไม่เคยดุองค์เง็กเซียน? (2)
โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็พาเจียงซื่อเอ๋อร์มาชนจอกดื่มอวยพรกัน ทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจนั้น ค่อยๆ เบาบางลงไปเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วลุกยืนขึ้นและส่งข้อความแนะนำอ๋าวอี่สองสามคำเพื่อให้อ๋าวอี่ตั้งใจชนจอกเป็นพิเศษกับแม่ทัพสวรรค์ทุกๆ คนที่โต๊ะนี้
เมื่อเห็นอ๋าวอี่ดื่มจนใบหูแดงก่ำ หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มและกล่าวว่า “รองเจ้าสำนัก วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้า แต่เจ้าไม่อาจเอาแต่จดจ่ออยู่กับการดื่มเพียงอย่างเดียวจนละเลยชายาแสนงามได้”
ชั่วขณะนั้น ใบหน้าของอ๋าวอี่ก็ยิ่งก่ำสีมากขึ้น เขาพึมพำสองสามคำและยอมจำนนให้กับสีหน้ายิ้มแย้มของหลี่ฉางโซ่วแล้วดึงร่างของเจียงซื่อเอ๋อร์มาด้านข้าง
หลี่ฉางโซ่วมีความรู้สึกบางอย่างในใจในขณะที่มองไปที่บ่าวสาวมังกรคู่ใหม่ แท้จริงแล้วไม่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะดำรงชีพอยู่อย่างไร ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ สำหรับมังกรรุ่นที่สองอย่างอ๋าวอี่ เขามีคุณสมบัติไม่เหมือนผู้ใด ทั้งยังแบกความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
ส่วนองค์หญิงเงือกน้อยอย่างเจียงซื่อเอ๋อร์ นางเติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้อย่างไร้กังวลใดๆ ภายใต้การคุ้มครองของกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังนาง และจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในภายหน้า
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้จะกล่าวอะไร เขารู้สึกว่าค่อนข้างโชคดีที่ท่านอาจารย์ของเขารับเขาไปอยู่ที่สำนักตู้เซียน
จากภูมิหลังของผู้คนในสำนักตู้เซียน เขาได้รับสิทธิพิเศษที่จะดำรงอยู่อย่างสงบสุขในโลกบรรพกาล ความจริงแล้ว เขายังโชคดีกว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มากนัก
เขาใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล ในความเรียบง่ายแต่ไร้กังวล ใช้ชีวิตตามความคิดอย่างชัดเจน แต่ละคนล้วนมีข้อดีต่างกันไป ไม่อาจแบ่งแยกสูงต่ำระหว่างกันได้
หลี่ฉางโซ่วรินสุราใส่จอกให้ตัวเองแล้วมองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยซึ่งเป็นภาพสะท้อนของสุรา…
วันนี้เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดผู้คนมากมายถึงถอนหายใจและรู้สึกสะเทือนอารมณ์?
เป็นไปได้มากว่า เขาไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นอ๋าวอี่แต่งงานและเห็นสิ่งมีชีวิตอยู่ในวิบากกรรม
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มสุราในจอกของเขา
จอกนี้ดื่มให้ตัวเอง ขอบคุณที่เอาตัวรอดจากภัยอันตรายมาได้จนถึงวันนี้
สุราล้างคอของเขา ทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้น และจัดการกับผลที่ตามมาต่อไป
แม้คราวนี้ จะขับไล่สำนักบำเพ็ญประจิมออกไปได้ แต่เขายังต้องตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า สำนักบำเพ็ญประจิมยังคงปราบปรามเผ่ามังกรต่อไป นั่นคืองานที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดเช่นกัน
เขาปวดศีรษะนัก
หลังจากงานอภิเษกยิ่งใหญ่ ก็มาถึงงานเฉลิมฉลองใหญ่ และคาดว่างานเลี้ยงของวังมังกรครั้งนี้ จะกินเวลานานกว่าหนึ่งเดือน
ในขณะนั้น ผู้ใดก็ตามที่อยากจากไปก่อน ย่อมจะมีความสัมพันธ์ห่างเหินกับเผ่ามังกร
แขกส่วนใหญ่ต่างก็รู้กฎของเผ่ามังกรก่อนจะมาถึงที่นี่แล้ว พวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องอยู่ที่นี่หนึ่งถึงสองเดือนเป็นอย่างน้อย
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ ผู้ใดบ้างที่จะดื่มสุราแล้วได้รับอันตราย?
เอ่อ จู่ๆ เขาก็นึกถึงอาจารย์อาน้อยอย่างไม่อาจอธิบายได้…
หลี่ฉางโซ่วทำการคำนวณบางอย่างและถึงกับแอบตะลึงงันกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากงานเลี้ยงแต่งงานของวังมังกร
เป็นไปตามคาด เขามาจากยอดเขาหยกน้อย เขาไม่ควรใจอ่อนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามังกรแห่งโลกบรรพกาล…
ในขณะที่เขากำลังร่วมงานเลี้ยงกับกับร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน เขาก็ยังซ่อนกองทัพตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่เขาได้วางกระจัดกระจายอยู่ในทะเลบูรพาและทะเลทักษิณ
แม้เขาจะไม่ได้ใช้มันในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ใช้มันในภายหน้า
คราวหน้า หากเขาต้องเผชิญอันตรายเช่นนี้อีก เขาก็ไม่จำเป็นต้องส่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว การเตรียมการย่อมจะง่ายขึ้นมาก
เมื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็หันไปสนใจเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยผู้ดุดันและชั่วร้าย และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง
สุดท้าย ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม แม้ทั้งสองคนจะรู้ใจของกันและกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้คืบหน้าแม้เพียงครึ่งก้าวเลย…
พวกเขาไม่ได้กระตุ้นให้ “บังเอิญ เกิดประกายไฟใดๆ”
เอาใบเหลืองเตือนใจไปสักครั้งหนึ่งสำหรับโอสถเพลิงหัวใจ
หลี่ฉางโซ่วเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน พวกเขาเป็นเช่นเนื้อแดดเดียวรมควัน[1]ที่มีอายุเกินกว่าสองร้อยปี หากพวกเขายังเยาว์วัยเช่นเขา ก็คงเข้าใจได้ว่าพวกเขาจะไร้เดียงสากว่านี้อยู่สักหน่อย
คนสองคนนี้มีอายุนับพันปีแล้ว ไฉนถึงกระบิดกระบวนเช่นนี้!?!
แต่เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของนางแล้ว ก็ต้องบอกว่า หากนางมีหัวใจสาวในร่างสูงวัย ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์
ในวันที่หกของงานอภิเษกของอ๋าวอี่ จ้าวกงหมิง และหวงหลงเจินเหรินก็มาที่วิหารเทพทะเลในเมืองอันสุ่ยด้วยกัน
หลี่ฉางโซ่วรอมานาน เขาใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์รูปเซียนชรามาพบกับปรมาจารย์ทั้งสองคนและเชิญพวกเขาไปดื่มชา
ทันทีที่เขานั่งลง หวงหลงเจินเหรินก็ถามว่า “สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเล ในวันนั้น ไม่มีผู้ใดโจมตีดวงตาแห่งท้องทะเลหรือ?” จ้าวกงหมิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นเพราะน้องชายเทพแห่งท้องทะเลเป็นกังวล ดังนั้นเขาจึงเตรียมการ เตรียมพร้อมป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่ามาแก้ไขในภายหลัง”
“นั่นก็จริง” หวงหลงเจินเหรินถอนหายใจและกล่าวว่า “ในตอนนั้น ข้าได้ยินจากน้องชายเทพแห่งท้องทะเลว่า มีคนไปสร้างปัญหาที่ดวงตาแห่งท้องทะเลบูรพา ทำให้ข้ากลัวจนเหงื่อตกจริงๆ หากดวงตาแห่งท้องทะเลเปิดออก สิ่งมีชีวิตก็จะถูกทำลาย และจะต้องเติมเต็มด้วยมังกรมากมายนับไม่ถ้วน”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องบอกตำแหน่งที่แท้จริงของดวงตาแห่งท้องทะเล แต่ได้โปรดบอกข้าว่า ผู้พิทักษ์มังกรที่ดวงตาแห่งท้องทะเลรับรองได้ว่าจะปลอดภัย และไม่มีปัญหาอะไรได้หรือไม่?”
“ได้สิ” หวงหลงกล่าว “ดวงตาแห่งท้องทะเลทั้งสี่นั้น มีแม่ทัพมังกรสี่คนที่รอดชีวิตมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงบัดนี้ คอยพิทักษ์อยู่ และเผ่ามังกรจะไม่ละเลยสถานที่แห่งนี้อย่างเด็ดขาด”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ พลางยิ้ม และกล่าวว่า “ข้าคิดมากไปจริงๆ”
เขาไม่ได้กล่าวถึงจักจั่นทองหกปีก เพราะในท้ายที่สุด มันก็ไร้ประโยชน์ที่จะกล่าวถึง
คนที่ดุร้ายเช่นผู้บำเพ็ญเหวินจิง และจักจั่นทองหกปีก จะไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในโลกบรรพกาลอย่างแน่นอน เว้นแต่เพื่อเหตุเช่นนี้
เมื่อผู้บำเพ็ญเหวินจิงถูกรบกวนจากสภาพจิตใจนั้น ก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างเดียวเท่านั้น
จ้าวกงหมิงถอนหายใจช้า ๆ และกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่หวงหลงและข้าเตร่ไปทั่วทะเลทักษิณและทะเลบูรพา และพบว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากจริงๆ”
“ถูกต้อง” หวงหลงเจินเหรินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่สุดจะทนรับได้ “เมื่อใดกันที่เผ่ามังกรจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้? สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเล ข้ามาที่นี่เพื่อถามว่า ยามนี้ เรื่องนำเผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“คืบหน้าราวสามในสิบส่วนแล้ว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ผู้น้อยไม่กล้าปิดบังอะไร เมื่อผู้อาวุโสกงหมิงลงมือหยุดคนจากสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งหกคน ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของข้าก็อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน ศาลสวรรค์ช่วยเผ่ามังกรให้รอดพ้นจากศัตรูไปได้ และยามนี้เผ่ามังกรก็ประทับใจศาลสวรรค์เล็กน้อยแล้ว วิธีที่จะสร้างความคืบหน้าต่อจากนี้ไป ก็ขึ้นอยู่กับว่า เผ่ามังกรจะเผชิญกับปัญหาใดๆ ในภายหน้าอีกหรือไม่ และจะขอความช่วยเหลือจากศาลสวรรค์ด้วยหรือไม่”
หวงหลงเจินเหรินพยักหน้าช้าๆ เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิด และเข้าใจนัยคำพูดของหลี่ฉางโซ่ว
สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินยืนอยู่ข้างศาลสวรรค์เพื่อปราบเผ่ามังกรนั้น หาใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของเผ่ามังกรไม่ แต่ถึงกระนั้น หวงหลงเจินเหรินก็มองไปที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เซียนชราของหลี่ฉางโซ่วอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเผ่ามังกร”
“ท่านผู้อาวุโส โปรดอย่ามากพิธีเช่นนี้เลย”
“ใช่แล้ว!” จ้าวกงหมิงยืนอยู่ข้างๆ กล่าวพลางสะบัดแขนเสื้อ “ทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน! เอ่อ น้องชายเทพแห่งท้องทะเล ครั้งนี้ ข้าทำตามที่เจ้าบอกเมื่อลงมือในทะเลบูรพาจริงๆ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกในภายหน้า… แค่กๆ หากมีคนติดตามเรื่องนี้ เจ้าต้องช่วยข้าชี้แจงสักหน่อย”
“แน่นอนขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “คราวนี้ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยให้เราทำลายแผนของอีกฝ่ายได้ ท่านผู้อาวุโสล้มลงนอนลงที่นั่น จริงๆ อย่างแน่นอน!”
“จริงๆ นะ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
จ้าวกงหมิงตัวลอยขึ้นไปในอากาศทันที เขาหัวเราะพลางลูบเคราแล้วกล่าวว่า “แค่เคล็ดลับเล็กน้อยเท่านั้น ไยต้องใส่ใจกันเล่า!?! ว่าแต่ เมื่อศิษย์พี่เสวียนตูเห็นเช่นนั้นแล้ว เขากล่าวอันใดหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ส่วนใหญ่ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวแต่ว่า “สุดยอดมาก” ขอรับ
“อา วิธียอดเยี่ยมนี้ก็มาจากน้องชายเทพแห่งท้องทะเล แล้วข้าจะเอาหน้าได้อย่างไรกันเล่า… หือ?”
จ้าวกงหมิงหยุดกล่าวไปชั่วขณะหนึ่งและเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลังคาทันทีพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วทันใดนั้น ร่องรอยของอักขระเต๋าก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา
“กล้าดีอย่างไรถึงมาสอดแนมที่นี่!” กล่าวจบ เขาก็สะบัดนิ้วทันที และแสงสีเขียวก็เปล่งประกายแวบวาบออกมาแล้วหายไปในพริบตา จากนั้น ยุงเลือดบนท้องฟ้า…ก็ระเบิดออก
………………………………………………………………
[1] หมายถึงผู้สูงวัยที่ดูดี มากด้วยประสบการณ์