ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 360 กลอุบายและการถ่ายทอดสด (2)
ตอนที่ 360 กลอุบายและการถ่ายทอดสด (2)
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ สำนักตู้เซียนครึกครื้นอย่างยิ่ง
เจ้าสำนักสั่งการด้วยตัวเองว่า บรรดาศิษย์ที่ไม่ได้เข้าปิดด่าน ให้กลับไปร่วมการเฉลิมฉลองที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์ จะมีงานจัดเลี้ยงเซียนขึ้นที่หน้าหอไป่ฝาน และปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งซึ่งกลายเป็นเซียนจิน จะแสดงธรรมกถาอย่างต่อเนื่อง
หลี่ฉางโซ่วหยุดพักผ่อนเป็นเวลาครึ่งเดือนและแยกแยะคัมภีร์โอสถออกมาสิบสองฉบับและสูตรโอสถมากกว่าสามสิบสูตร นี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของเต๋าแห่งการหลอมโอสถที่เหล่าจื้อถ่ายทอดให้เขา
และในขณะเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถูกรบกวนเป็นเวลาครึ่งเดือนเช่นกัน
จินฉานจื่อกำลังนั่งอยู่ในวิหารเล็กๆ ในทะเลทักษิณ และทุกๆ ครึ่งชั่วยาม เขาก็จะอ้าปากร้องตะโกนว่า “เทพแห่งท้องทะเล เหตุใดถึงไม่ออกมาพบข้าบ้างเล่า?”
หลี่ฉางโซ่วเพียงใช้ชายผู้นี้เป็น ‘นาฬิกาปลุก’ อย่างง่ายๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าเวลาหลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สูตรโอสถที่เขาคัดแยกมาในเวลานี้ ล้วนเป็นประโยชน์ใช้งานได้
มีสูตรโอสถบางสูตรถูกค้นพบเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้อาวุโสว่านหลินหยุน เมื่อเขากลายเป็นเซียนจิน และได้รับสมุนไพรวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพีบางอย่างแล้ว เขาจะพยายามเปิดเตาหลอมและกลั่นสกัดพวกมันขึ้นมา
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
ในจวนเทพทะเลแห่งศาลสวรรค์ อ๋าวอี่รีบไปพบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วเพื่อกล่าวถึง “การค้นพบที่น่าอัศจรรย์” ที่เขาเพิ่งค้นพบในตอนนี้!
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก มีนักพรตเต๋าหนุ่มผู้หนึ่งมานั่งอยู่ในวิหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง และทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาก็จะเรียกให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักออกมาพบเขา ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ใดขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก
“จริงๆ หรือ?”
อ๋าวอี่เบิกตากว้างจับจ้อง และตอบอย่างจริงจังว่า “จริงๆ ขอรับ!”
“เขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว” หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “คนผู้นี้มาจากสำนักบำเพ็ญประจิม ครั้งหนึ่ง เขาเคยเปิดเผยที่อยู่ของเขาในช่วงงานแต่งงานในทะเลบูรพาของเจ้า”
อ๋าวอี่อดจะกะพริบตาด้วยความกระดากอายเล็กน้อยไม่ได้
หลี่ฉางโซ่วพึมพำเล็กน้อยและครุ่นคิดในใจ เขาค่อย ๆ วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
“อ๋าวอี่ ไยเจ้าไม่ลองไปเชิญปรมาจารย์มังกรสักสองสามคนมาในตอนนี้? ควรจะเป็นผู้ที่พระบิดาของเจ้าไว้วางใจได้อย่างเต็มที่เพื่อให้มาสำรวจวิหารเล็กๆ แห่งนั้น หากหลีกเลี่ยงพบเขาไม่ได้ ข้าจะพยายามเอาข้อมูลบางอย่างจากคำพูดของเขาเพื่อดูว่าสำนักบำเพ็ญประจิมจะทำอะไรต่อไป แต่หากเราทำให้เขาตกใจและปล่อยเขาจากไป เราก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“ขอรับ ข้าจะไปส่งสารถึงพระบิดาเดี๋ยวนี้!”
อ๋าวอี่ตอบรับคำอย่างรวดเร็วแล้วรีบออกห้องหลักที่หลี่ฉางโซ่วอยู่
ในเวลานั้น ในสายตาของเผ่ามังกร องค์ชายรอง อ๋าวอี่สนิทสนมกับเทพแห่งท้องทะเลมากเกินไป และง่ายที่เผ่ามังกรจะคิดว่าเขาหลอกอ๋าวอี่…แม้เขาต้องยอมรับว่ามีบางส่วนที่หลอกลวงอยู่บ้างจริงๆ
ดังนั้นจึงไม่ปลอดภัยที่จะปล่อยให้อ๋าวอี่ ‘เป็นพยาน’ ยืนยันอยู่ข้างๆ เขา เขาจำเป็นต้องมี ‘พยาน’ มากกว่านี้อีกสักสองสามคนเพื่อให้น่าเชื่อถือมากขึ้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา อ๋าวอี่ก็มารายงานว่า ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
มังกรเฒ่าสองตัวแห่งวังมังกรทะเลบูรพาได้ลงมือจัดการโดยอาศัยรูปปั้นของอ๋าวอี่ และสถานการณ์ในวิหารเล็ก ๆ ก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าราชามังกรแห่งทะเลบูรพาและเสนาบดีคนสำคัญของเผ่ามังกร
ในขณะนั้น จินฉานจื่อไม่ได้สังเกตเรื่องนี้
จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เซียนชราของหลี่ฉางโซ่วก็รีบออกจากเมืองอันสุ่ยไปที่วิหารเล็ก ๆ และมาปรากฏตรงหน้าเผ่ามังกรที่สวนด้านหลังของวิหารเล็ก ๆ นั้น
ดวงตาของจินฉานจื่อ ซึ่งกำลังนั่งอยู่หน้ารูปปั้นนั้น เปล่งประกายสว่างไสวขึ้นแล้วแค่นเสียงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เทพแห่งท้องทะเลกำลังยุ่งอยู่มากจริงๆ เขาปล่อยให้ข้าต้องรอ”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วที่เดินเข้ามาพร้อมกับแส้หางม้า ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สหายเต๋าผู้นี้ เจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดถึงรบกวนการฝึกบำเพ็ญของข้า?”
“โอ้?” จินฉานจื่อลุกขึ้นยืน ใบหน้าละเอียดอ่อนของเขาเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อกล่าวว่า “ปรากฏว่าเทพแห่งท้องทะเลกำลังฝึกบำเพ็ญนั่นเอง ข้ามารบกวนเจ้าอย่างไม่สมควรแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วถอยไปก้าวหนึ่งและยิ้มพลางกล่าวว่า “หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ขอสหายเต๋าโปรดช่วยกลับไปก่อนเถิด”
“เทพแห่งท้องทะเลรู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”
เขาเกือบจะโพล่งคำว่า “ราชวงศ์ต้าถังแห่งดินแดนบูรพา” แล้ว!
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่รู้”
“ข้าได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเทพแห่งท้องทะเล” จินฉานจื่อยิ้มบางพลางยกมือขึ้นหยิบไข่มุกสีทองม่วงออกมา
ไข่มุกสาดแสง แล้วเข้าปกคลุมร่างทั้งสองไว้ในข่ายอาคม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลี่ฉางโซ่วก็เริ่มก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวและเดินออกจากข่ายอาคมนั้น
จินฉานจื่อขมวดคิ้วและกล่าวว่า “สหายเต๋าหมายความว่าอย่างไร? เรื่องระหว่างพวกเรามีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงต้องระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง”
“สหายเต๋า โปรดกลับไปเถิด” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเราเปิดกว้างและตรงไปตรงมา จึงไม่ใช่วิถีของข้าที่จะทำเรื่องต่างๆ เป็นความลับเช่นนี้”
จินฉานจื่อจ้องมองไปที่หลี่ฉางโซ่วในขณะที่ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วก็ฉายชัดด้วยความตรงไปตรงมา โดยไม่มีทีท่า ‘หวาดกลัว’ แม้แต่น้อย
นี่คือการต่อสู้แห่งศักดิ์ศรี
วันนี้ จินฉานจื่อยังคงมีศักดิ์ศรีและความหยิ่งยโสที่ไม่อาจลบล้างได้อยู่บ้าง และเขาจะพ่ายแพ้ในอีกไม่นาน…
“เอาเถิด” จินฉานจื่อกล่าวอย่างสงบ “นี่ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ทุกฝ่ายต่างก็รู้ชัดเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
เทพแห่งท้องทะเล เรามาคุยกันตรงๆ เถิด ข้ามาที่นี่ หนึ่งก็เพื่อขอโทษที่เคยล่วงเกินเจ้ามาก่อน ข้าไม่รู้ว่าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลมีภูมิหลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และอย่างที่สองคือ การหารือเรื่องเผ่ามังกร”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวขึ้นทันทีว่า “กฎสำนักบำเพ็ญประจิมของเจ้าคือ การมาขอโทษด้วยมือเปล่าหรือ?”
จินฉานจื่อไม่คิดว่า จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วจะกล่าวขึ้นเช่นนี้ ซึ่งเป็นการขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
หลี่ฉางโซ่วใช้กลอุบายในทันที “ พูดนอกเรื่องจากหัวข้อหลักเพื่อให้สับสน”
“แน่นอนว่าไม่” จินฉานจื่อยิ้มและกล่าวว่า “หากวันนี้พวกเราเจรจากันเป็นผลสำเร็จ วันพรุ่งนี้ก็จะมีของขวัญใจกว้างชิ้นใหญ่”
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เช่นนั้น ตามความตั้งใจของสหายเต๋า หากเจ้าและข้าไม่อาจเจรจาและบรรลุสู่ข้อสรุปกันได้ในวันนี้ เจ้าก็จะลืมคำขอโทษและสิ่งชดเชยหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น พวกเราไม่อยากเป็นศัตรูกับสหายเต๋า…”
“เอาเถิด เรามาพูดถึงเรื่องที่สองกันดีกว่า เจ้าอยากเจรจากับข้าเรื่องอะไรและอย่างไร?
จินฉานจื่อไม่ได้ตระหนักว่า เขาได้สูญเสียความคิดริเริ่มที่จะพูดคุยโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“ใช้ความคิดริเริ่ม โยนหินถามทาง[1]”
จินฉานจื่อยิ้มและกล่าวว่า “เผ่ามังกรมีวังมังกรทะเลสี่แห่ง เราไปทางประจิมและทักษิณ ส่วนสหายเต๋าก็ไปทางบูรพาและอุดร สหายเต๋าคิดเห็นเช่นไร?”
หลี่ฉางโซ่วเบิกบานใจเช่นกันเมื่อจินฉานจื่อผู้นี้กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมาตรงๆ
จากนั้นเขาก็ตรงไปที่ขั้นตอนที่สาม “ แสร้งทำตัวโง่เขลาเบาปัญญา[2]และแอบเปลี่ยนตำแหน่ง[3] ถอยเพื่อรุก”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่า สหายเต๋าจะพลาดแล้ว ไยข้าถึงจะต้องการวังมังกรเล่า?”
จินฉานจื่อครุ่นคิดเล็กน้อยและกล่าวเสียงเบาลง
เขากล่าวว่า “สิ่งที่ข้าพูด ไม่ได้กำลังกล่าวถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล แต่หมายถึงศาลสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังสหายเต๋า สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องการรุ่งเรืองในศาลสวรรค์ พวกเราก็ต้องการเจริญรุ่งเรืองในดินแดนเทวะประจิมเช่นกัน เผ่ามังกรนั้นเก่าแก่และไม่อยากโดดเดี่ยว พวกเขามีภูมิหลังและรากฐานลึกซึ้งยิ่ง พวกเราสองคน ทั้งเจ้าและข้า ย่อมสามารถแบ่งปันประโยชน์ของพวกเราได้ ”
“พอเถิด”
หลี่ฉางโซ่วตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าโกรธจัดและก่นด่าว่า “สหายเต๋า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เหตุใดเจ้าถึงมาพล่ามเรื่องเหลวไหลที่นี่!?!”
“ข้า…”
“คนของสำนักบำเพ็ญประจิม?” หลี่ฉางโซ่วแค่นเสียงเย็นชา “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องพูดเช่นนั้น! สหายเต๋า อุบายในการกล่าวโทษของเจ้าช่างตื้นเขินนัก!
สำนักบำเพ็ญประจิมและทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าของเราล้วนเป็นสำนักใหญ่ และมีการดำรงอยู่ที่โดดเด่นเหนือสามัญ แม้สำนักบำเพ็ญประจิมจะวางแผนร้าย แต่ก็เป็นเพียงการโจมตีจากระยะไกลทั้งหมดเท่านั้น พวกเขาห่วงใยใบหน้าของเหล่าเจ้าสำนักต่างๆ! แล้วเหตุใดพวกเขาถึงส่งคนมาพูดเรื่องนี้กับข้าโดยตรง? เหตุใดพวกเขาถึงต้องการแบ่งแยก? ข้ายังขอให้สหายเต๋ามีใจเมตตาและอย่าสร้างความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญและสำนักบำเพ็ญประจิม!”
จินฉานจื่อตอบสนองอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างสงบว่า “เทพแห่งท้องทะเล เหตุใดข้าต้องหลอกเรื่องนี้ด้วย”
“โลกนี้อันตรายนัก ไม่อาจหยั่งรู้ใจคนได้! ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในโลกนี้บ้าง?”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “หากสหายเต๋าไม่อาจทำให้ข้าเชื่อได้ว่าสหายเต๋าก็มาจากสำนักบำเพ็ญประจิมและเป็นตัวแทนของสำนักบำเพ็ญประจิมได้อย่างเต็มที่ เช่นนั้น ก็โปรดอย่าตำหนิข้าที่ต้องไร้มารยาทในวันนี้ ข้าขอไม่ส่ง!”
จินฉานจื่อตะลึงงันยิ่งขณะที่จ้องมองใบหน้าของหลี่ฉางโซ่ว ผู้เป็นเซียนชราและกล่าวเบาๆ ว่า “เช่นนั้น ตามความเห็นของเทพแห่งท้องทะเล จะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร?”
“ง่ายมาก ให้เต๋าสวรรค์ตรวจสอบ ทำปฏิญญาต้าเต๋าเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของสำนักบำเพ็ญประจิมได้ ”
“เพียงแค่สาบาน เทพแห่งท้องทะเล รอก่อน เต๋าสวรรค์เบื้องบน หากข้า จินฉานจื่อไม่ได้รับความไว้วางใจจากรองเจ้าสำนักบำเพ็ญประจิมในยามนี้ แล้วมาหารือเรื่องเผ่ามังกรกับเทพแห่งท้องทะเลที่นี่ในวันนี้! หากข้า จินฉานจื่อ โป้ปดแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ข้าถูกสายฟ้ากำราบเทพแห่งเต๋าสวรรค์!”
กล่าวจบ จินฉานจื่อก็รู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
ทันใดนั้น ก็มีเสียงฟ้าร้องครืนๆ ในท้องฟ้าและพลังแห่งเต๋าสวรรค์ก็เข้ามาและยอมรับคำสาบานนี้อย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วค่อย ๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก และกล่าวชื่นชมจินฉานจื่อจากใจว่า “เจ้ามาจากสำนักบำเพ็ญประจิมจริงๆ”
จินฉานจื่อยิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อตอนนี้สหายเต๋าเชื่อแล้ว เช่นนั้น เราน่าจะคุยกันดีๆ สหายเต๋าสามารถเสนอเงื่อนไขของเจ้าเองได้”
“ข้าไม่มีเงื่อนไข” หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้ ข้าแตกต่างจาก สหายเต๋าอย่างสิ้นเชิง ความจริงแล้ว เหตุที่ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่ามังกรนั้น เป็นเพียงเพราะเพราะสำนักเทพทะเลมีส่วนหนึ่งของบุญเครื่องสักการะจากเผ่ามังกร และข้าก็เป็นเจ้าสำนักเทพทะเล เช่นนั้น สหายเต๋าโปรดกลับไปเถิด”
จินฉานจื่อตะลึงงันไปครู่หนึ่ง บัดนี้ เขาตัวสั่นสะท้านจนเจ็บหลังไปหมดแล้ว
………………………………………………………………..
[1] เป็นการพูด หรือถามเพื่อหยั่งเชิง หรือเพื่อดูความคิดเห็นหรือปฏิกิริยาของผู้อื่น
[2] แสร้งทำเป็นโง่เขลา ไม่รู้เรื่อง หรือ แสร้งทำตัวบ้าๆบอๆ แสร้งทำตัวเซ่อซ่าเพื่อให้คนไม่ระวังเรา
[3] ทำนองว่า ทำเหมือนยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นแต่ขณะเดียวกันก็โน้มน้าวให้ผู้อื่นเปลี่ยนความคิดและเห็นด้วยกับเรา