ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 313 เทพจันทราน้อยแห่งสำนักตู้เซียน (สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน) (1)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 313 เทพจันทราน้อยแห่งสำนักตู้เซียน (สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน) (1)
ตอนที่ 313 เทพจันทราน้อยแห่งสำนักตู้เซียน (สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน) (1)
คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่… ที่ข้าขอให้หวงหลงเจินเหรินทำเรื่องนี้?
หลี่ฉางโซ่วยังคงครุ่นคิดในใจ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับหวงหลงเจินเหรินมากนัก จึงยังคงกังวลใจ
เพราะเขากลัวว่า หวงหลงเจินเหรินผู้นี้จะตกหลุมพรางของผู้อื่นอีกครั้ง
เหตุผลที่หลี่ฉางโซ่วอาศัยยืมปากของบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานให้ช่วยถ่ายทอดข้อความที่สนับสนุนและสร้างชื่อเสียงให้กับเทพแห่งท้องทะเลทักษิณนั้น ก็เพราะมีเป้าหมายหลักสองประการ
ประการแรกคือ การกระจายเผยแพร่ข้อความเพื่อให้บรรดาศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมพยายามนึกถึงตัวตนชราให้มากที่สุดเพื่อปกปิดร่างที่แท้จริงของเขา
ประการที่สองคือ เขาต้องการใช้สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานเป็นม่านบังตาเพื่อปกปิดตัวเขาเอง
หากเป็นเช่นนี้ ข้อมูลที่สำนักบำเพ็ญประจิมได้รับก็ควรเป็นอย่างนั้น…
และพวกเขาจะพบว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของสำนักเทพทะเลทักษิณ
องค์ชายรองแห่งเผ่ามังกร อ๋าวอี่ ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย ก็เป็นรองเจ้าสำนักเทพทะเลทักษิณ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังจะได้รู้ว่าเทพแห่งท้องทะเลทักษิณมีมิตรภาพที่ดีกับศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย จ้าวกงหมิงเช่นกัน
บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานต่างก็พากันชื่นชมในตัวตนของเทพแห่งท้องทะเลทักษิณ และดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หากสำนักบำเพ็ญประจิมคิดลงมือทำร้ายเขา ก็คงต้องคิดหนักด้วยความหวั่นเกรงและระวังตัวมากขึ้น…
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ มันไม่มีผลเสียใดๆ
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่ายศีรษะและหยุดคิดเรื่องนี้
เขาเริ่มกลับคืนสู่ร่างปลอมของเขาภายในอาณาเขตของสำนักเทพทะเลเพื่อจัดการกับผีเสื้อสยบวิญญาณ
นอกจากนั้น หลี่ฉางโซ่วยังใช้มาตรการฉุกเฉินบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น เขาสามารถกำหนดกฎห้ามห่วงโซ่ของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งหมดเอาไว้ได้ด้วยความคิดเดียว เขาสามารถทำลายการเชื่อมต่อระหว่างพลังปราณวิญญาณและปราณวิญญาณของเขาได้ตลอดเวลา และเขายังสามารถเปิดใช้งานกลไกระเบิดตัวเองในคลังเก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในเมืองอันสุ่ย…
ช้าก่อน
หลังจากนี้ เขาเพียงต้องระมัดระวังและมีสติคิดให้รอบคอบเท่านั้น เว้นแต่ว่า แม่ทัพตงมู่แห่งศาลสวรรค์และเหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามสำนักบำเพ็ญเต๋ามาเยี่ยมเยียน เขาจึงจะให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อยู่นิ่งเฉย
และนั่นล้วนเป็นวิธีการทั่วไปทั้งหมด
ไพ่ไม้ตายในการป้องกันตัวเองคือ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของเขาซึ่งจะเป็นผู้ป้องกันหลัก
ในเมื่อเป็นไพ่ไม้ตาย แน่นอนว่า เขาย่อมไม่ใช้ง่ายๆ ไม่เช่นนั้น เขาจะลำบากอย่างยิ่งหากไร้ไพ่ใดในยามคับขัน…
ในช่วงเวลาสองปีครึ่งต่อมา หลี่ฉางโซ่วได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายใต้การเฝ้าระวังเช่นนี้
บางครั้งเขาก็เห็นคนแปลก ๆ ในอาณาเขตของสำนักเทพทะเล ทว่าส่วนใหญ่ เมื่อสอบสวนแล้วก็ไม่พบอะไร
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่ได้ส่งข่าวใดๆ มาอีกต่อไป นางกำลังซ่อนตัวอยู่ ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วสบายใจขึ้นมาก
ผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเล็กน้อยให้กับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เขาเพียงอยากให้นางอยู่เบื้องหลังเพื่อ…สร้างสถานการณ์ใหญ่…
ในช่วงเวลานั้น เผ่ามังกรได้ตกอยู่ในช่วงแห่งความทนทุกข์
ภายนอก เผ่าทะเลก็ยังคงก่อกบฏ และภายในเผ่ามังกรก็มีความขัดแย้งระหว่าง ‘มังกรแปลงร่าง’ และ ‘มังกรวารี’ ปรากฏขึ้น นอกจากนี้ เหล่าชนชั้นปกครองในเผ่ามังกรก็ค่อยๆ แบ่งออกเป็นสองฝ่ายทีละน้อยๆ
อ๋าวอี่และหลี่ฉางโซ่วเคยพูดคุยถึงเรื่องนี้กันมาสองสามครั้งแล้ว
หลี่ฉางโซ่วชี้แนะอ๋าวอี่ให้รอดูความเปลี่ยนแปลงว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่เข้าข้างราชามังกรหรือแสดงความคิดเห็นมากความ ไม่เปิดเผยตัวตน ไม่สับสนในสถานะและหน้าที่ของเขาเอง และยืนหยัดเคียงข้างราชามังกรแห่งทะเลบูรพาอย่างมั่นคง หากเป็นอ๋าวอี่ที่ยังเยาว์วัยนัก เขาจะต้องต่อสู้จนตัวตายแบบไม่หวั่น ขอฝากชื่อลือลั่น อยู่ยั้งยืน ยง[1] อย่างแน่นอน! เอาจานสองใบ แค่กๆ!
นั่นย่อมเป็นหัวใจมังกรที่หมายมุ่งสู่ตะวันจันทรา[2]เพื่อรักษาศักดิ์ศรีอย่างแน่นอน!
แต่ยามนี้ แม้อ๋าวอี่จะยังคงรูปลักษณ์บุรุษหนุ่มเยาว์วัย แต่เขาก็เป็นมังกรน้อยที่เติบโตแล้ว มีคนรักแล้ว มิใช่มังกรน้อยที่บ้าบิ่นในอดีตอีกต่อไป
เขาเรียนรู้ที่จะเฝ้ารอสังเกตสถานการณ์เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ เรียนรู้ที่จะวางแผน คาดการณ์อยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ และค่อยๆ มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ…
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้เพียงรอนิ่งเฉยอย่างอดทนเท่านั้น
เมื่อเขาจะลงมืออีกครั้ง แม้จะต้องรอให้สำนักบำเพ็ญประจิมโจมตีอีกครั้งก่อนจึงจะเคลื่อนไหวได้ ความขัดแย้งก็เกิดปะทุขึ้นในเผ่ามังกร แต่เขาก็ยังสามารถจัดเตรียมการหลายอย่างได้ก่อนหน้านั้น
ตัวอย่างเช่น เขาได้จัดเตรียมให้อ๋าวอี่สร้างเครือข่ายการติดต่อภายในเผ่ามังกร และแอบผูกมิตรกับเหล่าผู้นำมังกรบางคนที่ทรงพลังและมีความสามารถรวมถึงแม่ทัพมังกรที่มีอำนาจ แต่ไม่มีสถานะสูงส่งนัก
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ หลี่ฉางโซ่วขอให้แม่ทัพตงมู่จัดการ หากแม่ทัพแห่งศาลสวรรค์สองสามคนมีเวลาก็ให้ช่วยออกลาดตระเวนในทั้งสี่คาบสมุทร และเพิ่มการสื่อสารกับคนของวังมังกร
เมื่อสถานการณ์ในวังมังกรทรงตัวได้อย่างมีเสถียรภาพแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็กลับไปใช้ชีวิตประจำวันของเขาเช่นกัน เขาสร้างรายได้จากการหลอมโอสถและสร้างระบบป้องกันของยอดเขาหยกน้อยให้สมบูรณ์แบบ ทั้งยังใช้เวลาไปกับการให้รางวัลแก่ศิษย์น้องหญิงของเขาด้วย
และแน่นอนว่า เขาต้องเตรียมตัวสำหรับทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน
ในขณะเดียวกัน หวังฟู่กุ้ย แค่กๆ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ปรมาจารย์เซียนเทียนของสำนัก ก็ใกล้จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน หลังจากบรรลุหัวใจเต๋าที่สมบูรณ์แบบและไร้ความเสียใจในชีวิตแล้ว หัวใจเต๋าของเขาก็มาอยู่ถึงขอบทัณฑ์สวรรค์แล้ว หลี่ฉางโซ่วคิดว่าเขาจะต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ภายในห้าสิบปีนี้อย่างแน่นอน
และนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วมีอารมณ์ค่อนข้างดี
ความพยายามทุ่มเทอย่างหนักทั้งหมดที่เขาทำเพื่อท่านปรมาจารย์ใหญ่ผู้ดุดันและชั่วร้ายอย่างยิ่ง และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งที่เคร่งขรึมผู้โยนทิ้งหยางบริสุทธิ์ไป ในที่สุดก็ไม่ได้สูญเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์แล้ว!
ด้วยการอ้างอิงเช่นนั้น เขาก็ย่อมมั่นใจมากขึ้นอย่างแน่นอน!
สิ่งที่สมควรกล่าวถึงคือ บัดนี้ ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยได้ย้ายไปอยู่ในที่พำนักหว่างฉิงแล้วจริงๆ
เมื่อเกิด “การแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมกัน” จิ่วจิ่ว ซึ่งคอยหลบซ่อนตัวจากท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขา จึงได้มาตั้งรกรากอยู่ในห้องเดินหมากเล่นไพ่แห่งยอดเขาหยกน้อยอย่างสมบูรณ์
ในด้านหนึ่งนั้น ก็ดูเหมือนว่า ยอดเขาหยกน้อยจะ… ได้ผลกำไรอยู่บ้าง!
น่าเสียดายที่ค่ายกลป้องกันของห้องเดินหมากเล่นไพ่ที่หรูหราเป็นพิเศษนั้น ถูกทำลายไป หลี่ฉางโซ่วยังต้องการรื้อฐานค่ายกลที่นั่นเพื่อดัดแปลงเป็นห้องเดินหมากเล่นไพ่
ในวันนี้ ขณะที่จิ่วจิ่วดื่มสุราและเข้าปิดด่าน หลี่ฉางโซ่วจึงฉวยโอกาสเรียกหลิงเอ๋อร์ที่ฝึกบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็งให้ไปที่กระท่อมมุงจากริมทะเลสาบพร้อมกับสงหลิงหลี่ที่พากเพียรฝึกฝนอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้า ทว่ายังขาดพรสวรรค์ในการฝึกฝนปราณวิญญาณเต๋า
หลี่ฉางโซ่ววางข่ายอาคมและเปิดใช้งานค่ายกลเวท เขามองดูสาวน้อยทั้งสองคนผู้ทรงพลังและบอบบางอ่อนที่อยู่ตรงหน้าเขาตามลำดับ และรู้สึกผ่อนคลายลงมากขึ้นในทันที
“วันนี้ ข้าจะสอนวิธีการฝึกบำเพ็ญและการสร้างรากฐานเต๋าบรรลุเซียนให้หลิงเอ๋อร์ หลิงลี่ แม้ยามนี้ เจ้ากำลังฝึกฝนปราณวิญญาณเต๋า แต่ก็ฟังอยู่ข้างๆ ได้ หากมีข้อสงสัยใดๆ ก็ถามได้ทันทีเลย อย่าได้สงวนท่าทีมากจนเกินไป”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ และหลิงลี่ก็ตอบรับพร้อมๆ กัน “เจ้าค่ะ!”
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มพูดถึงวิธีการฝึกบำเพ็ญ และการทำความเข้าใจให้รู้แจ้งในวิธีการฝึกบำเพ็ญ
ในเวลานั้น เพื่อให้ทั้งสองคนเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น เขาจึงใช้กลอุบายที่ลึกล้ำต่างๆ กันเพื่ออธิบายเรื่องที่ลึกซึ้งด้วยถ้อยคำง่ายๆ เขาคุ้นเคยกับการใช้คำเปรียบเทียบที่ยอดเยี่ยม ซึ่งบางครั้ง ก็ทำให้หลิงเอ๋อร์เอาแต่หัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ การฟังการบรรยายของศิษย์พี่เป็นเรื่องหนึ่งที่หลิงเอ๋อร์ชื่นชอบนัก น่าเสียดายที่ระดับฐานพลังของนางค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ช่วงระยะห่างของเวลาระหว่างการบรรยายของศิษย์พี่ในแต่ละครั้งนานขึ้น ใช่ว่าเพราะหลี่ฉางโซ่วจะหย่อนยานหรือจงใจเหินห่าง แต่ความจริงแล้วก็คือ การบรรยายของเขาลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หลิงเอ๋อร์ต้องใช้เวลาเพื่อแยกแยะทำความเข้าใจมากขึ้น ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หลิงเอ๋อร์ถามคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญและหลี่ฉางโซ่วก็ตอบคำถามอย่างละเอียด
สงหลิงลี่ยังอยากถามคำถามสองสามข้อ แต่หลังจากที่เก็บไว้เป็นเวลานาน นางก็ไม่กล้ารบกวนท่านเทพแห่งท้องทะเล และในท้ายที่สุด นางก็เพียงกล้าถามคำถามบางส่วนที่แหวกแนวและสงสัยที่สุด…เกี่ยวกับโลกบรรพกาล “พี่ชาย ข้าถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญได้หรือไม่”
“แน่นอน ถามมาเถิด”
“ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าสัตว์วิญญาณทั้งหมดบนยอดเขาน้อยของเรา ล้วนเลิศรสกว่าสัตว์วิญญาณที่ข้าล่ามาได้จากภายนอกเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วอดจะตกตะลึงไม่ได้ ส่วนหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
หลิงเอ๋อร์ยิ้มและกล่าวว่า “แน่นอนว่า นั่นเป็นเพราะเจ้าเลี้ยงดูพวกมันมาอย่างดี”
“ก็ไม่เชิงนัก”
………………………………………………………………..
[1] ผู้เขียนปรับมาจากโคลงกวีในเหตุการณ์ที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ “การพัฒนาชาติให้เทียมเท่าตะวันตกและการปฏิรูปหนึ่งร้อยวัน” ในสมัยจักรพรรดิกวงซวี่แห่งราชวงศ์ชิง ซึ่งมีกลอนที่นักปฏิวัติถานซื่อถง ผู้โด่งดังของจีน ได้เขียนเอาไว้บนกำแพงห้องขังก่อนจะถูกประหารชีวิต โดยมีความหมายเป็นทำนองว่าต่อให้ต้องตาย ก็ไม่หวั่น ขอฝากชื่อลือลั่น อยู่ยั้งยืนยง ส่วนตอนท้ายในที่นี้ คือ หลี่ฉางโซ่วคิดเล่นๆ ว่าหากอ๋าวอี่สู้ตายแล้ว ทิ้งร่าง ทิ้งซาก อวัยวะ เช่นนั้น ก็เตรียมจาน เตรียมกินได้
[2] เปรียบดั่งความมุ่งหมายที่จะพัฒนา สร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญก้าวหน้า