ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 331 ศาลสวรรค์ สถานการณ์ในยา
ตอนที่ 331 ศาลสวรรค์ สถานการณ์ในยามนี้ขององค์เง็กเซียน (1)
บุรุษหนุ่มในชุดขาวยกมือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้บนโต๊ะหยกขาว เขารู้สึกเบื่อเล็กน้อยขณะกำลังถือไข่มุกระดับสมบัติวิญญาณเซียนเทียน
มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในโลก แต่ศาลสวรรค์สงบสุขดี
บันทึกชีวิตในช่วงต้นของจักรพรรดิสวรรค์ร่วมสมัย
เขาปรารถนาจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่ดวงวิญญาณทั้งปวงล้วนชื่นชม แต่มีภูเขาหกลูกตั้งตระหง่านล้อมรอบอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศทาง บดบังรัศมีแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์รุ่งโรจน์ของเขาจนไม่อาจสาดส่องออกไปภายนอกสวรรค์และปฐพีได้เลย
ว่ากันว่าแม้แต่สตรีที่ฉลาดก็ทำอาหารไม่ได้หากไร้ข้าว[1] เช่นเดียวกับในสถานการณ์เช่นนี้ที่จักรพรรดิสวรรค์ผู้ปรีชาจะไม่อาจทำอะไรได้เลยและกลายเป็นจ้าวแห่งเทพที่ว่างเปล่า…
คนในศาลสวรรค์แห่งนี้ว่างจัดจนได้ปลูกท้อได้ทุกชนิด เลี้ยงวิหคศักดิ์สิทธิ์ และมีไข่มุกห้าธาตุหรืออะไรทำนองนั้น
พวกเขาย่อมเกษียณได้ทุกเมื่อ…
“ฝ่าบาท! ท่านแม่ทัพตงมู่มาขอเฝ้าฝ่าบาท อยู่ที่ด้านนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ! ”
เมื่อได้ยินเสียงคนอยู่นอกโถงตำหนัก บุรุษหนุ่มในชุดขาวก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันทีพร้อมกับวางไข่มุก กระแอมไอเบาๆ ให้ลำคอโล่ง พลางหยิบตำราบันทึกข้อความที่อยู่ด้านหนึ่งขึ้นมาแล้วเปิดดูถ้อยคำที่กำลังรู้ซึ้งจนจำขึ้นใจ…
“ให้เข้ามา”
ที่ด้านนอกโถงตำหนัก แม่ทัพตงมู่ก้มศีรษะลงพลางก้าวขึ้นบันไดหยกขาวแล้วมองขึ้นไปยังสถานการณ์บนแท่นสูง ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
ฝ่าบาททรงขยันขันแข็งจริงๆ “เสนาบดีเฒ่าขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ท่านแม่ทัพตงมู่” บุรุษหนุ่มในชุดขาวเผยรอยยิ้มสงบและสง่างาม ดวงตาของเขาค่อยๆ เลื่อนออกจากตำราบันทึกข้อความแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนท่านแม่ทัพตงมู่จะมีอะไรเร่งด่วน มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ? ”
แม่ทัพตงมู่หยิบบันทึกฉบับหนึ่งออกมาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท เป็นอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ก่อนหน้านี้ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางน้ำและภูมิอากาศในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนเทวะทักษิณ ภายในหนึ่งร้อยปี บัดนี้ กระหม่อม เสนาบดีเฒ่าได้จัดการแล้วพ่ะย่ะค่ะ
ช่วงเวลาที่อุดมสมบูรณ์คิดเป็นสามในสิบส่วนของปี ช่วงปกติ คิดเป็นหกในสิบส่วนของปี และมีโอกาสเกิดภัยพิบัติครึ่งหนึ่งในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเว้นว่างเปล่า”
“เอาขึ้นมาเลย”
“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพตงมู่ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว แล้วใช้พลังเซียนส่งบันทึกไปให้องค์เง็กเซียน
บุรุษหนุ่มในชุดขาวมองอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็วพลางยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อท่านแม่ทัพตงมู่ช่วยจัดการสิ่งต่างๆ ข้าย่อมวางใจได้แน่นอน”
กล่าวจบ บุรุษหนุ่มในชุดขาวก็วางบันทึกไว้ข้างๆ และอดจะยกมือปิดปากหาวไม่ได้
แม่ทัพตงมู่รีบกล่าวว่า “ฝ่าบาทควรพักผ่อนให้มากขึ้น จะทรงเหน็ดเหนื่อยมากเกินไปมิได้ ศาลสวรรค์ยังต้องให้ฝ่าบาททรงช่วยค้ำจุนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวยิ้มแล้วเบี่ยงประเด็นออกไปเล็กน้อยเมื่อกล่าวว่า “แม่ทัพตงมู่ ทั้งสี่คาบสมุทรยังสงบสุขและปลอดภัยดีหรือไม่?”
“เรื่องของเผ่ามังกรยังไม่จบสิ้น” แม่ทัพตงมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “สิ่งมีชีวิตในทั้งสี่คาบสมุทรบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน และความเคืองแค้นของสิ่งมีชีวิตก็ได้กลายเป็นหมู่เมฆสีเทาในสามอาณาจักรล่างซึ่งรบกวนเหล่ามนุษย์สวรรค์บางส่วน”
ยามนี้ เผ่ามังกรปั่นป่วนมาก ทั่วทั้งสี่คาบสมุทรล้วนปริวิตกกันอยู่ตลอดเวลา และในท้ายที่สุด มันก็กลายเป็นอันตรายที่แฝงเร้น
บุรุษหนุ่มในชุดขาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเบาๆแล้วกล่าวว่า “ในเวลานี้ ข้าไม่อาจควบคุมเรื่องนี้ได้ มีจอมปราชญ์ผู้หนึ่งวางแผนในเรื่องของวังมังกรอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงทำตามที่คำแนะนำของขุนนางฉางเกิง ปฏิบัติเป็นขั้นตอน และฉวยประโยชน์จากสถานการณ์”
“ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งแล้ว!”
บุรุษหนุ่มในชุดขาววางบันทึกในมือลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพตงมู่ ตอนนี้ พระราชโองการแต่งตั้งเทพผู้ชอบธรรมของขุนนางฉางเกิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
แม่ทัพตงมู่รีบกล่าวว่า “กระหม่อมเพิ่งไปดูมาเมื่อสามวันก่อน
ตามพระประสงค์ของฝ่าบาท ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้าได้เพิ่มพลังบุญและระงับพระราชโองการอีกสองพระราชโองการที่สร้างขึ้นแล้วไปพร้อม ๆ กัน…นี่น่าจะใช้เวลาอีกสามปีจึงจะเรียบร้อยดี”
“สามปี…”
องค์เง็กเซียนถอนหายใจเบา ๆ พร้อมด้วยดวงตาที่ฉายแววอับจนหนทางเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องรอสามปีกว่าจะได้ขุนนางฉางเกิงเข้าสู่ศาลสวรรค์เพื่อคลายความเบื่อหน่าย…อืม เช่นนั้น มาวางแผนการและกลยุทธ์กันเถิด”
แม่ทัพตงมู่กะพริบตา เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ
ฝ่าบาทกำลังตรัสเรื่องไร้สาระอันใดหรือไม่?
พระองค์คงจะเหนื่อยมากจนเริ่มพ่นวาจาเหลวไหลออกมา…
“ฝ่าบาท สหายเต๋าเทพแห่งท้องทะเลก็ตั้งหน้าตั้งตารอทั้งวันคืนเพื่อจะมารับใช้ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทได้”
“พอเถิด แม่ทัพตงมู่ เจ้าได้รับผลประโยชน์จากขุนนางฉางเกิงมามากกเพียงใดหรือ? ถึงกล่าวแต่ถ้อยคำดีๆ เกี่ยวกับเขาทุกวัน”
องค์เง็กเซียนทรงสรวลเบา ๆ “ข้าย่อมรู้เป็นธรรมดาว่า ขุนนางฉางเกิงมีความสำคัญต่อศาลสวรรค์มากเพียงใด และย่อมรู้ในใจว่าถ้อยคำดีๆ ของเจ้านั้น หาใช่การเพิ่มลายบุปผาบนผ้าดิ้น[2]ไม่ แต่มันช้ำๆ เกินจำเป็นมากไป”
จู่ๆ เหงื่อเย็นก็ทะลักไหลออกมาบนหน้าผากของแม่ทัพตงมู่ เขารีบก้มศีรษะลง โค้งคำนับแล้วร้องเสียงดังว่า “กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ในช่วงยี่สิบถึงสามสิบปีที่ผ่านมา เทพแห่งท้องทะเลได้เตือนเขาแล้วจริงๆ ว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวคำชื่นชมดีๆ ต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท…เทพแห่งท้องทะเลยังหยั่งรู้ได้กระทั่งในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
แม่ทัพตงมู่ รู้สึกอับจนหนทางอยู่พักหนึ่ง เขาก็เป็นเสนาบดีแห่งศาลสวรรค์ผู้หนึ่งเช่นกัน จึงรู้สึกละอายใจจริงๆ
โชคดีที่องค์เง็กเซียนเพียงเตือนเขาพร้อมด้วยเสียงสรวลเบา ๆ และปล่อยให้แม่ทัพตงมู่คิดได้และเลิกราไปเอง ไม่ได้ตรัสอะไรอะไรมากไปกว่านี้อีก
“ฉางเกิง…”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวพึมพำพลางหยิบผ้าลายทองผืนหนึ่งมา แล้วเขียนคำสองคำนี้ลงไป ตามด้วยถ้อยคำอื่นๆ อีกสองสามคำเอาไว้ที่ด้านข้าง
มนุษย์ เผ่าเวท มังกร ไท่ชิง…
“ข้ามองฉางเกิงไม่ออกจริงๆ ว่า เขาเป็นผู้ใดกัน?”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวพึมพำเบาๆ พลางโบกมือบนผ้า แล้วข้อความที่เขียนบนนั้นก็หายไป
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและยุติภาระหน้าที่ในหอสมบัติหลิงเซียว เขาเหยียบเมฆสีทองแล้วพุ่งผ่านเส้นทางเมฆพิเศษ มุ่งตรงสู่เกาะอมตะในทะเลเมฆแห่งศาลสวรรค์ไปเพียงลำพังโดยไม่ต้องการองครักษ์หรือนางกำนัลรับใช้
ที่นั่นคือ สระหยกวังสวรรค์ซึ่งแตกต่างจากสระหยกในภูเขาคุนหลุน
เดิมทีมันเป็นตำหนักแห่งเทพที่ได้รับการปกป้องจากพลังแห่งเต๋าสวรรค์ ซึ่งคล้ายกับสถานที่พักผ่อน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน บุรุษหนุ่มในชุดขาวก็บินออกมาอย่างผิดหวัง…
ศิษย์น้องหญิงกลับเข้าปิดด่านอีกครั้งแล้ว และเพิ่งส่งร่างจำแลงออกไปข้างนอก ซึ่งไม่ง่ายที่เขาจะพูดคุยร่างจำแลงของศิษย์น้องหญิงมากเกินไป
องค์เง็กเซียนทรงเบื่อมากจริงๆ หรือไม่?
ช่างน่าขันนักที่เขา ห้าวเทียน คือ ‘องค์เง็กเซียน ผู้อยู่สูงสุดแห่งวังจักรพรรดิ พร้อมคุณธรรมสูงสุดอย่างอัศจรรย์ นั่นคือ องค์เง็กเซียนแท้’ แม้เขาจะรู้สึกเบื่อก็ต้องเบื่อในระดับสูงสุดของความเบื่อ คำว่า ‘มาก’ จะสะท้อนถึงสภาพจิตใจของเขาในเวลานี้ได้อย่างไร…
เวลานี้เขารู้สึกเบื่ออย่างยิ่ง
เมื่อกลับมาที่โถงตำหนักขององค์เง็กเซียน องค์เง็กเซียนในชุดขาวก็ปิดประตูโถงตำหนักและปล่อยให้แม่ทัพสวรรค์สองสามคนเฝ้าอยู่ด้านนอก หากมีเหล่าเซียน และเทพแห่งศาลสวรรค์มาขอพบหรือมีปัญหาใด ๆ ในศาลสวรรค์ พวกเขาก็จะเคาะก้อนทองที่ด้านนอกโถงตำหนักทันที
จากนั้น องค์เง็กเซียนในชุดขาวจึงกลับไปที่ห้องบรรทมของเขา แล้วนั่งบนเก้าอี้เบาะนวมนุ่ม ๆ ที่ทำจากทองคำและหยก และรอคอยให้บางสิ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
ทว่าในอีกสองสามวันต่อมา ก็ยังไร้ลมพัดพา ไร้หญ้าพลิ้วไหว ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้นในศาลสวรรค์ แม้แต่น้อย…
“เฮ้อ” องค์เง็กเซียน ส่ายพระเศียรเบา ๆ ขณะนอนตะแคง แล้วดูเหมือนจะผล็อยหลับไปตรงนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่มุมหนึ่งของศาลสวรรค์ แม่ทัพสวรรค์หนุ่มผู้หนึ่งก็ลืมตาขึ้นในจวนของเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก
เขาคิดกับตัวเองในใจว่า “หากไม่มีอะไร แล้วไยข้าไม่ออกไปหาขุนนางฉางเกิงและไปเที่ยวสำรวจแดนมนุษย์? เขายังบังเอิญรู้จักเรื่องร่างจำแลงของข้าอีกด้วย ”
หลังจากนั้น แม่ทัพสวรรค์หนุ่มก็ลุกขึ้นยืน พลางคว้าทวนเงิน และสวมชุดเกราะรบสีเงินวาววับ หลังจากครุ่นคิดแล้ว เขาก็สวมเสื้อคลุมอีกครั้ง จากนั้นก็ขี่เมฆบินออกจากจวนบนหมู่เมฆ แล้วมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูสวรรค์ทักษิณ
ในระหว่างทาง เมื่อทหารลาดตระเวนเห็นเขา พวกเขาทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลง โค้งคำนับ แล้วเรียกว่า “ท่านแม่ทัพ”
………………………………………………………………..
[1] เปรียบว่า หากไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจจะทำงานได้ดี เช่นว่า หากไร้มือ จะกำหมัดอย่างไรได้ ในที่นี้จึงเปรียบได้ว่า แม้จะองค์จักรพรรดิสวรรค์ ซึ่งก็คือ องค์เง็กเซียน จะทรงพระปรีชา แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ หากไร้มือเท้าที่จำเป็นให้การสนับสนุน
[2] การเพิ่มเสริมเติมแต่งในสิ่งที่มีดีมาแต่เดิมอยู่แล้วให้ดูดีงาม สวยงามและสมบูรณ์แบบมากขึ้น