ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 332 ศาลสวรรค์ สถานการณ์ในยามนี้
ตอนที่ 332 ศาลสวรรค์ สถานการณ์ในยามนี้ขององค์เง็กเซียน (2)
เมื่อเขาไปถึงที่ประตูสวรรค์ทักษิณ แม่ทัพสวรรค์ที่รักษาการณ์สถานที่แห่งนี้ก็ตะโกนด้วยเสียงที่คุ้นเคยว่า “พี่หวา ท่านจะออกไปหรือ?”
“ใช่ ข้าจะออกไปทำธุระส่วนตัว”
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนตอบกลับแล้วกำลังจะรีบออกไป ทว่าจู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหันเมื่อพวกเขารีบเข้ามาขวางหน้า และหยุดเขาเอาไว้
“พี่หวา พี่หวา! ท่านมีป้ายหยกเดินทางหรือไม่ขอรับ?
โปรดอย่าทำให้พวกเราพี่น้องต้องลำบากเลยขอรับ เป็นเพราะช่วงนี้ เมื่อไม่นานมานี้ เบื้องบนตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และห้ามมิให้ผู้ใดออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตขอรับ”
“ใช่แล้ว หวังว่าพี่หวาจะเห็นใจและเข้าใจความลำบากใจของพวกเราพี่น้องขอรับ”
“ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าชั่วช้าคนใดกัน แต่หากเขารายงานเรื่องนี้กับเบื้องบน พวกเราพี่น้องสองสามคนจะต้องถูกลดระดับลงด้วยเหตุนี้ขอรับ!”
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนพลันแย้มยิ้มและหรี่ตาลงพลางพยักหน้าให้เบา ๆ แล้วหยิบแผ่นป้ายออกมา
“ข้าเกือบลืมไป ข้าได้รับการอนุญาตให้เดินทางจากหอทงหมิงแล้ว”
ในขณะนั้น แม่ทัพสวรรค์ก็ได้ตรวจสอบความถูกต้องของแผ่นป้าย แล้วรีบกล่าวขออภัยอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยให้เขาออกไปจากประตูสวรรค์ทักษิณ
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนแอบพยักหน้าอย่างลับๆ เขาถือว่าเป็นความขยันในการปฏิบัติหน้าที่ของแม่ทัพสวรรค์เหล่านั้น ไว้เขาจะเพิ่มเบี้ยหวัดให้ในภายหลัง…
อืม คนที่พูดตรงๆ ออกมาเมื่อครู่นี้ ก็แค่หาข้ออ้างมั่วๆ เพื่อหักบุญจากเขาไปสองสามร้อยปี
ร่างจำแลงของเขาใช้เพื่อจุดประสงค์นั้น
เมื่อออกจากประตูสวรรค์ทักษิณแล้ว เขาก็ไปตามชายฝั่งทะเลทักษิณ
หลังจากนั้น องค์เง็กเซียนก็เผยรอยยิ้มที่มุมปากบนใบหน้าด้วยเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจขึ้น กลิ่นอายทั่วทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยความรื่นรมย์มากขึ้น
ร่างจำแลงของเขาที่ปลอมตัวมาคือเซียนเทียนขั้นสูงสุด ซึ่งไม่นับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งโลกบรรพกาล แต่ก็ไม่ใช่ให้พวกปลาเล็กปลาน้อยและปลาเค็มมาก่อกวนตามอำเภอใจได้
ไม่นาน เขาก็มาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองอันสุ่ย
เดิมทีเขาต้องการบินตรงไปยังวิหารเทพทะเล แต่เมื่อเห็นถนนหนทางที่ดูคึกคักจอแจของเมืองอันสุ่ยแล้ว เขาจึงระงับกลิ่นอายลมปราณของเขา แล้วร่อนลงมาที่ตรงมุมหนึ่งของเมือง
หลังจากนั้นสักพัก ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนก็เดินออกมาจากตรอกพร้อมด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ร่างสูงตรง และเสื้อคลุมยาวที่เปล่งแสงเซียนออกมาบางเบาบนร่างของเขา และ เขาก็กลายเป็นที่สนใจของเหล่ามนุษย์สามัญมากมายในทันที…
เขาแย้มยิ้มและเดินเล่นไปตามถนน
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายของเหล่ามนุษย์สามัญและพ่อค้าเร่ที่อยู่รอบๆ ตัวเขา เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เลวร้ายในสถานที่นั้น เขาหูผึ่งทันทีที่ได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งดุด่าสามีของนางที่หัวมุมถนน สักพักเขาก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ…
แค่กๆ โลกนี้ก็น่าสนใจทีเดียว
หลังจากเดินไปได้ครึ่งถนนแล้ว องค์เง็กเซียนก็มาถึงสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอันสุ่ย วิหารหลักของเทพแห่งท้องทะเล
เขาเดินไปรอบๆ แผงขายของสองแถวหน้าวิหาร แต่ไม่ได้ซื้อเครื่องสักการะ ทว่าซื้อพัดมาด้ามหนึ่งก่อนจะสะบัดมันในมือเพื่อคลี่ออกเบาๆ แล้วก้าวเข้าไปในวิหารเทพทะเลด้วยความสนใจยิ่ง
ทว่าเพียงก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีชายร่างสูงกำยำสองคนมาอยู่ข้างหน้าเขา
เผ่าพ่อมดหรือ?
ขนาดและพลังลมปราณเช่นนี้ ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ หากแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ก็คงไม่เลวหากเอาเขาไปศาลสวรรค์เพื่อเป็นทหารเกราะได้
องค์เง็กเซียนยิ้มและกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนมีอันใดผิดปกติหรือ?”
“ยินดีต้อนรับสหาย! ”
ทูตเทวะแห่งสำนักเทพทะเลทั้งสองคนต่างประสานมือแล้วโค้งคารวะให้ กล้ามเนื้อทั่วร่างของพวกเขาแทบจะระเบิดทะลุผ่านเสื้อไหมบนร่างของพวกเขาออกมาแล้ว
ทูตเทวะทางซ้ายกล่าวว่า “ตามกฎของวิหารคือ หากจะเข้าประตูต้องซื้อเครื่องสักการะก่อน หากไม่อยากซื้อ ก็มีธูปอยู่ทางด้านขวามือให้หยิบไปได้ตามใจชอบ เราไม่มีการเรียกเก็บเงินใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากเข้าไปมือเปล่า เกรงว่า ท่านเทพแห่งท้องทะเลอาจจะไม่พอใจเจ้า”
“โอ้?”
องค์เง็กเซียนลอบพยักหน้าลับๆ แต่จู่ๆ นิสัยที่ชอบใช้เหตุผลอันมาจากการทำงานของร่างจำแลงนี้ก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งและเขาก็ถามต่อไปว่า “แล้วหากข้าบุกเข้าไปโดยไม่มีเครื่องสักการะ แล้วพวกเจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไรหรือ?”
ทูตเทวะทั้งสองต่างมองหน้าและสบตากันและกันจนเข้าใจกันแล้ว
‘หรือเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่จัดคนให้มาทดสอบพวกเรา?’
‘น่าจะเป็นเช่นนั้น จัดการมันเลย!’
“เฮ้!”
ทันใดนั้น ทูตเทวะก็เปล่งเสียงตะโกนและกรีดร้องดังลั่น ทำให้ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนตื่นตกใจจนเกือบจะลงมือโจมตี ในขณะที่เหล่าสานุศิษย์ผู้แสวงบุญในวิหารเทพทะเลต่างก็ตื่นตกใจเช่นกัน
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนนั้นไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นเขาจึงถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มสานุศิษย์ผู้แสวงบุญที่ตื่นเต้น ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ล้วนมาขวางทางอยู่หน้าประตูวิหารเทพทะเลในทันที
นอกจากนี้ยังมีคนกลุ่มใหญ่ ทั้งชาย หญิง เด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากมารวมตัวกันภายในที่นี่ พวกเขาล้วนมองไปที่ทูตเทวะทั้งสองคนอย่างคาดหวัง
“กำลังเกิดขึ้นหรือ?”
“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอเลย ไม่ได้ยินทูตเทวะพูดมาสองวันแล้ว!”
ที่ด้านข้างเขา ผู้ดูแลวิหารสองสามคนที่มีหน้าที่ดูแลการเผาเครื่องสักการะต่างก็รีบเร่งไปพร้อมกับพิณ ขลุ่ยและกลองเล็ก
และยังมีอีกคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาว่า “ดูเครื่องมือเวทนี้สิ!”
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนเพ่งสมาธิเต็มที่และเตรียมพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ และเมื่อเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าเครื่องมือเวทนั้น จริงๆ แล้วเป็นไม้ไผ่สองสามชิ้น ซึ่งถูกโยนไปให้ทูตเทวะสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา
ทันทีที่แผ่นไม้ไผ่ตีกระทบกัน เสียงดนตรีข้างเคียงก็ดังก้องขึ้น ผู้คนรอบข้างพวกเขาต่างก็เสียงให้กำลังใจดังสนั่นไปทั่วและปรบมือให้
“ท่านผู้นี้ ได้โปรดยืนนิ่งๆ อย่าตื่นตกใจ ด้วยคำไม่กี่คำ!
นามเทพแห่งท้องทะเล ใช่เรียกขานง่ายๆ เทพแห่งท้องทะเล เทพพิทักษ์หมู่บ้านเรา! เทพแห่งท้องทะเลอยู่ใต้จักรพรรดิแห่งสวรรค์ เทพแห่งท้องทะเลเป็นกองกำลังของเขา จักรพรรดิแห่งสวรรค์ออกบัญชาพิทักษ์โลก ให้เทพแห่งท้องทะเลลงมาโลกมนุษย์ เทพแห่งท้องทะเลวุ่นวายในทะเล ปราบปีศาจ พิฆาตมังกรวารีที่ปั่นคลื่นทางประจิม ขจัดพวกบ้าคลั่งป่วนทะเลทางทักษิณ นอกจากกุ้งสามตะกร้าทางอุดรแล้ว ราชาหลีฮื้อบูรพาก็ยังถูกประหาร ราชาหลีฮื้อ ราชาปีศาจแท้ ต่อสู้จนราชามังกรตกตะลึง!…”
ในระหว่างการเคาะจังหวะกัน ทูตเทวะทั้งสองคนก็กล่าว เนื้อหา “การเชื้อเชิญของเทพแห่งท้องทะเล” ออกมา
ทั้งสองล้วนกล่าวชัด ด้วยความเข้าใจและสอดประสานเข้ากันอย่างชำนาญ…
ในสำนักเทพทะเลนั้น นี่ถือเป็นรูปแบบการแสดงที่สมบูรณ์เต็มที่มากแล้ว
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนนั้น มึนงงมาตั้งแต่แรกและยังมึนงงในเวลาต่อมา จนมาถึงภายหลัง ก็อดจะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ไม่ได้พร้อมกับหรี่ตาลง…
ในขณะนั้น แม้แต่ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่า มีชายชราผมขาวที่มีดวงตาฉายแววเมตตามาถึงบริเวณรอบนอกของฝูงชน…
ในครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วรีบพุ่งมาที่นี่จริงๆ
เดิมทีเขากำลังร่างพิมพ์เขียวทั่วไปของแดนยมโลกในห้องใต้ดินของเขา แต่ทันใดนั้นเขาก็เกิดแรงดลใจขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นเขาจึงทำมุทราหยั่งรู้ดู
ทว่าการหยั่งรู้นี้ไม่สำคัญเมื่อเขาค้นพบได้ในทันทีว่ามี ‘แขกผู้ทรงเกียรติ’ มาถึง
เจตจำนงวิญญาณของเขามาถึงที่วิหารหลักแห่งนี้เป็นสถานที่แรก และเขาก็บังเอิญได้เห็นร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนถูกทูตเทวะสองคนของเขาหยุดเอาไว้ เพื่อให้องค์เง็กเซียนเข้าไปพร้อมกับถวายเครื่องสักการะบูชาเขา เทพแห่งท้องทะเล
นี่…
พวกเจ้ามีกี่ชีวิตกัน? เหตุใดถึงทำเช่นนี้?!
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ดูเหมือนว่าองค์เง็กเซียนจะไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะชมการแสดงศิลปะของทูตเทวะแห่งสำนักเทพทะเลด้วยความสนใจยิ่งขณะที่พวกเขาท่องคำเล่นลิ้นบิดไปมาอย่างคล่องแคล่ว
หลี่ฉางโซ่วแอบปลื้มใจยิ่ง
โชคดีที่เขาได้ปรับปรุงเนื้อหาของ ‘เพลงสวด’ เหล่านี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว และเพิ่มประโยคว่า ‘เทพแห่งท้องทะเลลงมาแดนมนุษย์ตามโองการของจักรพรรดิแห่งสวรรค์’
มันได้ใช้จริงในวันนี้แล้ว
หลังจากที่ร้องเพลงแล้ว เหล่าฝูงชนก็มาล้อมรอบตัวเขาแล้ว หลี่ฉางโซ่วจึงซ่อนตัวจากฝูงชนและฉวยประโยชน์จากช่วงนี้ ส่งข้อความเสียงไปยังทูตเทวะทั้งสอง
ทูตเทวะทั้งสองตกใจและร้องตะโกนเสียงลั่นทันที “วันนี้ พอแค่นี้ก่อนนะ! ทุกคน สลายตัวก่อน!”
“ท่านปรมาจารย์ โปรดเข้ามาข้างในได้เลยขอรับ คราวนี้เรามีข้อยกเว้น ท่านเข้าไปได้โดยไม่ต้องถวายเครื่องสักการะขอรับ! ”
“โอ้?” ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวอย่างสงบว่า “กฎย่อมเป็นคือกฎ หากไร้กฎ ก็ยากที่จะบรรลุความสมบูรณ์แบบได้ แล้วพวกเจ้าจะทำลายมันไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า? วันนี้ข้า หวารี่เทียนยังคงได้รับเครื่องสักการะนี้อย่างแน่นอน”
เมื่อร่างจำแลงของหลี่ฉางโซ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่นอกฝูงชน ได้ยินคำพูดนั้น ก็ขาอ่อนยวบจนเกือบจะทรุดลงไปกับพื้นทันที
………………………………………………………………..