ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 289 รางวัลเล็กน้อยจากความสับสนของเต๋าสวรรค์ (1)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 289 รางวัลเล็กน้อยจากความสับสนของเต๋าสวรรค์ (1)
ตอนที่ 289 รางวัลเล็กน้อยจากความสับสนของเต๋าสวรรค์ (1)
ในกระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์ พวกเขาศิษย์พี่น้องสองคนย้ายเก้าอี้กลมสองตัวมานั่งข้างหน้าต่าง มองดูคู่รักเซียนอาวุโสใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ
หลิงเอ๋อร์ใช้พลังเวทของนางถือถาดบรรจุผลไม้แห้งและขนมที่ศิษย์พี่ของนางชอบจำนวนสองถาด และนางยังชงชารสดีชื่นใจอยู่ที่ด้านข้างอีกด้วย
หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมการบางอย่างเอาไว้นอกกระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์เพื่อป้องกันมิให้ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งรู้ว่าทั้งสองคนกำลังเฝ้าดูอยู่ในที่สว่างโจ่งแจ้ง
บัดนี้ กลุ่มผู้เฝ้าสังเกตการณ์พิเศษแห่งยอดเขาหยกน้อยได้กลับมาปฏิบัติการอีกครั้ง!
ในเวลานี้ สงหลิงลี่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดพื้นที่ใหม่ของกรงสัตว์วิญญาณ นางไม่รู้เรื่องนี้มากนัก และไม่ได้สนใจใดๆ จึงไม่ได้มาร่วมสนุกด้วย
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วไม่จำเป็นต้องเตรียมการเหล่านี้หรอก…
ทั้งสองคนนั้นต่างก็มีสายตาให้กันและกันเท่านั้น แล้วพวกเขาจะสนใจได้อย่างไรว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
ท่ามกลางวิหคกำลังร้องเพลงขับขาน บุปผาส่งกลิ่นหอมจรุง และสายลมโชยอ่อนๆ
กิ่งก้านต้นหลิวพลิ้วอ่อนโยนจนทำให้ใจของผู้คนสั่นไหวราวกับคลื่นน้ำในทะเลสาบขนาดเล็กนั้น
ในสถานการณ์เช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็มีอารมณ์กวีปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว เขาก็เลือกที่จะละทิ้งมันไปอย่างชาญฉลาด
เขาตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรให้ตัวเองเขินอายขึ้นมา ต่อหน้าศิษย์น้องหญิงของเขา
หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เห็นด้วยเล็กน้อยกับการกระทำก่อนหน้านี้ของศิษย์พี่ที่มอบโอสถให้กับปรมาจารย์ใหญ่ของพวกเขา
“ศิษย์พี่ พวกเรามาช่วยท่านปรมาจารย์ทำเช่นนี้ จะเป็นเรื่องที่… ไม่สมควรอยู่สักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงเอ๋อร์ถามเบา ๆ พลางใช้นิ้วหมุนปอยผมให้พันไปรอบนิ้วของนาง
“แน่นอนว่า มันไม่เหมาะนัก” หลี่ฉางโซวกล่าวอย่างสงบ “บัดนี้ พวกเขาทั้งสองคนได้พัฒนามาถึงขั้นนั้นแล้ว การผลักดันพิเศษ เพิ่มเติมใดๆ จะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ ตัวตนของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งเป็นเช่นนั้น…ยากจะเข้าถึงได้ง่ายๆ หากให้ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยใช้วิธีนั้นจนทำสำเร็จได้จริง ๆ เมื่อฤทธิ์โอสถหมดลงแล้ว พวกเขาทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากันอย่างไร?”
หลิงเอ๋อร์สับสนเล็กน้อยและจู่ๆ ก็กระซิบว่า “หากพวกเขารักกัน ก็คงจะดี… แต่นั่นไม่ถูกต้อง เรื่องนี้อาจทำให้เกิดความไม่พอใจได้ หากทำให้ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งขุ่นเคืองใจ”
นางหันศีรษะขวับไปมองด้านข้างด้วยไม่กล้ามองศิษย์พี่ที่อยู่ข้างๆ นางตรงๆ จนลำคอของนางแดงก่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ศิษย์พี่… แล้วไฉนท่านจึงมอบสิ่งนั้นให้ท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อย?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง นั่นเป็นของปลอม”
“อะไรนะ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบและกล่าวว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า ครั้งหนึ่ง ข้าเคยตำหนิเจ้าเพราะเรื่องของหวางฉี และหลิวเยี่ยนเอ๋อร์?
“เจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์พยักหน้าเบา ๆ พลางกล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ศิษย์พี่ ท่านตำหนิผู้อื่นอย่างดุเดือดมากในครั้งนั้น และท่านก็ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในสามอันดับแรกมาหลายปีแล้ว ข้าจะลืมไปได้อย่างไรกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และชี้แจงว่า “หลิวเยี่ยนเอ๋อร์และหวางฉีต่างก็รักกันดี แต่ในยามนั้น หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ยังคงลังเลใจ เรื่องความรู้สึกนั้น หาใช่ว่า เพียงแค่มีความรักต่อกันแล้วจะเกิดผลลัพธ์ แน่นอนว่า ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาเช่นกัน ความรักระหว่างชายหญิงเป็นหัวข้อที่ถูกกล่าวถึงในโลกมนุษย์บ่อยครั้ง เพราะเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ แต่คนเราย่อมไม่อาจใช้เพียงความรู้สึกอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาควรมีแง่มุมอื่นๆ ของชีวิตตัวเองอีกด้วย เช่น การแสวงหาการฝึกบำเพ็ญ หากใส่ความคิดทั้งหมดลงไปในความสัมพันธ์บางเรื่องอย่างหมกมุ่นเต็มที่แล้ว ก็รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์นั้นเสียรูปผิดปกติไปจนยุ่งยากหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็จะจบลง เมื่อมองดูท่านปรมาจารย์หว่างฉิงอีกครั้ง ก็ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน เขาอาจจะกังวลเรื่องเต๋าของเขา หรืออาจจะยังกังวลในเรื่องชื่อเสียงของเขาในสำนักด้วย… กล่าวโดยรวมแล้ว ย่อมไม่อาจฝืนบังคับได้อย่างแน่นอน”
ดูเหมือนว่า หลิงเอ๋อร์จะไม่เข้าใจ ทว่าดูเหมือนว่า ศิษย์พี่จะตอบคำถามของนางแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ตอบตอบอะไรเช่นกัน…
ศิษย์พี่ถึงกับฉวยโอกาสนี้ พร่ำสอนนางตามเคย จากนั้นนางก็กล่าวว่า “แต่ศิษย์พี่… ประเด็นหลักในยามนี้คือ ท่านปรมาจารย์ใหญ่คิดว่านั่นเป็นโอสถบางอย่าง หากมันไม่ได้ผล แล้วจะเกิดอันใดขึ้นกับท่านปรมาจารย์ใหญ่เจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วอดจะหรี่ตาลงและยิ้มไม่ได้ เขาบิผลซิ่งแห้งแล้วใส่เข้าปากก่อนจะค่อยๆ เคี้ยวช้าๆ และกล่าวว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านปรมาจารย์ใหญ่จะเลือกอย่างไร หากท่านปรมาจารย์ใหญ่เผยความคิดของนางออกมาก่อนแล้วบอกให้เขารู้ว่า พวกเขาน่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันต่อไปได้ไกลกว่านี้ หลังจากที่ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งตกลงและดื่มขวดของเหลวฝึกปราณแล้ว แม้จะไม่มีอะไรผิดแปลกไปก็ตาม เขาก็จะก้าวไปข้างหน้า ทว่าหากท่านปรมาจารย์ใหญ่ไม่เผยความคิดออกมา เพียงแอบวางยาเขาลับๆ ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งย่อมจะดื่มได้ตามปกติไม่แตกต่างกัน… แต่ด้วยวิธีเช่นนั้น พวกเราย่อมไม่แตะต้องกรรมอย่างแน่นอน”
หลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างกังวลว่า “แล้วหากท่านปรมาจารย์ใหญ่กล่าวโทษพวกเราเล่าเจ้าคะ?”
“หากท่านปรมาจารย์ใหญ่มาถามเอาความผิดพวกเรา พวกเราก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งมีระดับพลังปราณสูงเกินไป พวกเราก็จะจัดการได้”
มันซับซ้อนเพียงนั้นเลยหรือ?
หลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังฟังอยู่ที่ด้านข้าง ผงะงันทันทีขณะที่อ้าปากค้างเล็กน้อย
เป็นเพียงแค่เลือกว่าจะใช้โอสถหรือไม่เท่านั้น ไฉนศิษย์พี่ถึงมากเล่ห์เช่นนี้…
แน่นอนว่า การจัดการศิษย์พี่ด้วยลักษณะเดียวกัน ย่อมไม่เป็นผลใดๆ
ทว่าในทางกลับกัน หลี่ฉางโซ่วกลับหยุดไปชั่วขณะและมองหลิงเอ๋อร์อย่างผิดหวังพลางกล่าวว่า “เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนี้ง่ายมาก แต่เจ้าคิดไม่ออกจริงๆ”
“ศิษย์พี่!”
หลิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นแล้ววางไว้ข้างหน้าหลี่ฉางโซ่วพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ายินดีที่ยอมรับการลงโทษในครั้งนี้ด้วยการคัดลอกพระสูตรมั่นคงห้าร้อยจบ!”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า แต่เจ้าต้องดูและคิดให้มากขึ้นกว่านี้ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะมองให้ทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาจากที่เห็นเพียงภายนอกได้…
“นั่น ท่านปรมาจารย์ใหญ่เริ่มแล้ว”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาทันที แล้วขยับเข้าไปใกล้หลี่ฉางโซ่วพลางมองดูคนทั้งสองกำลังดื่มสุราด้วยกันอยู่ใต้ต้นหลิว
ที่ใต้ต้นหลิว หลังจากดื่มสุราไปหนึ่งไหแล้ว เจียงหลินเอ๋อร์ก็หยิบไหสุราออกมาอีกแล้วขยิบตาเบาๆ ให้ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง
“อืม… แล้วเจ้าอยากดื่มอีกหรือไม่?”
“แน่นอน” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยิ้มพลางพยักหน้า แม้เขาจะกล่าวประโยคสั้นๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็อดจะแอบส่ายศีรษะไม่ได้
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งช่างตาบอดจริงๆ ด้วยความรักระหว่างชายหญิง และสีหน้าท่าทีของเจียงหลินเอ๋อร์ที่ทรยศต่อตัวนางเองได้แสดงออกมาให้เห็นในขณะนั้น ทว่าปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งกลับมิได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ตามที่เขาคาดไว้ การลุ่มหลงสาวงามก็น่ากลัวพอๆ กับการเป็นคนมัวเมาจนขาดสติเช่นกัน
เจียงหลินเอ๋อร์ถือไหสุราและลังเลอยู่สองสามครั้ง นางมีสีหน้าท่าทางลังเล แต่ก็ยังคงรินสุราให้เขาก่อนจะก้มศีรษะลงและเม้มปากด้วยไม่กล้ามองเขาอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่า นางรู้สึกผิด “มีอันใดผิดปกติหรือ?”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยกจอกสุราขึ้นแล้วถามอ่อนโยนว่า “ยังมีอะไรที่เจ้าพูดออกมาไม่ได้อีกหรือ?”
“ไม่ ไม่มีอะไร เจ้าดื่มเถิด!”
“ได้สิ” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยกจอกขึ้นพลางจ้องมองเจียงหลินเอ๋อ ตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดการณ์ไว้ ในเวลานี้ ดวงตาของ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งน่าจะส่ง ‘สายตาที่ฉายแววอ่อนโยนเป็นพิเศษ’ และ ‘สร้างรูปแบบพิเศษ’ ขึ้นในดวงตาของเขาเองทันที…
ไม่ต้องสร้างความขาวใส แม้ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยจะดุร้ายนัก แต่นางก็ยังขาวและงดงามยิ่ง
ในขณะนั้น จอกสุราค่อยๆ ถูกส่งไปที่ปากของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งช้าๆ และเขาก็ลิ้มรสมันอย่างไม่ลังเล…
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็ร้องออกมาเบา ๆ และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็กะพริบตาด้วยดวงตาที่ฉายแววสับสน
“เกิดอันใดขึ้น?”
“ข้า! ไม่มีอันใด…” เจียงหลินเอ๋อร์กระตุกมุมปากเบาๆ แล้วกัดฟันพลางถอนหายใจพร้อมกับกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าทำเช่นนี้กับเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าใส่ยาไว้ในสุรานี้”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
เจียงหลินเอ๋อร์ก้มศีรษะลงและมุ่ยปากพลางกะพริบตา และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่ากว่าสิบปีแล้วที่เราสองคนกลับมาคบกัน เราก็น่าจะ… ก้าวต่อไปอีกขั้น… ก้าวต่อไปยังขั้นตอนที่เรายังไม่ได้ทำ…”
จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นและปัดปลายเส้นผมที่ข้างหูของนาง แล้วกล่าวเสียงเบาลงเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด นางก็กล่าวได้เพียงประโยคเดียวว่า “เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยิ้มและถามว่า “นี่เป็นยาอะไรหรือ?”
“น้ำเสน่หา” เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวโดยไม่หักหลังศิษย์ตัวน้อยของนาง นางยกมือขึ้นและยกนิ้วโป้งพลางกล่าวว่า “เรียกได้ว่า มันมีฤทธิ์ทรงพลัง ได้ผลยอดเยี่ยมยิ่ง!”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งอดหัวเราะ ไม่ได้ เขายกจอกสุราในมือขึ้นแล้วเงยหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์ร้องออกมาเบา ๆ
“เฮ้!”
“แค่กๆ” ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งวางจอกลงและมองเจียงหลินเอ๋อร์ด้วยความเสน่หา
“หลินเอ๋อร์ ข้าไม่เก่งกาจในเต๋านี้ ทำได้เพียงฝึกฝนเท่านั้น หลายครั้งที่ข้าไม่อาจเผยความห่วงใยเจ้าออกมาได้อย่างเต็มที่ ข้าควรทำอย่างไรต่อไป? เจ้าสอนข้าได้หรือไม่?”
“นี่… นี่…”
…………………………………………………………