ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 3 เริ่มต้นบทเรียนแรก
เมื่อครู่นี้ เป็นการให้คำสัตย์สาบานแห่งเต๋าเพื่อรักษาความลับจริงๆ หรือ
ขณะที่ย่างเท้าก้าวออกไปจากกระท่อมมุงจากที่ทำจากหญ้าฟางนั้น ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งเดิมทอประกายราวกับไข่มุกสีดำก็พลันซีดจางลงไปเล็กน้อย ทั้งร่างเอนไปมาขณะที่ฝีเท้าสั่นไหวโซเซ
“นี่” จู่ๆ ก็มีฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมาอยู่เบื้องหน้านาง กลางฝ่ามือมีเม็ดโอสถสีเขียวอ่อนเม็ดหนึ่ง
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “โอสถหลอมรวมพลังปราณ ไม่มีพิษและมีฤทธิ์อ่อนโยนมาก ผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มฝึกบำเพ็ญก็สามารถใช้มันเพื่อฟื้นฟูพลังได้”
“ขอบคุณศิษย์พี่…”
หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวตอบอย่างอายๆ พลางหยิบเม็ดโอสถก่อนจะหันร่างไปด้านข้างแล้วใส่เม็ดโอสถเข้าไปในปากเล็กๆ ของนาง
เม็ดโอสถละลายทันทีที่ต้องน้ำลายในปาก ทำให้นางได้ลิ้มรสชาติราวกับน้ำแร่หวานฉ่ำจนอดที่จะส่งเสียงร้องครางเบาๆ ว่า ‘ฮึ้ม’ ออกมามิได้ พริบตาก็ช่วยให้นางมีกำลังวังชาขึ้นมาแล้ว
ศิษย์น้องหญิงผู้นี้น่ารักจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วเลื่อนมือใหญ่มาจากด้านข้างแล้วลูบศีรษะของนางเบาๆ อย่างเอ็นดู กล่าวออกมาอย่างอบอุ่นว่า
“นับจากนี้ไปเจ้าจะเป็นสมาชิกของยอดเขาหยกน้อยด้วย ก่อนอื่นข้าจะพาเจ้าไปดูรอบๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หลังจากอาจารย์พ้นฤทธิ์โอสถ… อะแฮ่ม หลังจากอาจารย์นั่งสมาธิเสร็จแล้ว เขาจะสอนวิธีฝึกบำเพ็ญระดับต้นให้เจ้า หากยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจเจ้าก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณศิษย์พี่เจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวตอบเสียงแหลมเล็กพลางประสานมือคารวะ
หลี่ฉางโซ่วไพล่มือไปด้านหลังขณะที่เดินตรงไปยังทะเลสาบแล้วกล่าวว่า “ก่อนอื่น พวกเราไปดูปลาวิญญาณในทะเลสาบกันก่อน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นของดี และยังถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญแห่งยอดเขาหยกน้อยของเราด้วย”
หลันหลิงเอ๋อร์รีบตามเขาไปอย่างรวดเร็ว เหยียบย่างบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่มแล้วเขย่งเท้ามองเข้าไปในทะเลสาบ
น้ำในทะเลสาบนั้นใสเป็นพิเศษ และปลาที่อยู่ภายในนั้นก็กำลังแหวกว่ายอย่างอิสระเริงร่าไร้กังวล
“ดูสิ” หลี่ฉางโซ่วชี้ไปที่ปลาวิญญาณที่มีเกล็ดหลากสีสันสดใสหลายตัวแล้วเอ่ยว่า “สวยใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” หลันหลิงเอ๋อร์พยักหน้ารับหงึกหงัก นางถูกปลาวิญญาณเหล่านี้ดึงดูดความสนใจไปแล้วจนส่งเสียงอุทานชื่นชมออกมาไม่หยุด
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนจากศิษย์พี่ของตนที่อยู่ข้างๆ ว่า
“เมื่อเจ้าได้ฝึกฝนพลังลมปราณครั้งแรกแล้ว พวกเราจะมาจัดงานเลี้ยงปลาวิญญาณกัน ปลาวิญญาณเกล็ดหลากสีชนิดนี้มีชื่อเรียกขานกันว่า ปลาหลี่เหว่ย[1] ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปผัด นึ่ง ย่าง หรือทอดได้ มีรสชาติอร่อยเลิศล้ำทั้งสิ้น และที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ มันยังช่วยเพิ่มพูนคุณภาพของพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญได้สร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย”
บนหน้าผากหลันหลิงเอ๋อร์ปรากฏเส้นขีดสีดำสองเส้นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “จะ…จะกินพวกมันหรือเจ้าคะ”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะเลี้ยงพวกมันไปไยเล่า”
และทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็สะบัดมือซ้ายโปรยเมล็ดข้าวหนึ่งกำมือออกไป ส่งผลให้แขนเสื้อด้านซ้ายของเขาพลันพลิ้วไหว ปากยังร้องตะโกนว่า “ได้เวลาอาหารแล้ว!”
ฉับพลันนั้นปลาวิญญาณก็แหวกว่ายมาจากทั่วทุกสารทิศจนท่วมท้นทะเลสาบอย่างกะทันหัน และทำให้ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายสดใสออกมาทันที
“เอ้านี่” จู่ๆ มือใหญ่ก็ยื่นกระเป๋าผ้าใบเล็กมาให้นาง “มีอาหารปลาอยู่ในนั้น หากเจ้าชอบ ข้าจะมอบงานให้อาหารปลาทุกวันแก่เจ้า”
“เจ้าค่ะ! ขอบคุณศิษย์พี่!”
หลันหลิงเอ๋อร์ตอบกลับอย่างร่าเริงแล้วหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมา ก่อนจะหยิบเมล็ดข้าวออกมาโปรยไปในทะเลสาบ
เห็นท่าทางระมัดระวังอย่างยิ่งเช่นนั้นของนางแล้ว ราวกับกลัวว่าอาหารปลาเหล่านี้จะทำร้ายเกล็ดที่สวยงามของปลาวิญญาณเอาได้
หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ด้านข้างแย้มยิ้มอย่างนิ่งสงบ
อา งานประจำวันน้อยลงแล้ว ย่อมมีเวลาไปฝึกบำเพ็ญตนได้มากขึ้น!
จากมุมมองในด้านนี้ ก็ดูเหมือนว่าการมีศิษย์น้องหญิงน้อยเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
หลันหลิงเอ๋อร์สะบัดมือน้อยๆ ของนางเพื่อโปรยอาหารปลาลงไป แล้วปลาวิญญาณในน้ำก็แหวกว่ายมารุมล้อมเป็นฝูงทำให้นางได้เล่นกับฝูงปลาอย่างเพลิดเพลินสนุกสนานยิ่ง
หลี่ฉางโซ่วยืนรอข้างๆ นางอยู่ชั่วขณะก่อนจะดีดนิ้วเล็กน้อย แล้วกระแสน้ำเล็กๆ สองสายก็ระเบิดขึ้นมาบนผิวทะเลสาบ จากนั้นปลาหลี่เหว่ยสองตัวก็ถูกโยนออกมาจากน้ำก่อนจะถูกเขาจับไว้ได้กลางอากาศ ใช้น้ำในทะเลสาบห่อไว้เป็นทรงกลม จากนั้นก็ยัดพวกมันเอาไว้ในแขนเสื้อ
หลันหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างอึ้งงันไปแล้ว รีบถามเสียงค่อยว่า “เหตุใดศิษย์พี่ถึงใส่ปลาเอาไว้ในแขนเสื้อล่ะเจ้าคะ”
“ของขวัญ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบเรียบๆ “สำนักตู้เซียนของเราอาจเป็นสำนักบำเพ็ญเซียน แต่ก็ยังคงทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดากระทำกัน อีกเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปลงทะเบียนเข้าสำนัก แล้วจะไปมือเปล่าได้เยี่ยงไรเล่า!”
หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวเท่าใดนัก แต่นางก็ยังคงพยักหน้ารับหงึกหงักอย่างเชื่อฟังแล้วกล่าวว่า “รบกวนศิษย์พี่ช่วยเป็นธุระให้แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หากเจ้าเล่นสนุกกับปลาพอแล้วก็มาทางนี้เถิด”
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ไพล่มือไว้ด้านหลังขณะเดินไปยังสวนสมุนไพรใกล้ทะเลสาบ หลันหลิงเอ๋อร์เหลือบมองฝูงปลาในทะเลสาบแล้วโบกมือให้พวกมัน ก่อนจะรีบตามหลี่ฉางโซ่วไปอย่างรวดเร็ว
ข้างๆ สวนสมุนไพรนั้น หลี่ฉางโซ่วได้อธิบายประเภทและฤทธิ์ของสมุนไพรวิญญาณหลายร้อยชนิดในสวนสมุนไพรเหล่านั้นสั้นๆ
ขณะนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็พยายามจดจำทุกสิ่งที่เขาพูดอย่างเต็มที่ นางซึ่งไม่รู้เลยว่าถูกศิษย์พี่ของตนมอบหมายให้เป็นคนสวนคนใหม่ ยามได้ฟังเสียงอบอุ่นของศิษย์พี่นั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็นึกถึงมารดาซึ่งมีน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนเสมอมาเช่นเดียวกันอย่างอดไม่อยู่
ทิวทัศน์บนยอดเขาหยกน้อยงดงาม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นจะต้องแนะนำมากนัก
หลี่ฉางโซ่วพาศิษย์น้องหญิงน้อยคนใหม่ที่เพิ่งมาถึงชมดูสิ่งต่างๆ รอบกระท่อมมุงจากสองรอบแล้วกำหนดพื้นที่เพื่อสร้างกระท่อมมุงจากหลังใหม่ให้นาง จากนั้นเขาก็ใช้พลังเวทเรียกเมฆาขาวมาก้อนหนึ่ง พาหลันหลิงเอ๋อร์บินไปที่กลางหมู่เขาพร้อมกัน
ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์อดถามออกมาไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ก็สามารถเหยียบกระเรียนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้หรือเจ้าคะ”
“ได้สิ ขอแค่สามารถควบคุมวัตถุก็ทำได้” หลี่ฉางโซ่วเหยียบเมฆาขาวที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเบาๆ ทันใดนั้นเมฆาขาวก็แปรสภาพจากปุยเมฆนุ่มกลายเป็นกระเรียนเซียนยักษ์ที่กางปีกสองข้างออกมาตัวหนึ่งพาทั้งสองเหินบินไปข้างหน้า
ดวงตาโตของหลันหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันทียื่นมือน้อยออกไปดึงเสื้อคลุมของศิษย์พี่ของนางแล้วก้มหน้าเอ่ยชมระลอกหนึ่ง
“นี่เป็นเพียงเวทลวงตาง่ายๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับมันแล้ว ยังมีบางอย่างที่เจ้าต้องจดจำไว้เมื่อบินไปรอบๆ สำนักในภายภาคหน้า”
“ศิษย์พี่ คืออะไรหรือเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วกระแอมก่อนจะจัดเรียงบทเรียนที่เขาเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าในหัว และตัดสินใจเริ่มสอนจากรายละเอียดเล็กน้อยให้กับศิษย์น้องหญิงของเขา
ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ก่อนอื่นก็คือระดับความสูงสำหรับการบินภายในสำนัก เจ้าไม่ควรบินสูงหรือต่ำเกินไป มีผู้บำเพ็ญชั้นสูงและผู้อาวุโสมากมายหลายคนบินอยู่บนที่สูง มันจึงง่ายมากที่จะพลาดไปล่วงเกินพวกเขาหากเผชิญหน้ากันโดยตรง…ศิษย์น้องหญิง เจ้าต้องจำไว้ว่าหากเจ้าถูกผู้บำเพ็ญชั้นสูงหรือผู้อาวุโสสังเกตเห็นเจ้า ก็มีโอกาสอย่างละครึ่งที่เจ้าจะทิ้งความประทับใจทั้งที่ดีหรือเลวร้ายเอาไว้ การทิ้งความประทับใจที่ดีเอาไว้อาจไม่มีประโยชน์อันใด แต่หากเจ้าทิ้งความประทับใจอันเลวร้ายเอาไว้กับพวกเขา ย่อมเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากขึ้น…ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นเจ้า แต่หากเจ้าพบพวกเขาแล้วก็เพียงก้มศีรษะลงคารวะ และทำธุระของเจ้าไปตามที่ควรเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
“อ้อ! หลิงเอ๋อร์จะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ!”
“นอกจากนี้เจ้าก็ไม่อาจบินต่ำเกินไปเช่นกัน เพราะจะเป็นการยากที่เจ้าจะบินผ่านอาคารบนยอดเขาบางหลังไปได้… แม้มองผิวเผินแล้วจะดูเหมือนว่าในสำนักสงบสุข ทว่าแท้จริงแล้วก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่อย่างลับๆ มีหลายคนที่พุ่งความสนใจไปที่เรื่องการจัดอันดับน่าเบื่อบางอย่าง ดังนั้นหากเจ้าบินต่ำเกินไปก็จะง่ายต่อการตกเป็นเป้าหมายของพวกมัน…ดังนั้นหลังจากทดสอบมาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ศิษย์พี่คนนี้จึงได้ข้อสรุปสำหรับระดับความสูงที่เหมาะสมในการบินภายในสำนัก ก็คือเริ่มจากที่พำนักของเราก่อน ให้อยู่เหนือที่พักของเราสักสามสิบถึงห้าสิบจั้ง ที่ระดับความสูงนี้จะเป็นไปได้น้อยมากที่เจ้าจะได้พบกับบรรดาศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสหรือผู้บำเพ็ญชั้นสูงในสำนัก”
หลันหลิงเอ๋อร์ฟังถ้อยคำยาวเหยียดของศิษย์พี่ของนางและพยายามจดจำมันเอาไว้ในใจอย่างเต็มที่ ทั้งอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองขึ้นไปยังใบหน้าคมสันที่ดูโดดเด่นยิ่งนักของศิษย์พี่
ศิษย์พี่ช่างหล่อเหลามากจริงๆ แถมยังมีวิจารณญาณถี่ถ้วนรอบคอบอีกด้วย
……
หลังจากนั้นพร้อมๆ กับเสียงกำชับไม่หยุดตลอดทางของศิษย์พี่ หลันหลิงเอ๋อร์ก็ถูกพามาถึงยอดเขาหลักของสำนักตู้เซียน
ยอดเขานี้ตั้งอยู่ที่ใจกลางของหมู่ยอดเขาทั้งหมดในสำนักตู้เซียน และยังเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดและตั้งตระหง่านที่สุดอีกด้วย มันดูคล้ายกับกระบี่ที่ชี้ขึ้นไปสู่สวรรค์และพุ่งทะลุหมู่เมฆา
ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกขานอีกอย่างว่า ยอดเขาพิชิตสวรรค์
มีตำหนักเซียนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาพิชิตสวรรค์ นั่นคือสถานที่ที่เจ้าสำนัก เหล่าผู้อาวุโส และปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาจะประชุมพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ โดยปกติแล้วยังเป็นเขตห้ามบิน บรรดาศิษย์ในสำนักจะถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้สถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต และบนทางลาดเนินเขาของยอดเขาพิชิตสวรรค์นี้ยังมีศาลาตำหนักแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นมา ในแต่ละวันจะมีผู้คนเข้าออกสถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก
หลังจากผ่านการแนะนำของศิษย์พี่ หลิงเอ๋อร์ก็ได้รู้ว่าในนี้คือ ‘ส่วนกลาง’ ของสำนักตู้เซียนที่เอาไว้จัดการเรื่องภายในสำนัก บรรดาศิษย์จากยอดเขาต่างๆ จะมาที่นี่ทุกเดือนเพื่อรับเงินสนับสนุนรายเดือน และรายงานความก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญของตน
ระหว่างที่หลันหลิงเอ๋อร์กำลังเดินอยู่บนเส้นทางศิลาฟ้า นางก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ทั้งนางและศิษย์พี่ดูเหมือนจะ ‘ล่องหน’ เพราะที่นี่มีศิษย์ในสำนักมากมาย ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขาเลย
ต่อให้ผู้คนเหล่านั้นจะกวาดสายตามองมาทางพวกเขา แต่ก็จะมองผ่านไปอย่างลื่นไหล
ทันใดนั้นเสียงของหลี่ฉางโซ่วก็ก้องขึ้นในหูของหลิงเอ๋อร์ เขายังคงพร่ำสอนนางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “หลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าการไม่ได้รับความสนใจจากผู้อื่นและทำตัวให้เป็นที่สนใจน้อยที่สุด ก็คือวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงกรรม ข้าได้ปรับปรุงเคล็ดวิชาเต๋าที่ใช้ปกปิดกลิ่นอายแห่งลมปราณของตนแล้ว เอาไว้ข้าจะสอนให้เจ้าเมื่อเจ้าเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ”
“เจ้าค่ะ! ขอบคุณศิษย์พี่!”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงพาหลันหลิงเอ๋อร์ก้าวไปตามทางเดิน เข้าไปในโถงที่มีป้ายชื่อว่า ‘หอไป่ฝาน’ แขวนเอาไว้
ในโถงนั้น หลันหลิงเอ๋อร์มองเห็นศิษย์พี่ของนางนำปลาวิญญาณสองตัวออกมาแล้วพูดคุยกับผู้บำเพ็ญเต๋าวัยกลางคนซึ่งรับผิดชอบการลงทะเบียนภายในสำนัก ก็ให้อดกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้
ศิษย์พี่ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง…
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] ปลาหลี่เหว่ย ปลาจำพวกช่อน