ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 342 รูปแบบใหม่ของความบันเทิงแห่งโลกบรรพกาล (2)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 342 รูปแบบใหม่ของความบันเทิงแห่งโลกบรรพกาล (2)
ตอนที่ 342 รูปแบบใหม่ของความบันเทิงแห่งโลกบรรพกาล (2)
ตึ้ง!
ทันใดนั้น ชายร่างแกร่งกำยำสี่สิบเก้าคนสวมเสื้อสีแดง ก็กระทืบเท้าและปล่อยหมัดชกต่อยออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้พวกเขาจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่กลับมีพลังชายฉกรรจ์ที่แข็งแกร่ง!
จากนั้น ชายร่างแกร่งกำยำคนแรกก็ก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าวแล้วร้องตะโกน
“เฮ่ย! เฮ่ย เฮ่ย เฮ่ย เฮ่ยย่า!”
เสียงสว่อน่าดังขึ้น แล้วเครื่องสายก็บรรเลงขึ้นพร้อมๆ กันในขณะที่ชายร่างแกร่งกำยำหลายสิบคนเริ่มเต้นไปตามจังหวะกลองพร้อมๆ กัน พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงสม่ำเสมอ และเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างต่อเนื่อง
บัดนั้น มีเสียงโห่ร้องสนุกสนานรื่นเริงดังสนั่นมาจากบรรดาผู้คนมากมายเบื้องล่างในขณะที่ดวงตาของเหล่าเซียนบนก้อนเมฆก็สว่างไสวขึ้นเช่นกัน
ในโลกบรรพกาลเวลานี้ เมื่อกล่าวถึงดนตรีและการเต้นรำ โดยธรรมชาติแล้ว ก็จะนึกถึงภาพร่ายรำอย่างสง่างามของกลุ่มสตรีสาวทรงเสน่ห์ บอบบางและงดงาม ซึ่งเน้นถึงความนุ่มนวลและละเอียดอ่อนที่ทำให้ได้เห็นแนวคิดทางศิลปะอย่างไม่ชัดเจนนัก
เมื่อหลี่ฉางโซ่วทำเช่นนั้น เขาทำไปเพราะความสนใจสุดๆ โดยเพลงที่เปิดนี้ปรับมาจากเพลงดัดแปลง ‘คนแรงงานเป็นคนที่งดงามที่สุด’
เดิมทีเขาลบ ‘รายการ’ เหล่านี้ออกไป เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่ผู้ใดจะรู้ว่า วันนี้จะบังเอิญมีบรรดาเซียนของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าจำนวนมากมายมาที่นี่? ดังนั้น เพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับบรรดาเซียนเหล่านี้ หลี่ฉางโซ่วจึงเพิ่มรายการเหล่านี้กลับเข้าไปอีกครั้ง…
หลังการเต้นรำ ชายร่างกำยำหลายสิบคนก็หอบหายใจและเผยรอยยิ้มจริงใจและอบอุ่นออกมา ในยามนั้น เหล่ามนุษย์ที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานรื่นเริงอีกครั้งในขณะที่บรรดาเซียนที่อยู่บนเมฆต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ได้ผลดีทีเดียว…
อ๋าวอี่หยุดตีกลองก่อนจะหันหลังและกระโดดลงไป จากนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นมังกรครามและเริ่มบินจากแท่นสูงไปรอบๆ สถานที่ขนาดใหญ่ แล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ก่อนจะร่อนลงบนแท่นสูง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องตะโกนของ “ผู้พิทักษ์ใหญ่” “ผู้พิทักษ์ใหญ่” ดังขึ้นที่ด้านล่าง
บัดนั้น อ๋าวอี่ก็ประสานมือแล้วโค้งคำนับให้ก่อนที่ร่างของเขาจะกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือบรรดาฝูงชนมากมาย แล้วกล่าวเสียงดังออกมา
“สวัสดี เหล่าสหายของข้าที่อยู่ตรงนั้น พวกท่านสบายดีหรือไม่!
เหล่าสหายบนภูเขา และในทะเล พวกท่านสบายดีหรือไม่!?!”
ทันใดนั้น เสียงนับไม่ถ้วนก็กวาดพัดเข้ามา แล้วประสานเสียงเป็นคำว่า “ดี” อย่างพร้อมเพรียงกัน
อ๋าวอี่พลันยกมือขึ้นแล้วลดมือลง แล้วเสียงโห่ร้องสนับสนุนนั้นก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นองค์ชายรองแห่งเผ่ามังกรก็ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างจริงจังอีกครั้ง
“สำนักเทพทะเลกำลังมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่!
เหล่าสหายเซียนและสานุศิษย์ผู้ศรัทธาต่างก็มารวมตัวกัน!
ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อฉลองงานพิธีเทพทะเล เทพแห่งท้องทะเลก็เฝ้ามองจากท้องทะเล และส่งข้ามาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองกับพวกท่านทุกคน! ทุกท่าน อย่าเบียดเสียดกันจนแออัดหรือส่งเสียงดังเกินไป หากพวกท่านหิวหรือกระหายน้ำ พวกท่านก็หาอาหารและน้ำที่เราได้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ในพื้นที่นั้นๆ ได้ และหากมีโจรปล้นสะดมหรือคนก่อกวนสร้างปัญหา เทพแห่งท้องทะเลจะลงโทษพวกเขา! ได้ยินชัดหรือไม่?”
บรรดามนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนที่ด้านล่างล้วนตะโกนขึ้นพร้อมกัน
“ชัดขอรับ!”
อ๋าวอี่แย้มยิ้มแล้วเหลือบมองดูถ้อยคำที่เขียนไว้ในฝ่ามือพลางตะโกนเสียงดังว่า
“ต่อไปเป็นการแสดงใหญ่ของทูตเทวะหมู่บ้านสงแห่งสำนักเทพทะเลของเราและทหารแห่งจวนเจ้าเมืองอันสุ่ย “ความรุ่งโรจน์และเสื่อมลงของเผ่ามนุษย์”!
นี่คือวิถีที่บรรพบุรุษแห่งเผ่ามนุษย์ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาอย่างหนักโดยตลอดเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ และยังฝากความหวังของบรรพบุรุษเผ่ามนุษย์เอาไว้ที่ชนเผ่ามนุษย์ในยุคนี้อีกด้วย! ”
เมื่ออ๋าวอี่ประกาศจบแล้ว เขาก็กระโดดลงจากแท่นสูง และถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกก่อนจะเผยรอยแย้มยิ้มเบิกบานใจให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักของเขา
หลี่ฉางโซ่วยกกำปั้นขวาขึ้น และชูนิ้วโป้งให้เขาอย่างชื่นชมทันที
ในเวลานั้น ชายร่างกำยำอีกสิบเจ็ดหรือสิบแปดคนในชุดกระโปรงหนังสัตว์สั้นและสวมต่างหูฟาง ก็วิ่งขึ้นไปบนแท่นสูง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ร้องตะโกนว่า ‘โอ้ โอ้ ‘
นั่นหมายความว่าเผ่ามนุษย์เพิ่งถูกเทพีหนี่วาสร้างขึ้นมาและพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรบนพื้นดินเลย เพียงอาศัยการเก็บเกี่ยวและการล่าสัตว์เพื่อดำรงชีพให้อยู่รอด
บัดนี้ เพลงประกอบและท่าเต้นก็พร้อมแล้ว – “คนป่าข้างบ้าน[1]”
ชั่วขณะนั้น บรรดาเซียน มังกรเซียนเบื้องบน และมนุษย์เบื้องล่าง ต่างก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทั้งหมด
ทว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ดูมีทีท่าสะเทือนใจมากเมื่อได้เห็น ดวงตาของเขาเผยแววรำลึกถึงความทรงจำอันไกลโพ้นออกมา…
ทั้งหมดเหล่านี้คือ สภาพความเป็นอยู่ของเหล่าพี่น้องชายหญิงของเขาในเวลานั้น…
เฮ้อ ฉางโซ่วก็ยังตั้งใจเช่นกัน
หลังการเต้นรำชุดนี้ ก็ตามด้วยการแสดงเต้นรำอีกสิบเก้าชุด เช่น “ขุดไม้ก่อไฟ” “เพลงสงครามน้ำแข็งไฟ” “ไทจี๋[2]” “อุทกภัยทำลายโลก” “สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ[3]” เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนถูกดัดแปลงมาจากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมายที่เผ่ามนุษย์ได้เคยประสบมาแต่ครั้งโบราณ
เมื่อการแสดงบรรยายถึงช่วงเวลาที่มนุษย์กำเนิดขึ้นครั้งแรก พวกเขาก็ให้ทำนองสนุกขบขันเป็นหลัก เมื่อเผ่ามนุษย์ประสบภัยพิบัติมากมาย ท่วงทำนองก็กลับลึกซึ้งและเร่าร้อนขึ้น เมื่อเผ่ามนุษย์รุ่งเรือง เสียงดนตรีก็คึกคักสว่างไสวและยิ่งใหญ่ขึ้นในทันที…
ไม่นานนัก ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ก็เรียกหลี่ฉางโซ่วมา
จ้าวกงหมิง หวงหลงเจินเหรินและเหล่าเซียนอื่น ๆ จากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าต่างมารวมตัวกันและถามหลี่ฉางโซ่วอย่างตื่นเต้นว่า แนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มันน่าสนใจจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วไม่อาจกล่าวตรงๆ ได้ว่า เขาลอกเลียนสิ่งเหล่านี้มาจากชีวิตในชาติก่อน
เขากล่าวว่า ร่างจำแลงของเขาได้เดินทางท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ และผสานรวมการแสดงรูปแบบต่างๆ ของผู้คนธรรมดาในเผ่ามนุษย์เข้าด้วยกัน เขาไม่ได้คิดค้นและสร้างสร้างการเต้นรำที่เล่าเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นด้วยตัวของเขาเอง และหากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่สนใจ เขาก็ยังทำเป็นละครบางอย่างได้เช่นกัน
ทันใดนั้น บรรดาเซียนทั้งหลายต่างก็ชื่นชมเขาทันที
ในขณะที่การเต้นรำกลุ่มแรกดำเนินการแสดงไปถึงหนึ่งในสามส่วนแล้ว บัดนั้น ก็มีเมฆเซียนสองก้อนบินมาจากทางทิศเหนือและทิศใต้ บ่งบอกว่า กวงเฉิงจื่อแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานและอวี้ติ่งเจินเหริน และเทพธิดากุ่ยหลิงแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และเทพธิดาอู๋ตั้ง แต่ละคนล้วนนำผู้ฝึกบำเพ็ญมากกว่าร้อยคนมา ‘ร่วมสนุก’
นี่ย่อมเป็นธรรมดาเพราะจะได้พบหน้ากับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู
ในขณะนั้น เสวียนตูได้พาหลี่ฉางโซ่วไปต้อนรับพวกเขา และจัดที่นั่งให้บรรดาเซียนแต่ละคนนั่งลง
บัดนั้น ตำแหน่งที่ตั้งของเผ่ามังกรก็ถูกบีบให้ห่างออกไปอีกเล็กน้อย…
ชั่วครู่ต่อมา ก็มีเมฆสีเทาลอยมาจากทางทิศตะวันตก
มีบุรุษกล้ามใหญ่สองสามคนยืนอยู่ข้างหน้า และที่ด้านหลังของพวกเขาก็มีร่างใหญ่กำยำหลายร้อย พวกเขามาจากแดนยมโลกและเพิ่งมาถึงงาน
เมื่อพวกเขาเห็นเหล่าพ่อมดกำลังแสดงระบำสงครามบนแท่นสูง พวกเขาก็ขมวดคิ้วทันที
ยมทูตเกี่ยววิญญาณ หัววัว ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ชนรุ่นหลังเผ่าเวทของข้า จะมาเต้นระบำได้อย่างไรกัน!?!”
ในเวลานั้น แม่ทัพคนหนึ่งจากแดนยมโลกสะกิดแขนของหัววัวอยู่ที่ด้านข้าง และเงยหน้าไปทางผู้คนกลุ่มใหญ่เหนือแท่นสูง
ทันใดนั้น หัววัวก็มองเข้าไปใกล้ ๆ และจำพวกเขาสองสามคนได้ในทันที จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงอักขระเต๋าที่ซ่อนเร้นอยู่ของปรมาจารย์เหล่านี้อย่างละเอียด แล้วอดจะหัวเราะอย่างเก้อเขินออกมาไม่ได้
“เต้นเก่งไม่เลวนี่ พวกเจ้าทำให้เราภูมิใจยิ่ง!”
กลุ่มเจ้าหน้าที่จากแดนยมโลกที่มาจากเผ่าเวทต่างก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็บินไปต้อนรับพวกเขาและแจ้งว่า ตัวเขาเองคือเทพแห่งท้องทะเลทักษิณ และกล่าวถึง ‘สหายสนิทจากสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่ว’
หัววัวและชาวเผ่าเวทคนอื่นๆ ก็มีมารยาทอย่างยิ่ง พวกเขายังคงชื่นชมเทพแห่งท้องทะเลอย่างต่อเนื่อง และขอบคุณเทพแห่งท้องทะเลที่ช่วยดูแลเผ่าพ่อมด
และนั่นยังเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างมิตรภาพอย่างเป็นทางการกับแดนยมโลก
ชาวเผ่าเวทชอบยืนบนพื้น และหลี่ฉางโซ่วก็สำรองที่สำหรับพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน และการมาถึงของกลุ่มคนจากแดนยมโลกก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใดๆ มากนัก
บัดนี้ ชายฝั่งทะเลทักษิณในระยะหนึ่งร้อยลี้ ล้วนเต็มไปด้วยเสียงดนตรี
พิธีเทพทะเลก็เต็มไปด้วยเสียงครึกครื้นรื่นเริงและเสียงหัวเราะ
เมื่อการแสดงเต้นรำความรุ่งโรจน์และเสื่อมลงของเผ่ามนุษย์สิ้นสุดลง บรรยากาศของงานพิธีก็มาถึงช่วงสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีเหล่าเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานถามหลี่ฉางโซ่วถึงวิธีการฝึกซ้อมเต้นรำเป็นกลุ่มเช่นนี้ ซึ่งหลี่ฉางโซ่วไม่อาจชี้แจงได้ในชั่วขณะนั้น เขาเพียงแค่บอกว่า เขาจะพูดคุยถึงเรื่องนี้กับทุกคนอีกครั้งหลังงานพิธีเฉลิมฉลอง
หลังจากการเต้นรำแบบกลุ่มแล้ว ชายร่างใหญ่กำยำสองคนก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นสูง แล้วเล่นค่วยปัน[4] พร้อมกับเริ่มตีฆ้องและกลอง พวกเขากำลังเริ่มบรรเลงเพลงพื้นบ้านของสำนักเทพทะเล “สรรเสริญเทพแห่งท้องทะเล”
จากนั้นการเตรียมการสำหรับการเต้นรำกลุ่มต่อไป “เทพแห่งท้องทะเล เผ่ามังกรและทะเล” ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ต้องบอกว่าในการเต้นรำกลุ่มนี้ ยังมีเนื้อหาท่าเต้นซึ่งรวมถึง วาดมังกรทางซ้าย และ หากข้าไปตกปลา เจ้าจะยังรักข้าหรือไม่ และเนื้อหาท่าเต้นอื่นๆ…
ตั้งแต่ย่ำค่ำจรดยามเช้า ชายฝั่งทะเลทักษิณคึกคักยิ่ง และพิธีเทพทะเลก็นับว่ามีเอกลักษณ์แปลกใหม่
ในเวลานี้ ที่ประตูสวรรค์ทักษิณ บรรดาเซียนและแม่ทัพสวรรค์ผู้ถูกปลุกเร้าด้วยเสียงจากโลกมนุษย์ ก็ทำได้เพียงอดทนรอให้เวลาเที่ยงวันมาถึงอย่างเงียบๆ
………………………………………………………………..
[1] ปรับมาจากเพลงทาร์ซานข้างบ้าน
[2] หรือไท่เก็ก เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีนที่สืบทอดมาแต่โบราณ เป็นท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล
[3] สามกษัตริย์ คือ พระเจ้าซุ่ยเหริน พระเจ้าฝูซี และพระเจ้าเสินหนง ส่วนห้าจักรพรรดิ คือ จักรพรรดิหวงตี้ จักพรรดิจวนซวี จักรพรรดิตี้คู่ พระเจ้าเหยา และ พระเจ้าซุ่น
[4] บรรเลงดนตรีเร็ว โดยเป็นการเล่าเรื่องโดยการขับร้อง หรือด้นสด คล้ายกับการขับลำนำ หรือบรรเลงเพลงละครที่เคาะจังหวะด้วยแผ่นไม้ไผ่