ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 35.1 โจมตี โต้กลับ และตีโต้กลับอีกครั้ง (1)
ยามเช้าตรู่ หลี่ฉางโซ่วก็กลับไปที่กระท่อมมุงจากอีกครั้ง หลังจากทำงานอยู่ในหอโอสถตลอดทั้งคืน
ก่อนที่จะเข้าใกล้กระท่อมมุงจาก เขาได้กลิ่นสุราบางๆ จึงแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปเพื่อมองเข้าไปในห้องของศิษย์น้องหญิง จากนั้นก็อดยกมือก่ายหน้าผากไม่ได้
ยังคง… น่าจะอ้อมไปดีกว่า
แม้ว่าในเวลานี้ภาพเหตุการณ์ในกระท่อมมุงจากจะไม่เลวนัก
มีแผ่นป้ายจากการจำลองชีวิตเซียนกระจัดกระจายไปทั่วพื้นพร้อมกับไพ่ ‘โป๊กเกอร์’ ที่หลี่ฉางโซ่ว สร้างให้ศิษย์น้องหญิงของเขาเมื่อหลายปีก่อน
ความจริงแล้วไพ่เหล่านี้ค่อนข้างฟุ่มเฟือย หลี่ฉางโซ่วต้องใช้กระดาษพิเศษที่เอาไว้ทำ ‘ตุ๊กตากระดาษ’ ของเขาสร้างขึ้นมา วัตถุดิบที่ใช้ทำมาจากเยื่อของต้นไม้ล้ำค่าชนิดหนึ่งซึ่งมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนมาก
เห็นได้ชัดว่า เมื่อวานนี้พวกนางทั้งสามคนเล่นกันทั้งคืน และไม่ได้สติเพราะจิ่วจิ่วนำสุราออกมาดื่มในที่สุด…
พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาสามารถตรวจพบ กระบี่ใหญ่ ชุดกระโปรงยาว เสื้อสั้น รองเท้าและถุงเท้าอีกจำนวนหนึ่ง
หลันหลิงเอ๋อร์และอาจารย์อาจิ่วจิ่วนอนหมอบอยู่บนเตียงและผล็อยหลับสนิท จิ่วจิ่วกอดต้นขาของหลันหลิงเอ๋อร์ในขณะที่หลันหลิงเอ๋อร์ก็กำลังกอดเท้าที่ราวหยกของโหย่วฉินเสวียนหย่าที่อยู่มุมเตียงนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่ายังคงเอนกายนั่งพิงอย่างสง่างาม เพียงแต่…นางถือเสื้อเอี๊ยมชั้นในสีชมพูของใครบางคน
ข้าไม่เห็น ข้าไม่เห็นจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วเปิดค่ายกลที่อยู่ถัดจากกระท่อมมุงจาก ก่อนจะหันหลังเดินไปใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ จากนั้นก็หยิบร่างตุ๊กตากระดาษสองตัวที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ออกมา และใช้พลังเวทของเขาตัดแต่งพวกมันต่อ
ตุ๊กตากระดาษถือเป็นความสามารถในการใช้วิชาเวทขั้นสูงซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในกฎสามสิบหกแห่งเทียนกังของสำนักบำเพ็ญเต๋า และเป็นเพราะโชคหลี่ฉางโซ่วจึงได้เรียนรู้วิชาเวทนี้
เขาได้เรียนรู้วิชานี้เมื่อห้าสิบปีก่อน และเพิ่งประสบความสำเร็จในขั้นต้นเท่านั้น
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วกลายเป็นเซียน ตุ๊กตากระดาษก็จะสามารถใช้พลังที่แท้จริงได้ ในเวลานั้นตุ๊กตากระดาษสามารถพึ่งพาเศษเสี้ยววิญญาณเพียงเล็กน้อยของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา และเขาจะสามารถย้ายออกจากร่างกายของเขาเองไปอยู่ในร่างตุ๊กตาได้ในระยะเวลาที่จำกัด
ตุ๊กตากระดาษเป็นหนึ่งในวิชาเวทหลักที่หลี่ฉางโซ่วเชี่ยวชาญ การที่สามารถทำร้ายศัตรูของเขาโดยไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย ก็คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
ส่วนการฝึกฝนอื่นๆ เช่น ค่ายกล เสกยันต์ สมุนไพร หลอมโอสถและยาพิษ ความจริงแล้วล้วนเป็นเพียงกิจวัตรที่ทำโดยบังเอิญตามอารมณ์ของเขา พวกมันเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นงานอดิเรกและช่วยเพิ่มมูลค่าด้านความปลอดภัยของเขา
ครึ่งวันต่อมาหลี่ฉางโซ่วก็เก็บตุ๊กตากระดาษใหม่ทั้งสองตัวของเขาก่อนจะเหลือบมองไปที่กระท่อมมุงจาก และพบว่ายังไม่มีวี่แววว่าสตรีทั้งสามคนจะฟื้นคืนสติขึ้นมา
ท่านอาจารย์ก็ยังไม่กลับจากงานเลี้ยงของเขาด้วยเช่นกัน เดาว่าเขาจะต้องออกไปเป็นเวลานาน
แม้ว่าอาจารย์ของเขากลายเป็นเพียงเซียนจั๋วเท่านั้น แต่สถานะภายในสำนักของเขาก็ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ที่ไม่ได้ขึ้นสู่เซียนจะเป็นเพียงมนุษย์ที่สามารถยืดอายุขัยได้ไม่เกินสามพันปี
บรรดาผู้ที่เป็นเพื่อนที่ดีกับฉีหยวนในช่วงแรกๆ ไม่ว่าต่อมาพวกเขาจะมีเจตนาอย่างไรก็ตาม
อาจรู้สึกว่าฉีหยวนคนก่อนนั้นไม่มีค่าสำหรับการคบค้าสมาคม หรืออาจไม่ต้องการที่จะสนิทมากเกินไปในเมื่อชีวิตของฉีหยวนใกล้หมดลงแล้ว อาจไม่ต้องการรู้สึกโศกเศร้า หรือไม่ต้องการให้ฉีหยวนรู้สึกกดดันจนเกินไป
ดังนั้นในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงได้รักษาระยะห่างจากฉีหยวน
อย่างไรก็ตามเวลานี้ฉีหยวนได้บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเซียนจั๋ว ซึ่งอาจสามารถกลายเป็นเซียนเสิ่นได้หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นในอนาคต
แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะไม่ดีเท่าใดนัก แต่ตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปเพื่อวันข้างหน้า และสหายของเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ผู้คนในสำนักเซียนก็ค่อนข้างใช้ชีวิตเป็นไปตามผลประโยชน์เหมือนกัน
“แต่เส้นทางการฝึกบำเพ็ญในอนาคตของอาจารย์นับจากนี้ไปก็เป็นปัญหาที่ยากเช่นกัน…”
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฉางโซ่วก็หันศีรษะมองออกไปนอกภูเขา
ฟิ้ว…
มีเสียงของบางอย่างพุ่งผ่านทะลุท้องฟ้า หลี่ฉางโซ่วจึงรีบซ่อนตัวอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของต้นหลิวทันที จากนั้นก็ยกแขนซ้ายขึ้น และชี้มือซ้ายไปทางกระบี่หยกเล่มเล็กๆ ซึ่งกำลังพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว และหยุดมันในอากาศซึ่งห่างจากเขาออกไปราวสิบจั้ง
จากนั้นก็มีเสียงแหบห้าวของชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในกระบี่หยกว่า “หลี่ฉางโซ่วแห่งยอดเขาหยกน้อย จงมาที่หอไป่ฝานเพื่อเข้าร่วมประชุมโดยเร็วที่สุด”
หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวตอบว่า “ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ”
แล้วกระบี่หยกเล่มนั้นก็พลันหันกลับและพุ่งไปทางยอดเขาพิชิตสวรรค์ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีกระบี่หยกอีกสองเล่มบินพุ่งทะลุอากาศมาจากทิศทางเดียวกันกับที่มาหาหลี่ฉางโซ่ว แต่คราวนี้พวกมันมุ่งหน้าตรงไปยังกระท่อมมุงจากของศิษย์น้องหญิงของเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจบางอย่างได้ทันที
เขาส่ายศีรษะแล้วขึ้นไปบนก้อนเมฆขาว รีบเคลื่อนที่ไปล่วงหน้าก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงโหย่วฉินเสวียนหย่าและจิ่วจิ่ว ซึ่งทั้งคู่น่าจะไปที่หอไป่ฝานด้วยเช่นกัน
……
การประชุมในคราวนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังทะเลบูรพาเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจ
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจเมื่อเขามาเร็วเกินไป หลี่ฉางโซ่วจึงนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ภายนอกหออยู่พักหนึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา
จากนั้นเมื่อมีผู้คนนับสิบคนปรากฏกายขึ้นที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของหอไป่ฝาน ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ได้โอกาสก้าวเข้าไปในหอเงียบๆ และยังคงทำตัว ‘ล่องหน’ อยู่ที่มุมห้องต่อไป
อาจารย์ลุงจิ่วอูนั้นแม้จะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ร้ายกาจ และชอบเอาเปรียบผู้อื่น แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังมีข้อดีบางอย่างอยู่บ้าง เช่น เป็นคนที่พูดจาดี รักษาสัญญา และน่าเชื่อถือ
เวลานี้ในสายตาของผู้อื่นนั้น หลี่ฉางโซ่วยังคงเป็นศิษย์ ‘ชั้นเยี่ยม’ ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นสองโดยที่จิ่วอูไม่ได้เปิดเผยว่าขอบเขตพลังที่แท้จริงของหลี่ฉางโซ่วคือ คืนกลับอนัตตาขั้นหก
ตอนที่หลี่ฉางโซ่วมาถึง ก็มีศิษย์หกคนซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรกของรุ่นเขามาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว และยังมีเซียนเสิ่นจำนวนหกหรือเจ็ดคนซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีอยู่ด้วย
สำนักเซียนต่างๆ มักจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่โตเฉกเช่น งานชุมนุมกวาดล้างปีศาจเป็นเสมือนเวทีการประลอง เนื่องจากการที่มีสำนักเซียนต่างๆ มารวมตัวกัน จึงย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สำนักเซียนเหล่านี้จะเปรียบเทียบกัน พวกเขาจะไม่ให้ศิษย์แสดงความสามารถและศักยภาพของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาย่อมสามารถเปรียบเทียบกันได้โดยการแสดงขอบเขตพลังและอายุของบรรดาศิษย์ของพวกเขา
ยิ่งอายุน้อยกว่า แต่ฐานพลังสูงกว่า ก็จะยิ่งแสดงว่ามีพรสวรรค์กับการหยั่งรู้ในระดับสูงมากขึ้น และจะยิ่งสามารถนำความรุ่งโรจน์มาสู่สำนักได้มากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นจิ่วจิ่วจะไม่ยอมพลาดกิจกรรมเช่นนี้ เว้นแต่นางจะปิดด่านบำเพ็ญเพียร
หลี่ฉางโซ่วรออยู่ในห้องโถงภายในหออยู่ครู่หนึ่งในขณะที่เซียนเสิ่นยังคงเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และมีศิษย์รุ่นเยาว์อีกสองสามคนเข้ามาเพิ่มเช่นกัน
ตอนที่จิ่วจิ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่ามาถึง ก็มีศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดสิบเอ็ดคนและเซียนเสิ่นสิบหกคนอยู่ที่นี่แล้ว
นี่คือตัวแทนทั้งหมดที่ถูกเรียกให้มารวมกันที่นี่ในวันนี้
ผู้อาวุโสเก่อซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการเดินทางออกไปนอกสำนักได้มาถึงพร้อมกับผู้อาวุโสอีกสองคน จากนั้น พวกเขาก็เริ่มอธิบายรายละเอียดของวัตถุประสงค์โดยรวม
ผู้อาวุโสเก่อกล่าวว่า “ครั้งนี้ วังมังกรทะเลบูรพาจัดงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจที่ชายฝั่งทะเลบูรพา พวกเขาได้เชิญสำนักเซียนหลักในดินแดนเทวะบูรพาให้เข้าร่วมกับพวกเขา สำนักตู้เซียนของเราก็เป็นหนึ่งในสำนักที่ได้รับเชิญด้วย…
ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงเคยเห็นหรือเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมังกรอันธพาลร้ายกาจที่โจมตีสำนักของเราเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมังกรร้ายตัวนี้ยังจงใจแจ้งวันที่ชุมนุมผิดกับพวกเรา เห็นได้ชัดว่าต้องการหลอกลวงกลั่นแกล้งพวกเรา อยากเห็นสำนักของเราได้รับความอับอาย
โชคยังดีที่สำนักเซียนต่างๆ ในดินแดนเทวะบูรพาต่างติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและกัน พวกเราจึงรู้มานานแล้วว่า งานชุมนุมจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวัน และภายในสี่วันนี้สำนักตู้เซียนของเราจะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทะเลบูรพาพร้อมกับสำนักเซียนอื่นๆ
ด้วยคำสั่งจากท่านปรมาจารย์เจ้าสำนัก ในครั้งนี้ปรมาจารย์หว่างฉิงจะเป็นผู้นำศิษย์ไปในงานชุมนุมครั้งนี้ พร้อมด้วยผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่ฝึกบำเพ็ญถึงขั้นเซียนเทียนเต๋า…และพวกเจ้าทั้งหมดรวมถึงเซียนเสิ่นก็จะติดตามไปพร้อมกัน”
เมื่อกล่าวจบ ผู้อาวุโสเก่อก็กวาดตามองคนทั้งยี่สิบเจ็ดคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาก่อนจะกล่าวอีกครั้งว่า
“ที่วังมังกรจัดงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจในครั้งนี้มีจุดประสงค์ไม่น่าเกินสามประการ…
ประการแรก พวกเขาต้องการวาดเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนระหว่างทะเลบูรพาและชายฝั่งทะเลบูรพา
ประการที่สอง พวกเขาต้องการกอบกู้เกียรติที่พวกเขาต้องเสียหน้าไปก่อนหน้านี้จากการที่ผู้บำเพ็ญจำนวนมากไปยังทะเลบูรพาเพื่อกำจัดปีศาจ
ประการที่สาม พวกเขาต้องการให้โอกาสบรรดาศิษย์มังกรได้เปิดเผยพลังในงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจนี้ เผ่ามังกรจะนำสมบัติบางอย่างออกมามอบให้เป็นรางวัล โดยให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเซียนต่างๆ ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนวิชาการต่อสู้ซึ่งกันและกัน…
พวกเจ้าสิบคน…”