ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 310 ทัณฑ์สวรรค์แกร่งกล้า (2)
ตอนที่ 310 ทัณฑ์สวรรค์แกร่งกล้า (2)
เมื่อแสงฟ้าแลบสลายไป บัดนั้น เสียงเพลงเซียนไพเราะก็ดังก้องไปทั่วหล้า
ทันใดนั้น ก็เกิดปรากฏการณ์กระเรียนเซียนบินบนท้องฟ้า เหล่าเซียนร่ายรำ และชายชราถือลูกท้อขึ้นมาในอากาศ จากนั้น เมฆมงคลที่ดูคล้ายเห็ดหลินจือก็เข้ารองรับหลิวซื่อเจ๋อขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ บินขึ้นไปในขณะที่หลิวซื่อเจ๋อหลับตาและสัมผัสได้ถึงโลกใหม่ที่เขาก้าวเข้ามา บัดนั้น ใบหน้าของเขาเบิกบาน เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ใจยิ่ง
คราวนี้เขาไม่ได้ทะยานขึ้นสู่เซียนในช่วงการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์
หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ นี่คือ การทะยานขึ้นสู่เซียนหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นด่านแรกในวิถีแห่งการฝึกบำเพ็ญเซียน”
ดวงตาที่สดใสของหลิงเอ๋อร์เผยแววปรารถนาออกมาเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจอย่างโล่งอก… ในที่สุด หลิงเอ๋อร์ก็หันเหความสนใจจากเขาที่เปรียบดั่งความปรารถนาของเยี่ยกงหลงมังกร[1] ไปสู่การฝึกบำเพ็ญได้เล็กน้อยแล้ว…
“ศิษย์พี่ พวกเรากลับกันเถิด” หลิงเอ๋อร์กระซิบ “หลังจากนี้ ข้าจะฝึกบำเพ็ญอย่างหนักและเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างพอใจ ทว่าขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับ จู่ๆ เขาก็หันศีรษะไปมองทางด้านข้างและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียง
“รออีกสักหน่อยเถิด ยังมีคนที่กำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ดูอีกสักครั้งและทำความเข้าใจมันให้ถี่ถ้วน”
“หือ?”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ จะมีการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มารวมกันหลายครั้งได้อย่างไร?
เป็นไปตามคาด เช่นเดียวกับที่ปรากฏการณ์แห่งสวรรค์และปฐพีทางด้านของหลิวซื่อเจ๋อได้สลายไป เขาก็นึกถึงประสบการณ์ของเขาในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ และทันใดนั้น ก็มีศิษย์คนหนึ่งหัวเราะเสียงลั่นออกมา
“ทัณฑ์สวรรค์ของข้ามาถึงแล้ว!” ทันทีที่เขากล่าวจบ พลังวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพีที่เดิมทีได้สลายไปแล้ว ก็ไปรวมตัวกันที่สำนักตู้เซียนอีกครั้ง และศิษย์ที่กล่าวออกมานั้น ก็ได้กระโดดออกมาจากฝูงชน และบินไปยังภูเขาอู่หมิงที่หลิวซื่อเจ๋ออยู่ในทันที ในขณะที่เซียนหยวนขั้นสูงคนใหม่ หลิวซื่อเจ๋อก็เปิดทางให้เขาทันทีพร้อมกับกล่าวให้กำลังใจเขา
ครืน! ครืน!
ฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง พลังแห่งสวรรค์ได้เตือนพวกเขาแล้ว!
บัดนี้ ทัณฑ์สวรรค์ระลอกที่สองเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ในครั้งนี้ ก็มีทัณฑ์สวรรค์เจ็ดครั้งเช่นกัน ซึ่งเป็นจำนวนตามมาตรฐานโดยเฉลี่ยของเหล่าเมล็ดพันธ์เซียนแห่งสำนักตู้เซียน
คราวนี้ หลิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นกลัวน้อยลง นางมองดูการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของอีกฝ่ายอย่างสนใจยิ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จอย่างราบรื่น นางก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่า ในวันนี้ จะเป็นวันที่เหล่าศิษย์ของสำนักตู้เซียนต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์แล้ว เพราะหลังจากที่ศิษย์คนที่สองข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เสร็จสิ้น ก็มีศิษย์อีกคนหนึ่งพุ่งกระโดดออกมากระตุ้นเรียกทัณฑ์สวรรค์ต่อไป…
มีเหตุผลที่พวกเขาข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ด้วยกันเป็นกลุ่ม เมื่อเห็นว่ามีคนหนึ่งหรือสองคนข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็ย่อมส่งผลให้ศิษย์คนอื่นๆ ที่ไปถึงขั้นนั้นแล้ว รู้สึกมั่นใจว่าพวกเขาก็สามารถทำได้เช่นกัน
หากเขาทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
ดังนั้นเมื่อหัวใจเต๋าของเขาสั่นเล็กน้อย ก็กระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ให้เกิดขึ้นโดยตรง
หลังจากคนที่สามแล้ว เมล็ดพันธ์เซียนอีกสองคนในรุ่นเดียวกันก็บินออกไป หวางฉีแห่งยอดเขาเสี่ยวหลิง และคู่บำเพ็ญเต๋าของเขา หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ จากนั้น ทั้งคู่ก็ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จเช่นกัน บัดนี้ ศิษย์น้องฉีฉีและศิษย์พี่หญิงเยี่ยนเอ๋อร์ ได้กลายเป็นคู่รักเซียนที่แท้จริงแล้ว
ในชั่วพริบตานั้น ศิษย์ในสำนักคนหนึ่งก็ถูฝ่ามือ เตรียมพร้อมทันที แล้วศิษย์คนที่หกก็กระโดดออกมา เผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ของเขา
จากนั้น…ก็ตกตาย
ศิษย์ที่ถูกทัณฑ์สวรรค์สังหารนั้นมาจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ เขามีวัยใกล้เคียงกับหลี่ฉางโซ่ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขาดการสะสมพลังก่อนการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ หรือมีข้อผิดพลาดใดในระหว่างการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ แต่เขาไม่อาจรอดพ้นจากสายฟ้าสายสุดท้ายได้และกลายเป็นซากศพที่ขาดรุ่งริ่งอยู่บนภูเขา…
ชั่วขณะนั้น บรรดาศิษย์ที่กระตือรือร้น และเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก็นิ่งสนิทฉับพลันราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ในขณะที่อาจารย์ของศิษย์ที่เสียชีวิตจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ทำได้เพียงถอนหายใจยาวแล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับร่างของศิษย์ที่รักก่อนจะนำไปฝังไว้
บัดนั้น จู่ๆ ใบหน้าเล็กๆ ของหลิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าเปลี่ยนจากความสุข ตื่นเต้น และมั่นใจไปเป็น… ความอ่อนแอ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “โดยปกติแล้ว เจ้ามักจะเอาแต่เล่นสนุกสนาน แล้วจะต้องเสี่ยงมากมายเพียงใดในช่วงข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์”
“ศิษย์พี่…”
หลิงเอ๋อร์เม้มปากพลางใช้มือเล็กๆ ดึงแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่วทำให้เขาเอ่ยอันใดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
มาตั้งกฎสามข้อกัน… ช่างมันเถิด
เมื่อเห็นว่า หลิงเอ๋อร์ยังทุกข์ใจ ในที่สุด หลี่ฉางโซ่วก็ทำตัวอ่อนโยน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ภัยพิบัติเป็นเพียงการทดสอบ หาใช่เป็นเพียงภัยพิบัติอย่างเดียวเท่านั้น
ในวันนี้ มีหกคนที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ในหมู่พวกเขา มีห้าคนที่ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และกลายเป็นเซียนในขณะที่หนึ่งในนั้น ได้เสียชีวิตจากการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราความสำเร็จที่ดี
การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของคนผู้หนึ่งมาโดยตลอด ผู้อื่นจะช่วยอะไรไม่ได้มาก ต่อไป เจ้าต้องมุ่งฝึกบำเพ็ญและทำให้รากฐานเต๋าของเจ้ามั่นคง เมื่อนั้น เจ้าก็จะสามารถรับมือได้อย่างสบาย”
“อืม” หลิงเอ๋อร์ตอบอย่างเชื่อฟัง จากนั้น นางก็หันไปมองยอดเขาอู่หมิงที่ถูกทัณฑ์สวรรค์ตัดขาดด้วยความรู้สึกสับสนปนเปกันอยู่ครู่หนึ่ง
เช่นนั้นแล้ว ไยข้าจึงไม่จัดการทำตามใจปรารถนาของตัวเองก่อนจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เล่า หลิงเอ๋อร์พึมพำออกมาเบาๆ ขณะครุ่นคิดเงียบ ๆ ว่า นางควรจะเริ่มลงมืออย่างไรดี …
หลี่ฉางโซ่วกลับมาพร้อมกับหลิงเอ๋อร์ และสงหลิงลี่ เขาได้พาศิษย์น้องหญิงของเขาไปดูการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ มันเป็นการสลับฉากเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ศิษย์น้องหญิงของเขาให้ความสำคัญต่อการฝึกบำเพ็ญอย่างจริงจังมากขึ้น
น่าเสียดายที่ศิษย์พี่จากยอดเขาพิชิตสวรรค์ต้องตกตายลงอย่างอนาถภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ หากเขามีเวลาเตรียมตัวอีกสักสองสามร้อยปี บางทีก็อาจจะมีโอกาสสำเร็จในการข้ามผ่านได้มากขึ้น ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า มันน่าจะเป็นช่วงเวลาสูงสุดในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์สำหรับศิษย์ของสำนักตู้เซียน
เขาต้องออกเดินทางและ “บังเอิญ” ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ร่างหลักของเขาไม่จำเป็นต้องออกไปเองโดยตรง เขาเพียงแค่จัดเตรียมให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไปเท่านั้น ตราบใดที่เขากลับมาและเผยฐานพลังที่ขอบเขตเซียนหยวนขั้นต้น เขาก็จะปกปิดทุกสิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ…
เฮ้อ มันคงจะสมบูรณ์แบบหากเขาสามารถเลื่อนเวลาออกไปได้จนกระทั่งถึงช่วงทัณฑ์สวรรค์เซียนจินของเขา
หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาก็จะออกไปชั่วขณะหนึ่ง ทางสำนักจะคิดว่า เขากำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียน แต่ความจริงแล้ว เขาได้ขอให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่วยปกป้องเขาและหาที่ซ่อนเพื่อข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียนของเขา
เมื่อเขากลับมาแล้ว หากทางสำนักถามถึงเรื่องนี้ เขาก็จะบอกว่าเขาบังเอิญข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ซึ่งหาใช่เรื่องโป้ปดเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบา ๆ แล้วหยุดยิ้ม ขณะนี้ เขานั่งบนเก้าอี้โยกหน้าหอโอสถพลางคิดหาวิธีจัดการกับการโจมตีของสำนักบำเพ็ญประจิม
โต้กลับหรือ? เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ในสภาวการณ์ขณะนี้ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เขาจะกลายเป็นคนที่ทำลายสำนักบำเพ็ญประจิมก่อน ยามนี้ เป็นเวลาที่อีกฝ่ายต้องลงมือ
เป็นที่รู้กันดีว่า แผนการแห่งโลกบรรพกาล มักจะเป็นในลักษณะผลัดรอบลงมือรุกรับกัน
หลังจากคิดเรื่องนี้ต่อไปอีกสองสามวันแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คิดคร่าวๆ ได้วิธีหนึ่งที่จะจัดการกับมัน ขณะที่เขากำลังจะเริ่มฝึกบำเพ็ญ ก็มีแขกสองกลุ่มรีบพุ่งไปที่วิหารเทพทะเลทักษิณ… กลุ่มแรกที่มาถึงคือ กลุ่มผู้นำกองทัพของขวัญจากวังมังกร
กลุ่มทหารมังกรเซียนวารีบรรทุกหีบสมบัติจำนวนหกร้อยหีบมา พวกเขาร่อนลงมาจากฟากฟ้าและซ้อนหีบสมบัติกองเอาไว้ในวิหารหลักแห่งเมืองอันสุ่ย นั่นคือของขวัญขอบคุณให้กับเทพแห่งท้องทะเล ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ถูกส่งไปยังศาลสวรรค์เช่นกัน และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้แม่ทัพตงมู่ต้องรีบไปถามความเห็นของเทพแห่งท้องทะเลว่า ศาลสวรรค์ควรรับของขวัญจากวังมังกรหรือไม่? หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามแม่ทัพตงมู่ว่า ศาลสวรรค์ยังขาดแคลนสมบัติอยู่บ้างหรือไม่?
หากขาดแคลนสมบัติ ก็ยอมรับมัน เพราะไม่ใช่เพียงแค่พลังบุญที่จำเป็นต่อการเลี้ยงดูทหารสวรรค์เท่านั้น แต่หากไม่ขาดแคลน ก็ให้ปฏิบัติอย่างชอบธรรมด้วยการปฏิเสธพวกเขาไป
ศาลสวรรค์เป็นหน่วยงานจัดการที่เหมาะสมในการปกครองโลกบรรพกาลโดยตรงภายใต้พลังอำนาจแห่งเต๋าสวรรค์!
แม่ทัพตงมู่เข้าใจในทันทีและรีบกลับไปที่ศาลสวรรค์เพื่อจัดการเรื่องนี้ เมื่อแม่ทัพตงมู่จากไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็นับสิ่งที่เขาได้รับและคำนวณว่าระบบป้องกันที่ครอบคลุมแห่งยอดเขาหยกน้อยของเขาจะคืบหน้าไปได้มากเพียงใด ในขณะนั้น ก็มีร่างหนึ่งขี่เมฆเข้ามาจากทางเหนือ
หวงหลงเจินเหริน? นักพรตเต๋าชราในเสื้อคลุมเต๋าสีเหลืองอ่อน เขาดูกังวลและถอนหายใจไม่หยุด ต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาแน่ๆ
เมื่อใดกันที่วิหารเทพทะเลเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านแห่งปัญญาของสำนักบำเพ็ญเต๋า? ไยทุกคนถึงต้องมาตามหาข้าที่นี่คนเดียว ศิษย์ผู้หนึ่งแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ที่ต้องทุ่มเทใจเพื่อชี้แนะให้พวกเขาเมื่อเผชิญปัญหาทุกครั้ง? สำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ไม่มีผู้ชี้แนะอยู่บ้างเลยหรือนี่?
หลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปเพื่อมองดูใกล้ ๆ อย่างระมัดระวัง แต่ไม่พบท่านอาจารย์ลุงจ้าว จากนั้น เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้น้องสาวของอาจารย์ลุงจ้าวจะงดงามยิ่ง แต่ตัวอาจารย์ลุงจ้าวเอง ก็เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้จริงๆ
………………………………………………………………..
[1] มาจากเรื่องในสมัยชุนชิวที่นายอำเภอเยี่ยแห่งแคว้นฉู่มักบอกว่าชื่นชอบมังกรมากจนเป็นที่เลื่องลือ แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องเหลวไหล เพราะความจริงแล้ว เมื่อพบมังกรตัวจริงเข้า เขากลับกลัวมังกร จึงเปรียบเปรยถึงการคิดว่าตัวเองนี้เก่งกาจสามารถ แต่แท้จริงแล้วทำอะไรไม่เป็น ได้แต่หลอกลวง อวดอ้างไปวันๆ ซึ่งผู้เขียนปรับมาใช้ในที่นี้ เมื่อหลี่ฉางโซ่วเพียงคิดว่าหลิงเอ๋อร์ไม่ได้หลงรักเขาจริงๆ