ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 324 อุบายเล็กๆ ของฉางโซ่ว (2)
ตอนที่ 324 อุบายเล็กๆ ของฉางโซ่ว (2)
ราวครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หัววัวก็สลายข่ายอาคมแล้วถอนหายใจ เขาโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วที่รีบโค้งคำนับกลับให้ จากนั้น หัววัวก็หยิบป้ายไม้ออกมา มันมีรูปหัววัวสลักอยู่บนแผ่นไม้ซึ่งมีกลิ่นอายของอักขระเต๋าอยู่เล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “หากสหายเต๋าพบปัญหาใดในเมืองเฟิงตู ให้นำป้ายระบุตัวตนนี้ออก ไป แล้วจะไม่มีผู้ใดกล้ามีปัญหากับเจ้า
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยดูแลขอรับ”
“ไม่ ไม่ เป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยดูแลข้า”
หัววัวถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่เอ่ยอันใด จากนั้น ทั้งสองก็ผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญพร้อมกันแล้วต่างก็กลับไปยังสถานที่ของตน
ทันใดนั้น ยมทูตเกี่ยววิญญาณก็ตวาดลั่นว่า “พวกเจ้ายังรออะไรอีก? ให้ทางเดี๋ยวนี้! พวกเขาล้วนเป็นแขกผู้ทรงเกียรติแห่งแดนยมโลก! พวกเจ้าทุกคนอยากหาเรื่องถูกเฆี่ยนใช่หรือไม่?” ขณะกล่าว หัววัวก็จ้องไปที่แม่ทัพหน้าซีด
แม่ทัพหน้าซีดมีสีหน้าเปลี่ยนไปในขณะที่ขาเริ่มสั่นเทาทันที…
ส่วนทางด้านของหลี่ฉางโซ่ว เขาโค้งคำนับให้ท่านเจ้าสำนัก ปรมาจารย์ใหญ่ของเขา และปรมาจารย์ลุงใหญ่ จากนั้น เขาก็กลับไปอยู่ที่ด้านข้างของโหย่วฉินเสวียนหย่าอย่างสงบ
เรียบร้อยแล้ว
ในขณะนั้น เหล่าเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกก็เปิดทางให้พวกเขา จี้อู๋โหย่วจึงยิ้มแล้วนำพวกเขาทั้งสี่คนผ่านด่านที่นี่
แม้ยามนี้ จี้อู๋โหย่วจะเป็นเฉกเช่นเจียงหลินเอ๋อร์ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง และโหย่วฉินเสวียนหย่าที่รู้สึกสับสนยิ่งนัก และไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แต่เจ้าสำนักก็เข้าใจดี และไม่ถามอะไรหลี่ฉางโซ่วอีก เพราะในท้ายที่สุด มันก็คือ ‘นั่น’ ไม่ว่ามันจะอัศจรรย์เพียงใด ก็ไม่แปลก
ทันทีที่คนจากสำนักตู้เซียนทั้งห้าจากไป หัววัว ยมทูตเกี่ยววิญญาณก็พ่นควันสีขาวสองสายออกมาจากรูจมูกของเขา แล้วหันกลับทันทีโดยไม่ปริปากสักคำ ทันใดนั้น เขาก็เตะเจ้าแม่ทัพชั่วร้ายลงไปกับพื้น!
การเตะครั้งนี้ไม่แรงมากนัก เพียงทำให้อีกฝ่ายล้มลงไปเท่านั้น จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าแล้ว เตะต่อยทันที
หลังจากพ่นคำสบถง่ายๆ เบาๆ ของเผ่าเวทออกไปแล้ว … จากนั้น ยมทูตเกี่ยววิญญาณก็ถอดหมวกแล้วถ่มน้ำลายใส่แม่ทัพที่ขดตัวอยู่บนพื้นแล้วตวาดว่า “เจ้าบ้า! กล้าดีอย่างไรถึงใช้พลังของแดนยมโลกมาสร้างศัตรูให้แดนยมโลกเอง! สองสามวันมานี้ ข้ามีชีวิตที่ดี แล้วเจ้ารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวใช่หรือไม่ เจ้าสารเลว! กล้าดีอย่างไรถึงได้ห้ามคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน? เจ้ากินไปกี่จานแล้วเมาหนัก[1]เช่นนี้!”
บัดนั้น แม่ทัพแดนยมโลกที่อยู่บนพื้นดิน ซึ่งได้รับบาดเจ็บ ทั้งจมูกช้ำและใบหน้าบวมเป่งแล้ว ก็อ้อนวอนร้องขอความเมตตาไม่หยุด หัววัวพ่นลมหายใจเย็นชาและเหยียดยืดกล้ามเนื้อก่อนจะสวมหมวกให้ตัวเอง
หมวกนี้ยังเป็นเครื่องมือเวทอีกด้วย และในเวลาไม่นาน มันก็ผสานรวมเข้ากับร่างของหัววัว ซึ่งนอกจากสีผิวที่ต่างกันเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ
หัววัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “มาเถิด พวกที่เขียนได้ มาเขียนคำดีๆ สักสองสามคำ เมื่อทั้งห้าคนนี้จากไป ให้แขวนไว้ทั้งสองฝ่ายเพื่อเป็นการขอโทษ!”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ แล้วเราควรจะเขียนว่าอะไรดีขอรับ?”
“อืม ก็…เขียนคำที่สุภาพสักหน่อยนะ ทำนองว่ายินดีต้อนรับพวกเขาสู่แดนยมโลก แดนยมโลกเป็นบ้านของพวกเขา อย่างไรก็ได้ ตามใจเจ้าเลย”
ทันใดนั้น กลุ่มเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกก็เข้าใจอะไรบางอย่าง และเริ่มวุ่นวายในทันที
ในเวลาเดียวกัน… เจียงหลินเอ๋อร์ก็ยังจ้องมองหลี่ฉางโซ่วขณะอยู่บนเมฆที่เพิ่งบินออกไป
“ฉางโช่ว เจ้า… ทำได้อย่างไร?”
ในเมื่อหลี่ฉางโซ่วกล้าลงมือ แน่นอนว่า เขาย่อมคิดว่าจะอธิบายอย่างไรเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
เขายังเตรียมคำอธิบายที่แตกต่างกันเอาไว้สามแบบ…
จากนั้น เขาก็หยิบหินที่เขาเพิ่งแสดงให้หัววัวออกมาแล้วยิ้ม
เขากล่าวว่า “ปรมาจารย์ใหญ่ หลิงลี่ ญาติผู้น้องของศิษย์ได้มอบสิ่งนี้ให้ศิษย์ก่อนที่จะมาที่นี่ หลิงลี่มีสายเลือดกึ่งพ่อมด ซึ่งเป็นสายเลือดที่หายากของเผ่าเวทในโลกบรรพกาล หินก้อนนี้เรียกว่า หินเลือดพ่อมด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าเวท ในระหว่างนี้ ท่านเจ้าสำนักก็กล่าวว่า เหล่าปรมาจารย์ส่วนใหญ่ในแดนยมโลกมาจากเผ่าเวท เมื่อครู่นี้ ศิษย์หยิบของสิ่งนี้ออกมาเพราะอยากจะลองดู และตอบกลับด้วยคำพูดไม่กี่คำ…”
แน่นอนว่า สงหลิงลี่ไม่ได้มอบหินก้อนนั้นให้เขา แต่หลี่ฉางโซ่วขุดมันออกมาจากกองหินในหมู่บ้านสง
เจียงหลินเอ๋อร์ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “แม้เจ้าจะกล่าวให้ฟังดูง่าย แต่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ !”
จี้อู๋โหย่วยิ้มยิ้มและกล่าวว่า “อย่าถามฉางโซ่วอีกเลย พวกเราผ่านมาถึงที่นี่ได้แล้วดี ไม่ดีหรือไร?”
เจียงหลินเอ๋อร์ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มศีรษะลงยอมรับอย่างอย่างเชื่อฟัง
เมื่อมองไปที่หลี่ฉางโซ่วอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่ามีชั้นหมอกเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิมอีกสองสามชั้นอยู่บนร่างของศิษย์หลานผู้ลึกลับของนาง
ศิษย์คนรองรับศิษย์เช่นนี้มาจากที่ใดกัน? เขาน่าจะเป็นผู้ทรงพลังแข็งแกร่งที่กลับชาติมาเกิด
หลี่ฉางโซ่วพูดอะไรกับหัววัว?
ความจริงแล้ว เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเริ่มพูดง่ายๆ ถึงความสัมพันธ์ลูกพี่ลูกน้องของเขากับสงหลิงลี่ จากนั้น น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป…
“ท่านผู้อาวุโส ท่านเคยได้ยินเรื่องเทพแห่งท้องทะเลทักษิณหรือไม่?”
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็พูดถึง “สหาย” ของเขาคือ เทพแห่งท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ในการสนทนาที่ตามมา
เขาชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเทพแห่งท้องทะเล สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ศาลสวรรค์ และเผ่ามังกร ทั้งยังชี้แจงอย่างชัดเจนว่า เทพแห่งท้องทะเลได้สร้างความสัมพันธ์กับเผ่าเวทอย่างไร และวิธีเขาจะเป็นประโยชน์ต่อเผ่าเวทอย่างไรบ้าง …
หลี่ฉางโซ่วได้ซ่อนบางอย่างเอาไว้ในคำพูด เขากล่าวว่า เทพแห่งท้องทะเลต้องการช่วยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของเผ่าเวท นอกจากนี้เขายังบอกเป็นนัยว่า เขา หลี่ฉางโซ่วยินดีจะชวนเทพแห่งท้องทะเลทักษิณให้ไปที่แดนยมโลก…
หลังจากใช้กลอุบายง่ายๆ ไปไม่สองสามอย่าง หัววัวก็ปฏิบัติกับหลี่ฉางโซ่วดั่งแขกคนสำคัญอย่างยิ่งแล้ว กระทั่งตั้งตารอคอยการมาถึงในภายหน้าของเทพแห่งท้องทะเลทักษิณอีกด้วย
นั่นคือ แผนการยิงหินก้อนเดียวได้นกหลายตัว
ไม่เพียงแต่จะบรรเทาความตึงเครียดระหว่างสำนักตู้เซียน และอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขความขัดแย้งและเปิดเส้นทางสู่เมืองเฟิงตูได้อีกด้วย
บัดนี้ พวกเขาทั้งห้าคนได้รับการดูแลเอาใจใส่จากกองกำลังแห่งแดนยมโลกเพื่อให้พวกเขาได้พบที่อยู่ของอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่ในภายหลัง
ที่สำคัญกว่านั้น การสนทนาของเขากับหัววัวในวันนี้ ยังช่วยให้หลี่ฉางโซ่วได้วางรากฐานในศาลสวรรค์ และทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคง ต่อจากนั้นก็วางแผนพอที่จะให้แดนยมโลกได้รับบุญ…
ตอนนี้มีเหลือเพียงสองกลุ่มในเผ่าเวท กลุ่มหนึ่งอยู่ในแดนยมโลกตลอดกาล พวกเขาต่างก็สาบานตนว่าจะตัดสัมพันธ์และไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าเวทอีกต่อไปก่อนจะเข้าสู่แดนยมโลก
อีกกลุ่มหนึ่งคือ เผ่าเวทบริสุทธิ์ พวกเขาถูกขับไล่ไปยังดินแดนอันขมขื่นและหนาวเหน็บแห่งดินแดนเทวะอุดร พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบากโดยไม่อาจก้าวออกจากดินแดนเทวะอุดรได้แม้เพียงครึ่งก้าว
จอมเวทแห่งแดนยมโลกอยากช่วยเผ่าเวทในดินแดนเทวะอุดร ซึ่งนั่นเป็นแนวทางสำคัญที่หลี่ฉางโซ่วคิดขึ้นมาเมื่อสนทนากับหัววัว และเขายังคิดจะฉวยประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อจัดการที่ต้นตอของปัญหา…
หลังจากที่พวกเขาทั้งห้าบินไปได้สักพัก หลี่ฉางโซวก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงมองไปที่โหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งกำลังหันหน้ามองดูท้องฟ้าข้างๆ แล้วส่งข้อความเสียงไปให้นาง
“ศิษย์น้องหญิงโหย่วฉิน เจ้าไม่ควรทำอะไร พูดให้มากที่สุดจะปลอดภัยกว่า”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่ ข้าจะจดจำไว้”
โหย่วฉินเสวียนหย่ายิ้มอ่อนโยน แต่เป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูหมดหนทางอยู่บ้าง
ศิษย์พี่ฉางโซ่วเป็นเหมือนตำราเล่มหนา
ทุกครั้งที่นางได้เห็นเนื้อหาบางส่วนของเขา นางก็จะพบว่า มันเป็นเพียงคำนำเท่านั้น และยังมีหน้าอีกมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ด้านหลัง…
หลังจากได้รับป้ายของยมทูตเกี่ยววิญญาณแล้ว การค้นหาวิญญาณแท้จริงของว่านเจียงอวี่ ก็ง่ายขึ้นมาก
เมืองเฟิงตูเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรือง ภายใต้การนำของเจียงหลินเอ๋อร์ ทั้งห้าคนก็เข้าไปในเมืองแล้วตรงไปที่สำนักงานแห่งแดนยมโลกเพื่อหาเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยผู้หนึ่ง
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยผู้นั้น ย่อมจำเจียงหลินเอ๋อร์ได้อย่างแน่นอน เมื่อได้เห็นนาง เขาก็หยิบถุงเก็บสมบัติมากกว่าสิบใบออกมา แล้วบอกว่าเขาจัดการเรื่องนั้นให้ไม่ได้ เขาไม่พบวิญญาณต้นไม้ที่กลับชาติมาเกิดของ ว่านเจียงอวี่จริงๆ
ดวงตาของเจียงหลินเอ๋อร์กลายเป็นสีแดงก่ำ จากนั้น นางก็ขอร้องเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยผู้นั้นให้ลองอีกครั้ง แต่เขาก็ทำเพียงแค่ส่ายศีรษะเท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบป้ายที่มีสัญลักษณ์หัววัวออกมาทันที บัดนั้น เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยผู้นั้น พลันตัวสั่นสะท้านและรีบเชิญคนทั้งห้าให้ไปพักผ่อนภายใน ทั้งยังเชิญ ‘หัวหน้า’ ของเขาให้ออกมาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ทว่าสุดท้าย ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม…
นางหายไปแล้วจริงๆ ในขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์กำลังจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง หลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วและถามว่า “โปรดอภัยด้วย รบกวนช่วยบอกสถานที่ที่วิญญาณแท้ของนางได้กลับชาติมาเกิดให้พวกเราสักหน่อยได้หรือไม่? ในเมื่อเป็นวิญญาณต้นไม้ มันย่อมจะอยู่ไม่ห่างไกลจากสถานที่เกิดมากนัก”
ทว่าเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยผู้มีหนวดสองเส้นที่ดูเฉลียวฉลาดและเก่งกาจคนนั้น จู่ๆ ก็ลังเลขึ้นมาในทันที…
“ข้าเกรงว่า จะผิดกฎ…”
เป็นเรื่องยากที่หลี่ฉางโซ่วจะตัดสินใจด้วยตัวเองโดยพลการได้ ทว่าเขาก็หยิบถุงเก็บสมบัตินับสิบๆ ใบหรือมากกว่านั้น มาจากท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขา แล้วยังเพิ่มอีกสองใบของเขาเองมอบให้กับเจ้าหน้าที่ผู้นั้น พลางแย้มยิ้ม
“เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน แต่เราจะแอบเหลือบดูเอกสารของเจ้าเพียงแวบเดียว เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยมันอย่างแน่นอน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…”
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยัดสมบัตินับสิบถุงเข้าไปในแขนเสื้อของเขาแล้ว ก่อนจะดึงมือของเขากลับมาอย่างไร้ร่องรอยใดๆ
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยพลันพยักหน้าและถอนหายใจ
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โปรดมากับข้า ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ โปรดรอข้าอยู่ที่นี่”
………………………………………………………………..
[1] พูดจาเหลวไหลไร้สาระ