ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 340 คำที่ข้าเคยคุยโวเอาไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้...(2)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 340 คำที่ข้าเคยคุยโวเอาไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้...(2)
ตอนที่ 340 คำที่ข้าเคยคุยโวเอาไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้…(2)
“นายท่าน เมื่อครู่นี้ น้องชายคนที่สามใช้หยกส่งสารรายงานมาว่ามีกองกำลังทหารมาที่หมู่บ้านของพวกเรา ร่างของพวกเขาทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังหยินโดยมีคนสองสามคนเป็นผู้นำ ข้ารู้สึกว่า พวกเขาเป็นผู้ทรงพลังแข็งแกร่งซึ่งมีความเกี่ยวพันบางอย่างกับหมู่บ้าน ของพวกเราขอรับ”
“แข็งแกร่งเพียงใด?”
“น้องสงสามกล่าวว่าเขาแข็งแกร่งมากขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วหลับตาลงเล็กน้อย จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หมู่บ้านสงก็ใช้สัมผัสเซียนรับรู้มองไปที่เหล่าฝูงชนแล้ว
คนแรกที่หลี่ฉางโซ่วยังจำได้นั้นก็คือ หัววัวแห่งแดนยมโลกที่ถอดหมวกของเขาออก
“คนพวกนั้นมันมาจากแดนยมโลก สาขาหนึ่งในบรรพบุรุษของเจ้า” หลี่ฉางโซวยิ้มและกล่าวว่า “พวกเขาไปที่หมู่บ้านของเจ้าจริงๆ และอย่างที่ข้าบอกพวกเขาก่อนหน้านี้ ให้น้องสงสามนำทางและพาพวกเขาไปที่เมืองอันสุ่ยเร็วที่สุด พระอาทิตย์จะขึ้นในอีกสองชั่วยามนี้ และพิธีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ”
“เฮ้ ได้ เช่นนั้น ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
หัวหน้าหมู่บ้านชรารับคำ แล้วกำลังจะส่งสารแจ้งไปในทันที ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็หยุดเขาเอาไว้อีกครั้ง
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวว่า “วันนี้มีแขกผู้มีเกียรติมากมาย ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าพิธีจะมีชีวิตชีวามากขึ้น เช่นนั้น การจัดเตรียมร้องเพลงเต้นรำที่ถูกถอดออกไปก่อนหน้านี้ ก็ให้มีขึ้นตั้งแต่ยามพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเที่ยงวัน”
“ขอรับ!”
บัดนั้น หัวหน้าหมู่บ้านชราก็เป็นดั่งวิญญาณหมีดำรีบพุ่งออกไป แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังอยู่เฉยไม่ได้และยังคงต้อนรับแขกเหรื่อต่อไป
ครั้งนี้ต่างจากยามที่อ๋าวอี่แห่งวังมังกรอภิเษก นี่คือ พื้นที่บ้านของเขา เขาจึงละเลยบรรดาแขกกิตติมศักดิ์คนสำคัญเหล่านี้ไปไม่ได้ ต่อให้พวกเขาหลายคนจะมาโดยไม่ได้รับเชิญก็ตาม
หนึ่งชั่วยามต่อมา ก็มีเซียนอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่ายี่สิบคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานขี่เมฆมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
การเดินทางครั้งนี้น่าจะรวดเร็วปานสายฟ้าเพราะมันทำให้เส้นผมยาวของเซียนเทียนที่มีระดับฐานพลังต่ำกว่าเล็กน้อยสองสามคนแห่งวังอวี้ซวีนั้น ดูยุ่งเหยิงไปหมด
หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยกับผู้นำสองคนนี้เช่นกัน คนหนึ่งคือ ฝูจินเซียน อวิ๋นจงจื่อ และอีกคนหนึ่งคือ ฉือจิ้งจื่อ ซึ่งเป็นอันดับสองในสิบสองเซียนจิน พวกเขาทั้งคู่ ล้วนเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน
แต่ก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะทันได้ขี่เมฆบินออกไป จ้าวกงหมิงก็ได้พาบรรดาเซียนสองสามคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมาทักทายเขาแล้ว
ทุกคนต่างแอบแข่งขันและสู้กันอยู่ลับๆ แต่จากภายนอกแล้ว พวกเขายังต้องสามัคคีกันเพื่อตอบสนองต่อวลีที่ว่า ‘สำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน’
ในขณะนั้น พื้นที่ในห้องโถงด้านหลังของวิหารเทพทะเลมีผู้คนเกือบเต็มแล้ว
บรรดาเซียนของทั้งสองสำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนกล่าวทักทายกัน จากนั้นจึงนั่งลงแยกกันอย่างชัดเจน
บัดนี้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่า เขาควบคุมสถานการณ์นี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…
แต่เขาก็ไม่อาจเชิญปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ให้มาหาในตอนนี้ได้ ใช่หรือไม่?
เมื่อข้าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ก็ไปขอให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่วยเหลือ นั่นจะไม่เผยให้เห็นว่าข้าทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้ไม่ดีนักหรอกหรือ…
ขณะที่เขาครุ่นคิดเช่นนี้ ทันใดนั้น ก็มีกระแสข้อความเสียงส่งผ่านแทรกซึมเข้าไปในใจของหลี่ฉางโซ่ว
“ฉางโซ่ว ร่างหลักของเจ้าไปอยู่ที่ใด? ข้าค้นหาในสำนักตู้เซียนสองครั้งแล้ว ไฉนจึงหาไม่พบ?”
หลี่ฉางโซ่วตื่นตกใจ!
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา[1]!
และญาติของเขามาถึงแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วรีบชี้ไปที่หน้าอกของเขาพลางมองไปรอบๆ โดยไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร
“เป็นไปตามที่เจ้าคาดไว้! ฮ่าๆๆ! เจ้าซ่อนอยู่ในร่างจำแลงของเจ้าจริงๆ! ข้าคาดไม่ถึงเลย ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ!”
จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็หัวเราะลั่นแล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเห็นว่าเจ้าเชิญปรมาจารย์เต๋ามามากมาย แล้ววันนี้ยังอยากให้ข้าไปปรากฏตัวอีกหรือไม่? เพียงพยักหน้าหากต้องการ”
หลี่ฉางโซ่วจึงพยักหน้าหงึกหงักทันที
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังกังวานขึ้นในห้องโถงด้านหลังของวิหารเทพทะเล แล้ววิหารเทพทะเล ซึ่งเดิมที เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็พลันเงียบงันไปในทันที
จ้าวกงหมิงทำมุทราหยั่งรู้ จากนั้นก็ยืนขึ้นก่อนเป็นคนแรกแล้วกล่าวอย่างยินดีว่า “ศิษย์พี่ใหญ่เสวียนตูมาถึงที่นี่แล้ว!”
เพียงทันทีที่จ้าวกงหมิงกล่าวจบ จู่ๆ ก็มีเมฆก้อนเล็กปรากฏขึ้นที่สวนด้านหลังของวิหารเทพทะเล ในขณะนั้น มีเงาไท่จี๋บาง ๆ ปรากฏขึ้นในหมู่เมฆนี้ แล้วร่างในชุดเสื้อคลุมยาวก็ก้าวออกมา
เมื่อมองดูรูปร่างเพรียว สูงโปร่ง เส้นผมยาวสลวย และใบหน้าที่ดูไม่ธรรมดาของเขา หากผู้ใดได้ยลอย่างถ้วนถี่ ก็ย่อมเห็นได้ว่ามีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด เขายังดูมีเสน่ห์ดุจวิญญาณอิสระ ยากนักที่จะมีเจตจำนงอิสระได้แท้จริง!
“ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าสบายดีหรือไม่?”
ทันทีที่ศิษย์คนโตแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าปรากฏกายขึ้น บรรดาทุกคนที่นี่ก็กลายเป็นศิษย์น้องทั้งหมด
“ศิษย์พี่เสวียนตู!”
“ท่านปรมาจารย์ศิษย์พี่เสวียนตู!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเผยรอยยิ้มสง่างาม บุคลิกภาพของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนยามที่เขาอยู่ตามลำพังกับหลี่ฉางโซ่ว ขณะนี้ เขาดูกลายเป็นคนสุภาพและเป็นกันเองมากขึ้น
เมื่อหลี่ฉางโซ่วเห็นว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกำลังจะกล่าว เขาจึงรีบกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงในทันทีว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ร่างจำแลงของเทพแห่งท้องทะเลทักษิณมีนามว่า ฉางเกิงขอรับ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นงานสำคัญของฉางเกิง แน่นอนว่า ข้าย่อมต้องมาที่นี่ ข้าต้องขอขอบใจศิษย์น้องชายหญิงทุกคนที่มาร่วมชมงานพิธีการด้วย หากให้การต้อนรับบกพร่องไปบ้าง ก็โปรดอภัยให้ข้าเถิด
แท้จริงแล้ว สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมีคนเพียงไม่กี่คนมาแต่เริ่มแรก จากนี้ไปในภายหน้า ฉางเกิงจะท่องเที่ยวไปภายนอก ข้าหวังว่าทุกคนจะช่วยดูแลเขาด้วย”
ฉางเกิง?
ในคราแรก บรรดาเซียนต่างๆ รู้สึกงุนงงเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็เห็นหลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับออกไปข้างหน้าแล้วจึงตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นได้ทันที
ภูมิหลังของเทพแห่งท้องทะเลแข็งแกร่งมากถึงเพียงนั้นหรือนี่?
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษมากด้วยประโยคที่ว่า “หากให้การตอบรับบกพร่อง” นั่นเป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของเขาโดยตรงว่าเขาอยู่ในฐานะ ‘เจ้าภาพ’
สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก่อตั้งสำนักเทพทะเล
นักพรตเต๋าฉางเกิง เทพแห่งท้องทะเลทักษิณ ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู และอาจเป็นรุ่นเยาว์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินที่จอมปราชญ์เทพไท่ชิงให้ความสำคัญอีกด้วย!
ในชั่วพริบตานั้น บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานที่เดิมทีมาที่นี่เพื่อร่วมสนุกก็ปรารถนาจะผูกมิตรเป็นสหายกับเขาทันที
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็มองหลี่ฉางโซ่วด้วยนัยราวกับจะถามว่า ‘เป็นอย่างไรเล่า?’
หลี่ฉางโซ่วก็มองตอบกลับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูอย่างซาบซึ้งและเต็มไปด้วยความรู้สึกราวกับจะบอกว่า ‘ท่านเยี่ยมสุดๆ เลย’
ทุกสิ่งที่เขาได้เคยอวดอ้างสร้างภาพเอาไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ได้กลายเป็นจริงแล้ว!
สิ่งที่หลี่ฉางโซวกำลังคิดอยู่ในตอนนี้คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้สำนักบำเพ็ญได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างกระจ่างชัดเจน? และย่อมจะดีที่สุดหากจะให้อีกฝ่ายได้เห็นรายละเอียดทั้งหมด…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เชิญให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั่งในที่นั่งหลัก แล้วจึงจัด ‘แท่นทะยานเมฆ’ ด้วยตัวเองเพื่อใช้ในภายหลัง แท่นทะยานเมฆนี้ ยังเป็นแท่นสังเกตการณ์ของเหล่าเซียนที่หลี่ฉางโซ่วได้จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน
มันเป็นเมฆขาวที่มีโครงไม้รองรับค้ำยันอยู่ และมียันต์สร้างเมฆและลงยันต์ต่างๆ เอาไว้เพื่อป้องกันเหตุร้ายไม่คาดฝันใดๆ และยังมีการเสริมกำลังเพิ่มอีกหลายสิบชั้น
หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมแท่นทะยานเมฆเอาไว้สอง แห่ง และสำรองเอาไว้อีกสี่ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
แต่เมื่อเขาเห็นว่า หวงหลงเจินเหรินและจ้าวกงหมิงนำยันต์หยกออกมาเพื่อเริ่มจัดคลื่นระลอกที่สองในการเชิญผู้คนให้มาร่วมงาน หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มอย่างหมดหนทางในใจและเปิดใช้งานตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สองสามตัวเพื่อเริ่มเร่งสร้างแท่นทะยานเมฆแห่งใหม่
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วจัดการเรื่องนี้และกำลังจะกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อไปกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงมังกรร้องคำรามจากฟากฟ้า เป็นเสียงร้องที่กระจ่างชัดเจนจากท้องฟ้า
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
คลื่นแขกเหรื่อจากวังมังกรระลอกแรกได้มาถึงแล้ว!
ทว่าอ๋าวอี่ก็ร่อนร่างลงที่สวนด้านหลังอย่างร่าเริง ใบหน้าของหนุ่มน้อยเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีในขณะที่ยกชายเสื้อคลุมของเขาขึ้นแล้วกระโดดข้ามไปอย่างรวดเร็ว!
“ข้ามาถึงแล้ว… เอ๋?”
เมื่ออ๋าวอี่สังเกตเห็นบรรดาแขกเหรื่อในห้องโถงจากหางตาของเขา ทันใดนั้น รอยยิ้มของเขาก็หยุดนิ่งและแข้งขาอ่อนแรงลงทันทีจนแทบจะล้มลงไปต่อหน้าหลี่ฉางโซ่ว
………………………………………………………………..
[1] เมื่อเรากล่าวถึงผู้ใดอยู่ คนผู้นั้นก็บังเอิญปรากฏตัวหรือมาถึงพอดี