ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 334 สหายของข้า องค์เง็กเซียน! (2)
ตอนที่ 334 สหายของข้า องค์เง็กเซียน! (2)
“แน่นอนว่า เป็นเพราะผลงานของเจ้ายังไม่ปรากฏ ข้าจึงให้ตำแหน่งเทพผู้ชอบธรรมเป็นทางการให้เจ้าได้เท่านั้น” องค์เง็กเซียนยิ้ม “ตำแหน่งเทพแห่งเต๋าสวรรค์มีหกระดับ และนี่เป็นเพียงระดับที่สี่เท่านั้น รอจนกว่าเรื่องนำเผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์สำเร็จเสร็จสิ้น เจ้าก็จะเข้าสู่ตำแหน่งระดับสองเช่นเดียวกับแม่ทัพตงมู่ทันทีเพื่อให้เจ้าโน้มน้าวใจผู้คนให้เชื่อมั่นได้”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม่ทัพใหญ่ผู้ดูแลแห่งศาลสวรรค์ หาใช่ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ซึ่งทำให้เขาตกใจไม่
ยิ่งได้ตำแหน่งสูงเท่าใด เขาก็ยิ่งต้องวางแผนในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น แม้เขาจะไม่เกียจคร้าน แต่ก็ไม่ใช่คนบ้างาน และหากไม่มีอะไรทำ เขาก็จะไม่หางานให้ตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น…การเสียสละชีวิตก็เป็นข้อห้ามสำหรับความมั่นคงในเต๋าเช่นกัน!
“ฝ่าบาท เทพน้อยขอบังอาจ โปรดช่วยบอกข้าถึงเรื่องตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์นี้ได้หรือไม่” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เผื่อว่าข้าจะได้เตรียมการในอนาคตเพื่อไม่ให้ล่วงเกินผู้ใดได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” องค์เง็กเซียนก็มีความสุขเช่นกัน “ฉางเกิง คุณระมัดระวังจริงๆ ทว่าวันนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องทำ เช่นนั้น ข้าจะคุยเรื่องตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์กับเจ้า”
ในตอนนี้ องค์เง็กเซียนก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเองและอธิบายอย่างครบถ้วนถึงการตั้งตำแหน่งเทพที่ส่วนใหญ่เขาสร้างขึ้นมา
วิธีที่องค์เง็กเซียนแบ่งตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์นั้นค่อนข้างธรรมดาเล็กน้อย…
ตำแหน่งเทพแตกต่างจากตำแหน่งทางการ มีหกระดับ ส่วนบรรพาจารย์เต๋า ซันชิงผู้อยู่เหนือสวรรค์และปฐพี ไม่รวมอยู่ในนั้น
ระดับแรกคือ องค์เง็กเซียน หวังหมู่ และเหล่าจวิน
ระดับที่สองคือ หัวหน้าเซียนบุรุษอย่างแม่ทัพตงมู่ และยังมีตัวอย่างดั้งเดิมคือ ผู้ทรงพลังที่แท้จริงเช่น ซืออวี้[1] หรือสี่มหาเทพสวรรค์ แต่ในเวลานี้ตำแหน่งของสี่มหาเทพสวรรค์นั้น ยังคงว่างอยู่ทั้งหมด
ระดับที่สาม มีคำต่อท้ายของเสิ่นจวิน และเทียนหวังทั้งหมดจะถูกนับรวมด้วย และตำแหน่งของเทพหลักแห่งกรมการต่าง ๆ แต่ละฝ่ายงาน ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
ระดับที่สี่รวมถึงเทพจันทราและเทพตามฝ่ายงานต่าง ๆ รับผิดชอบในการกำกับดูแลการดำเนินงานของวัฏจักรสวรรค์ และรักษาความมั่นคงของเต๋าสวรรค์
ส่วนแม่ทัพใหญ่ที่ได้รับการยกย่องจากศาลสวรรค์และนำกองกำลังทหารกว่าหนึ่งแสนนายจะรวมอยู่ในตำแหน่งเทพนี้ด้วย
ระดับที่ห้าและหกนั้นซับซ้อนกว่า ส่วนใหญ่เป็น “เทพผู้ช่วย” ของเทพผู้ชอบธรรมระดับที่สองและสาม
นอกจากนี้ยังมีผู้เป็นเซียนทางการและเซียนพเนจรไร้สังกัดแห่งศาลสวรรค์ซึ่งไม่ได้รวมเข้าสู่ระดับตำแหน่งแห่งศาลสวรรค์
ส่วนใหญ่หมายถึงแปดส่วนงานคือ เทพสายฟ้า เทพอัคคี เทพสงคราม เทพแห่งโรคระบาด[2] เทพแห่งโรคฝีดาษ เทพไท้ส่วย[3] และเทพแห่งความมั่งคั่ง
ซิงจวินส่วนใหญ่หมายถึงกลุ่มดาวยี่สิบแปดกลุ่มดาว[4]
ตำแหน่งเทพไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความแข็งแกร่ง แต่เพียงแสดงถึงตำแหน่งในระบบตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์ และกำหนดวิธีการปฏิบัติที่แต่ละคนจะได้รับ รวมถึงจำนวนบุญตอบแทนจากเต๋าสวรรค์…
หลี่ฉางโซ่วแอบคำนวณในใจและพบว่าตำแหน่งเทพหกระดับที่องค์เง็กเซียนแบ่งออกมานั้น ความจริงแล้ว ยังแบ่งออกเป็นเก้าระดับถึงสิบสองระดับอย่างละเอียดยิ่งขึ้นได้
ทว่าเมื่อองค์เง็กเซียนบรรยายระบบนี้ออกมา ดูจากความรู้สึกภาคภูมิใจที่แสดงออกในคำพูดเล็กน้อยนั้น…
ใช่เลย นี่มันระบบตำแหน่งเทพที่สมบูรณ์แบบที่สุด!
ไม่มีปัญหา!
แต่เหลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดว่า เขาจะเข้าสู่สวรรค์โดยเริ่มต้นได้ถึงตำแหน่งเทพระดับที่สี่
เหตุผลหลักเป็นเพราะ ตอนนี้ตำแหน่งส่วนใหญ่ของเทพผู้ชอบธรรมในศาลสวรรค์นั้นยังคงว่างอยู่ องค์เง็กเซียนจึงสามารถมอบตำแหน่งสูงให้เขาได้อย่างง่ายดาย
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดในใจขณะสนทนาเรื่องนี้กับองค์เง็กเซียน และจู่ๆ ก็เกิดแรงบันดาลใจวาบขึ้นมา เขาพบเรื่องบางอย่างที่สำคัญแล้ว
โครงสร้างตำแหน่งเทพหกระดับที่องค์เง็กเซียนสร้างขึ้นมาในเวลานี้ และตำแหน่งเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกันนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าจำนวนตำแหน่งเทพที่องค์เง็กเซียนสร้างขึ้นมานั้นจะสอดคล้องกับตำแหน่งว่างที่จะเติมไปในรายนามเทพในอนาคต?
แล้วหากเขามีอิทธิพลต่อความคิดขององค์เง็กเซียนในเวลานี้
เขาจะสามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ทั้งเสริม ลด ปรับ ตำแหน่งเทพต่างๆ ได้ใช่หรือไม่?
หลี่ฉางโซ่วเพียงคิดอะไรบ้าๆ อยู่ในใจแล้ววางความคิดนี้ไว้อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจทันที
อ้อ แล้วเขาต้องขุดหลุมฝังมันเอาไว้ให้แน่นๆ และอย่าลืมกระทืบเท้าด้วย…
คิดจะวางแผนอันใดเล่า!?! มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพเป็นภัยพิบัติ แล้วศิษย์ธรรมดาตัวน้อยๆ ของสำนักตู้เซียนที่เป็นเพียงเซียนหยวนจะไปเข้าร่วมได้อย่างไรเล่า?!
เมื่อสนทนาเรื่องตำแหน่งเทพหกกับองค์เง็กเซียนสักพัก หลี่ฉางโซ่วก็พบว่า…คำพูดขององค์เง็กเซียนเริ่มเข้มข้นน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้ เริ่มมีแสงสว่างจากโคมด้านนอกแล้ว องค์เง็กเซียนจึงยิ้มและกล่าวว่า “ฉางเกิง ไยเจ้าไม่ลองออกไปดูข้างนอกล่ะ? ข้าไม่ได้มาที่แดนมนุษย์นี้มากนัก”
“ในเมื่อฝ่าบาททรงสนพระทัย แน่นอนว่า เทพน้อยย่อมจะติดตามไปด้วยขอรับ ฝ่าบาทอยากให้เทพน้อยจัดเตรียมการก่อนหรือไม่? ”
“ไม่จำเป็นหรอก ยังต้องเตรียมการอันใดเล่า? ”
องค์เง็กเซียนโบกมือแล้วกล่าวว่า “ของแท้ย่อมให้ความเพลิดเพลินได้มากที่สุด”
หลี่ฉางโซ่วยิ้ม แล้วติดตามองค์เง็กเซียนออกไปจากห้องโถงด้านหลังก่อนจะเดินไปทางประตูหลังของวิหารเทพทะเล
องค์เง็กเซียนมาทำอะไรที่นี่?
ต้องมีความหมายลึกซึ้งอื่น แต่ข้าพยายามลองมาสองสามครั้งแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด
ถึงอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเพราะเกียจคร้านและเบื่อ เลยแวะมาคุยกับเขาเพื่อแก้เบื่อ
ขณะที่เขากำลังออกไป ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วมองไปที่มุมสนามด้านหลัง มีเงาดำซ่อนอยู่ในความมืดอย่างรวดเร็วแล้วหายไปเงียบๆ
“ฉางเกิง ดูเหมือนว่า ที่นี่ไม่ค่อยปลอดภัยนัก”
“ให้ฝ่าบาทขบขันแล้ว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “มีคนกำลังจ้องมองไปที่วิหารเทพทะเลของเทพน้อยมามากกว่าหนึ่งวันแล้ว เทพน้อยจึงคุ้นชินกับมัน ”
“โอ้?”
ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนขมวดคิ้วขมวดเข้าหากันมากขึ้นและส่งเสียงถามว่า “จะให้ช่วยหรือไม่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเทพน้อยที่นี่”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “เหล่าเทพน้อยที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นร่างจำแลง และพวกเขาก็แค่คอยตามสืบมาตลอด”
“หากเจ้าไม่พูด ข้าก็เกือบลืมไปแล้ว” ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนหัวเราะเบา ๆ “ไปกันเถิด คืนนี้ เราออกจากประตูนี้ เจ้ากับข้าคุยกันก็ไม่ต้องส่งข้อความเสียงแล้ว ” “ข้าเรียกเจ้าว่าพี่ฉางเกิง เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่รี่เทียน วันนี้ข้าจะดูโลกมนุษย์ให้ดี ”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
“ฝ่าบาทเปลี่ยนชื่อได้หรือไม่? ชื่อนี้ ยากจะกล่าวจริงๆ
ทว่ามันก็เป็นที่เขาคิดซับซ้อนเกินไปเอง…
หลี่ฉางโซ่วปฏิบัติตามคำพูดของเขา และยังคงเรียกเขาว่าพี่รี่เทียน ซึ่งทำให้องค์เง็กเซียนสบายใจมากขึ้น
เขาไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญจริงๆ หรือจงใจ
ในยามนี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังเดินติดตามองค์เง็กเซียนไปตามถนนพร้อมกับชื่นชมทิวทัศน์ของโลก และเดินเล่นไปรอบๆ ตลาดกลางคืนในโลก
ดูเหมือนว่าองค์เง็กเซียนจะสนใจทุกสิ่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมเคลือบน้ำตาล ถังหูลู่ และบะหมี่ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความสนใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ลองลิ้ม
แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วก็แค่คอยเดินเล่นอยู่ข้างๆ ซื้อของและพูดคุยกับเขา และรอคอยเวลาที่องค์เง็กเซียนจะพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาอย่างเงียบๆ
ทว่าในขณะนั้น เสียงยุงที่คุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามาในหูของหลี่ฉางโซ่ว
บัดนั้น ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนกวาดสายตามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วสะบัดแขนเสื้อง่ายๆ ทันใดนั้น แสงเซียนสีทองบางเบาก็จางหายไปจากฝ่ามือของเขา และปรากฏขึ้นในอากาศในชั่วพริบตา แทงทะลุยุงเลือด
“ฉางเกิง ที่นี่ไม่ปลอดภัยจริงๆ ข้ารู้สึกเป็นห่วงมาก”
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ…ให้ตั๋วเข้าวังดุสิตกับข้ามาสิ ข้าต้องรีบย้ายไปที่นั่นด่วนจี๋ที่สุด!
แค่กๆ นั้นแค่ล้อเล่น ขำๆ ขำๆ
………………………………………………………………..
[1] ว่ากันว่า ทั้งสี่มหาเทพนี้ ทรงมีอำนาจเทียบเท่าองค์เง็กเซียน ซึ่งโฮ่วถู่เหนียงเหนียงก็เป็นหนึ่งในสี่มหาเทพนี้
[2] เทพแห่งโรคระบาด เชื่อกันว่า จะมีเทพตัวแทนสำหรับโรคระบาดประจำฤดูในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือ เทพจางเอวี๋ยนปั๋ว มีเทพตัวแทนคือเทพหลิวหยวนต๋า สำหรับโรคระบาดในช่วงฤดูร้อน มีเทพตัวแทนคือเทพจ้าวกงหมิง (ยังทรงเป็นเทพแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊ด้วย) สำหรับโรคระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีเทพตัวแทนคือ เทพจงซื่อกุ้ย สำหรับโรคระบาดในช่วงฤดูหนาว และมีเทพผู้ควบคุมโรคระบาดทั่วไป คือ เทพสื่อเหวินเยี่ย
[3] เทพผู้คอยดูแลชะตาชีวิตผู้คน
[4] มีกลุ่มดาวใหญ่สี่กลุ่มดาวครองจตุรทิศ แบ่งเป็นกลุ่มดาวย่อยอีกเจ็ดกลุ่มดาว กลุ่มดาวใหญ่มี กลุ่มดาวมังกรเขียว ทิศตะวันออก กลุ่มดาวเต่าดำ ทิศเหนือ กลุ่มดาวเสือขาว ทิศตะวันตก และกลุ่มดาวกระเรียนแดง ทิศใต้