ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 30.2 อาจารย์และศิษย์ (2)
ฉีหยวนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้และตวาดใส่พวกเขาทันที “พวกเจ้าทั้งสองไม่ฝึกบำเพ็ญ ลงไปทำบ้าอะไรด้านล่างกันรึ!”
“ท่านอาจารย์! ท่านตื่นแล้ว!”
หลันหลิงเอ๋อร์ร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น “ศิษย์พี่ได้สร้างกรงเวทที่สามารถช่วยต้านทัณฑ์สวรรค์ได้! เราได้ทดสอบมันหลายร้อยครั้งด้วยสายฟ้าฟาด และปลาข้างในก็ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านอาจารย์โปรดรอสักครู่ขอรับ วัตถุนี้กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้านี้แล้ว”
“อ้อ?” การแสดงออกของฉีหยวนเปลี่ยนไปทันที เขากำลังจะลงมาในหลุมเพื่อดูว่าสมบัติชิ้นใหม่ที่ศิษย์คนโตของเขากำลังทำอยู่นั้นคืออะไร
ทว่าทันทีที่เขาก้าวไปข้างหน้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน เขายืนนิ่งและจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าทางทิศตะวันออก ร่างของเขานิ่งงันไปทันใด
หลันหลิงเอ๋อร์จึงเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ท่านอาจารย์ เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ”
“อนิจจา” ฉีหยวนยืนเอามือไพล่หลังแล้วตอบอย่างอ่อนโยนว่า “ทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว”
เพียงห้าคำนี้รอยยิ้มของหลี่ฉางโซ่วและหลันหลิงเอ๋อร์ก็หายวับไปในทันที
พวกเขากระโดดออกจากหลุมอย่างเร่งรีบและมองไปยังทิศทางที่อาจารย์ของพวกเขากำลังมองดูอยู่ ก่อนจะเห็นเมฆเทาดำทะมึนปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกและเคลื่อนตัวมาทางสำนักตู้เซียนด้วยความรวดเร็ว
“หลิงเอ๋อร์ เร็วเข้า!”
หลี่ฉางโซ่วตะโกนลั่นทันที “รีบนำกรงนี้ไปยังสถานที่รับทัณฑ์สวรรค์ที่ท่านอาจารย์เลือกเอาไว้ด้านหลังภูเขา! แล้วอย่าลืมฝังโลหะทั้งหกของโลหะเทพเก็บสายฟ้าทั้งเจ็ดลงในดิน!”
“เจ้าค่ะ!”
หลันหลิงเอ๋อร์แบก ‘กรงเวทของอาจารย์’ ด้วยแขนเรียวบางของนางและรีบบินไปที่ด้านหลังภูเขาด้วยก้อนเมฆโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เทพธิดาของนาง
ในเวลานี้หลี่ฉางโซ่วกังวลยิ่งกว่าอาจารย์ของเขา ฉับพลันนั้นเขารีบหยิบกล่องผ้าออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วรีบตรงไปที่ฉีหยวนทันที
“ท่านอาจารย์ นี่คือโอสถล้ำค่าที่ศิษย์ได้ทุ่มเทกายใจอย่างหนักเพื่อหลอมมันขึ้นมาเป็นพิเศษ มัน…มันสามารถช่วยท่านอาจารย์รอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ หลังจากผ่านสายฟ้าฟาดครั้งแรกแล้ว หากท่านคิดว่าไม่อาจต้านทานการโจมตีครั้งต่อไปได้ ให้ใช้มันทันทีขอรับ”
ทว่านักพรตเฒ่าฉีหยวนกลับแย้มยิ้มพลางมองหลี่ฉางโซ่ว ดวงตาของเขาสั่นไหวและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “จงเก็บโอสถล้ำค่านี้ไว้ให้ตัวเจ้าเองเถิด เจ้าสามารถใช้มันเมื่อต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในภายภาคหน้า ไม่จำเป็นต้องเสียมันไปกับอาจารย์”
“ท่านอาจารย์!”
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็คุกเข่าลงต่อหน้านักพรตเฒ่าฉีหยวน แล้วยัดกล่องผ้าเอาไว้ในมือของเขาทันทีพร้อมกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ท่านอาจารย์เมตตาเลี้ยงดูและสั่งสอนศิษย์มาเป็นเวลาร้อยปีและชี้แนะข้าสู่เต๋าวิถี ท่านไม่เคยโหดร้ายและไม่เคยเรียกร้องมากเกินควรจากข้าเลย
นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ศิษย์จะทำเพื่อท่านอาจารย์ได้ หากท่านไม่รับโอสถล้ำค่านี้ ศิษย์ก็จะทำลายมันทันทีขอรับ!”
ฉีหยวนกลับยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ อาจารย์จะไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองได้อย่างไรกัน”
“อ้อ อีกอย่าง ศิษย์มีโอสถอีกสิบเอ็ดเม็ด!” ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เปลี่ยนกลยุทธ์ของเขาทันที “ศิษย์สามารถให้สัตย์ปฏิญญาต้าเต๋าได้ว่ายังมีโอสถอีกสิบเอ็ดเม็ดที่เหมือนกันนี้อย่างแน่นอน! และผู้บำเพ็ญแต่ละคนจะสามารถกินได้เพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้นขอรับ!”
นักพรตเฒ่าฉีหยวนลังเลใจไปชั่วขณะ “จริงหรือ”
“จริงแน่นอนขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ได้” ฉีหยวนถือกล่องผ้าเอาไว้ในมือของเขาและกล่าวว่า “ไป ไปที่ด้านหลังภูเขากันเถิด อย่าให้ทัณฑ์สวรรค์นี้มาทำลายที่พักของพวกเรา”
เวลานี้เมฆทะมึนจากทางทิศตะวันออกก็ลอยมาถึงสำนักตู้เซียนแล้ว
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็รีบเรียกเมฆขาวมา แล้วลากอาจารย์ของเขาตรงไปทางด้านหลังภูเขาทันที
“ท่านอาจารย์ประหยัดพลังเวทของท่านไว้นะขอรับ…
อ๊ะ ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ ท่านมีโอสถเพียงพอหรือไม่ ท่านสามารถใช้โอสถได้ทุกชนิดในช่วงข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นะขอรับ
ท่านเตรียมโอสถเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูพลังชีวิตไว้พร้อมหรือไม่
เหตุใดทัณฑ์สวรรค์จึงมาถึงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเช่นนี้เล่า!”
“พร้อมแล้ว เตรียมไว้พร้อมแล้ว” ฉีหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะมองไปที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าเขา ในใจเขาพลันนึกถึงเมื่อตอนที่เขารับขึ้นมาบนภูเขาในคราแรก เด็กชายตัวน้อยที่ดูระมัดระวังและค่อนข้างวิตกกังวล…
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
แม้เด็กน้อยในยามนั้นจะมีปัญหาเล็กน้อยและกลายเป็นคนร้ายกาจในภายหลัง แต่ในที่สุดเขาก็เติบใหญ่ขึ้นแล้ว
ฉีหยวนได้ใช้ทรัพยากรสุดท้ายที่ยอดเขาหยกน้อยมีไปกับเขา ความปรารถนาเดียวของเขาคือการที่หลี่ฉางโซ่วสามารถกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ
“ฉางโซ่ว หากอาจารย์ไม่อาจรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ได้ ต้องฝากยอดเขาหยกน้อยเอาไว้ให้เจ้าดูแลแล้ว หากสำนักต้องการเรียกคืนยอดเขาหยกน้อยของเรา จงอย่าขัดขวางพวกเขา และให้ฟังการจัดเตรียมของสำนักเท่านั้น ข้าเคยขอร้องคนในสำนักที่ข้าคุ้นเคยบางคนเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกเขาจะพาเจ้าและหลิงเอ๋อร์ไปดูแลจนบรรลุไปถึงจุดสูงสุดแห่งการฝึกบำเพ็ญของพวกเจ้าเอง”
“ท่านอาจารย์ ท่านจะต้องรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์นี้ได้อย่างแน่นอนขอรับ!”
หลี่ฉางโซ่วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ขอท่านโปรดมั่นใจ! อย่าท้อถอย นี่เป็นอุปสรรคที่เต๋าสวรรค์ต้องการให้ท่านข้ามผ่านมันไปได้ แล้วทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสุขสดใสเมื่อท่านเอาชนะมันได้
หากสิ่งมีชีวิตไม่ต่อสู้เพื่อโอกาสที่จะอยู่รอด เช่นนั้นจะกำเนิดขึ้นมาในโลกนี้ด้วยเหตุใดขอรับ! แม้จะมีโอกาสรอดน้อยยิ่งนักในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เพียงต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น จึงจะสามารถรอดพ้นจากสถานการณ์สิ้นหวังนี้ไปได้ขอรับ!”
ทันใดนั้นนักพรตเฒ่าฉีหยวนก็ถอนหายใจและยิ้มขื่นขณะกล่าวว่า “ศิษย์รักของข้า ไม่ใช่ว่าเจ้าก็รู้ความจริงเหล่านี้หรอกหรือ แล้วเหตุใดเจ้ายังต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในทุกวัน”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ศิษย์ไม่เคยลืมหลักการที่อาจารย์สอนแม้ชั่วขณะขอรับ เหตุผลเดียวที่ข้าระมัดระวังคือหลีกเลี่ยงการตกลงไปในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเท่านั้นขอรับ”
ในชั่วพริบตาพวกเขาก็มาถึงด้านหลังของยอดเขาหยกน้อย และเห็นหลันหลิงเอ๋อร์ที่กำลังโบกมือน้อยๆ จากพื้นที่ว่างโล่งในป่า จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็พาอาจารย์กระโดดลงไปแล้วดันร่างอาจารย์เข้าไปในกรงไม้ที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นมาโดยไม่ปล่อยให้อาจารย์ของเขาได้ปฏิเสธใดๆ
หลังจากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงตรวจสภาพการติดตั้งกรงไม้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องออกมาหลายขวด แล้วโยนมันไปในมืออาจารย์ สุดท้ายจึงปิดประตูกรงไม้ แล้วพาหลันหลิงเอ๋อร์บินถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
บัดนี้เมฆทะมึนได้ปรากฏขึ้นเหนือสำนักตู้เซียนแล้ว และเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งสำนักตู้เซียนจนตกอยู่ในความมืดมิด
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านอาจารย์! ท่านต้องต่อสู้ให้เต็มที่! ส่วนโอสถล้ำค่านั้น ท่านจะต้องใช้หลังจากถูกสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกโจมตีไปแล้วเท่านั้นนะขอรับ!”
ฉีหยวนพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมแล้วเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆทัณฑ์สวรรค์ จากนั้นก็มีคลื่นแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาจากร่างของเขา แขนเสื้อและเสื้อคลุมเต๋าของเขาก็พลิ้วสะบัดแม้ไร้สายลมพัดพา
หลันหลิงเอ๋อร์ร้องตะโกนเสียงดังลั่น “ท่านอาจารย์ ท่านต้องทำได้แน่นอนเจ้าค่ะ!”
“ในฐานะอาจารย์ ข้าจะต้องต่อสู้เพื่อตัวเองในครั้งนี้ให้จงได้!”
ฉีหยวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงตาพลันเปล่งประกาย
ลองดู ชะตากรรม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงมังกรคำรามกึกก้องขึ้นเหนือเมฆ แล้วมังกรครามยาวพันจั้งที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเป็นประกายก็ปรากฏออกมาจากเมฆทะมึน จากนั้นกรงเล็บของมันก็ฟาดกระแทกค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาทันที
ลำแสงค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสว่างวาบขึ้นทันที ยอดเขาสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดเสียงดังสนั่นจากพื้นดินกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง!
ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีเสียงทุ้มลึกดังออกมาจากฟากฟ้า!
“ผู้ที่รับผิดชอบสำนักตู้เซียนจงออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
เดี๋ยวนะ!
มังกรคราม? เสียงตะโกนเรียกคนรึ
เมฆทะมึนนี้อยู่นอกแนวค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา มันไม่อาจข้ามผ่านค่ายกลทั้งหมดได้…
แม้จะมีพลังกดดัน ทว่าเมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันหาใช่พลังกดดันแห่งสวรรค์ไม่
“หือ? นี่ไม่ใช่เมฆทัณฑ์สวรรค์ของอาจารย์หรือ”
หลันหลิงเอ๋อร์เอียงศีรษะในขณะที่หลี่ฉางโซ่วเอามือก่ายหน้าผาก ส่วนฉีหยวนก็ยืนมุมปากกระตุกอยู่ในกรงเวทเช่นกัน
จากนั้นนักพรตเต๋าชราก็หันกลับมาเงียบๆ แล้วค่อยๆ นั่งลง
โอ บรรพชนไท่ชิง! ครั้งนี้…มันน่าอับอายขายหน้าที่สุด!
…………………………………………………………………………………………………………………