ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 381 ถนอมตัวด้วย สหายเฒ่า (1)
ตอนที่ 381 ถนอมตัวด้วย สหายเฒ่า (1)
‘นานหลายปีแล้ว ศิษย์พี่ไปที่ใดมา?’
หลิงเอ๋อร์นั่งหวีผมยาวของนางเงียบ ๆ อยู่หน้ากระจกเงาในกระท่อมมุงจาก นี่เป็นวันที่สองหลังจากที่หลี่ฉางโซ่วกลับมาที่สำนัก
เมื่อวาน นางเห็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของศิษย์พี่รีบออกไปแล้วรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ได้ยินข้อความเสียงของศิษย์พี่ ในที่สุด นางก็สงบใจลงไปได้แทบทั้งหมด แต่แล้วนางก็เริ่มฉงน
ในช่วงสิบสองปีที่ผ่านมา หากเขามีคนอื่นเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า บางที ตอนนี้เขาอาจมีลูกสามหรือสี่คนแล้ว!
แต่หากนางถามศิษย์พี่ไปเช่นนั้น ศิษย์พี่ก็จะรู้สึกว่านางยุ่มย่ามมากเกินไปจนเป็นเหตุให้เขาห่างเหินนาง…
หลิงเอ๋อร์เม้มปากพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งคิดเรื่องนี้มากใด นางก็ยิ่งหวั่นกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ไม่!
ข้ายังต้องลองฟังน้ำเสียงศิษย์พี่ก่อน!
ใช่ ไม่ว่าอย่างไร… นางก็จะปฏิบัติต่อลูกๆ ของศิษย์พี่ดุจลูกของนางเอง!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลิงเอ๋อร์ก็แต่งหน้าแต่งตัววุ่นวายตรงกระจกในทันที แต่พยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ให้ผู้อื่นมองออกว่านางแต่งตัว
นางแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า มัดผม และเม้มริมฝีปากแดงแน่น แล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสในเวลาสั้นๆ นางดูงดงามและน่าหลงใหลมากเฉกเช่นเคย
จากนั้นหลิงเอ๋อร์ก็นำสุราและอาหารที่เตรียมไว้พลางส่งเสียงร้องเพลงที่นางเพิ่งแต่งขึ้นมาเบาๆ แล้วค่อย ๆ ขี่เมฆ ลอยไปที่หอโอสถช้าๆ ครั้นเมื่อไปถึงขอบค่ายกลเวท ค่ายกลเวทชั้นนอกรอบๆ หอโอสถ ก็คลายตัวและปล่อยให้นางเข้าไปเอง
ทว่าจู่ๆ ก็มีข้อความเสียงแว่วเข้ามาในหูของหลิงเอ๋อร์
“หากไม่มีเรื่องสำคัญ ก็ค่อยเจอกันอีกครึ่งเดือน ข้ากำลังเสถียรขอบเขตพลังให้มั่นคง”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาเมื่อได้เช่นนั้น นางลังเลก่อนจะรีบกล่าวว่า “เช่นนั้น ศิษย์พี่ทำต่อเถิดเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากมาทักทายศิษย์พี่!”
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “มาทักทายข้าเท่านั้นจริงๆ หรือ?”
“นี่…”
หลิงเอ๋อร์แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและเสหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที แต่เนื่องจากนางไม่กล้าโป้ปด จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นตะลึงงัน
แต่หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงมาว่า “เวลานี้ข้าไม่ว่าง กำลังยุ่งกับเรื่องสำคัญอยู่”
“โอ้” หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนว่าศิษย์พี่จะรู้ทันความคิดของนางและให้คำตอบนี้แก่นาง
ยุ่งกับเรื่องสำคัญ ย่อมหมายความว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องอื่นนอกจากเรื่องสำคัญ…
ใช่แล้ว นิสัยเจ้าปัญหาของศิษย์พี่ไม่ใช่สิ่งที่จะพิชิตใจได้ภายในเวลาเพียงแค่สิบสองปีอย่างแน่นอน!
“ศิษย์พี่ เช่นนั้น ข้าจะนำอาหารนี้ไปมอบให้ท่านอาจารย์นะเจ้าคะ”
“ไปเถิด” หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาลง และค่ายกลเวทด้านนอกหอโอสถก็ค่อย ๆ เปิดใช้งานอีกครั้ง
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ใช้สัมผัสเซียนรับรู้ เฝ้ามองหลิงเอ๋อร์จากไป แล้วใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางครุ่นคิดถึงปัญหาใหญ่ต่อไป…ไท่ไป๋ จินซิง ไท่ไป๋ จินซิง
ความจริงแล้ว นามปลอมของเขาตรงกันกับ’ชายชรา’ ในศาลสวรรค์!
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วตกตะลึงจนพูดไม่ออกจริงๆ เขายังคงย้ำประโยคนั้นซ้ำๆ … ข้าเป็นหัวหน้าขุนนางแห่งศาลสวรรค์ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากองค์เง็กเซียน
‘เจ้าถูกลิงเกทับแล้ว ’
ข้ามาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และคุ้นเคยกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้น เหล่าจื้อยังถ่ายทอดเต๋าวิเศษแห่งการหลอมโอสถให้ข้าอีกด้วย
‘เจ้าถูกลิงเกทับแล้ว ’
ข้า…
‘เจ้าถูกลิงเกทับแล้ว ’
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
ข้ามีคำหยาบคายที่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่
เขาใช้เวลาประมาณสามวันในการปรับความคิดและยอมรับเรื่องนี้อย่างกังขา/ด้วยความท่าทีหวาดหวั่น
“มีอันใดให้น่ายินดีเล่า” การได้รู้ว่าเขาอาจจะกลายเป็นไท่ไป๋ จินซิงแห่งศาลสวรรค์ในอนาคตก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรอดพ้นผ่านมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพไปได้อย่างปลอดภัย ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาจะได้พักผ่อนอย่างสบายในอนาคต…
ประการแรก เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในระหว่างมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ จอมปราชญ์เทพก็จะสร้างเครื่องมือเวทมนุษย์ได้อย่างสบายๆ เพื่อเติมเต็มตำแหน่งว่างนั้น
ประการที่สอง ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเป็นขุนนางอันดับหนึ่งของจักรพรรดิหยกในสวรรค์
ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน
สำนักบำเพ็ญเต๋าเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอยได้ และและศาลสวรรค์ก็หนีไม่พ้นหลักการนี้ไปได้เช่นกัน แม้ศาลสวรรค์จะยังไม่รุ่งเรืองขึ้นในวันนี้ แต่ยังต้องพิจารณาเรื่องนี้ในระยะยาวต่อไป…
ศาลสวรรค์มอบบุญให้เขา เพราะเขาทำงานให้ศาลสวรรค์เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายไม่ติดหนี้ค้างต่อกัน นั่นคือสถานการณ์ในอุดมคติที่หลี่ฉางโซ่วมุ่งหวัง
นอกจากนี้… มีเรื่องตลกที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิตชาติก่อน – ชายหนุ่มคนหนึ่งไปทำนายดวงชะตา หมอดูบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงแปดสิบปี จากนั้นเขาก็มีชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมายไปถึงแปดสิบปีด้วยอาการอัมพาตครึ่งซีก
แม้จะเป็นเรื่องตลก แต่มีเหตุผลลึกซึ้งยิ่ง หากเขาปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่พร้อมด้วยสุขภาพแข็งแรงดีตลอดไป นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพได้อย่างปลอดภัย!
‘เฮ้อ’ เขาถอนหายใจและคิดว่า ‘อาจจะดีกว่าหากข้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจบางเรื่องของข้าในอนาคตอย่างแน่นอน’
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญเรื่องนี้เป็นเวลานาน
เพื่อความปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งที่เลวร้ายให้กับตัวเอง…
หลังจากใช้เวลาสองสามวัน เขาก็คิดค้นคาถาเวทง่ายๆ เพื่อผนึกความทรงจำของเขาเกี่ยวกับ ‘ไท่ไป๋ จินซิง หลี่ฉางเกิง’ ด้วยการใช้กฎห้าม!
หากได้ยินคำว่า “”ไท่ไป๋ จินซิง” ” ในภายหน้า ความทรงจำส่วนนี้ก็จะถูกเปิดผนึกออกด้วยตัวมันเอง
นอกจากนี้ เขายังเก็บ “ความทรงจำ” ที่ปิดผนึกของเขาเอาไว้บางส่วนเพื่อให้นึกถึงเรื่องนั้นได้ตลอดเวลา…
เมื่อมาถึงเซียนจิน เขาก็คิดค้นคาถาเวทง่ายๆ บางอย่างได้แล้ว ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบผ้าออกมาและเริ่มวางแผนการฝึกบำเพ็ญของเขาต่อไป
ในอีกร้อยปีข้างหน้า เขาจะมุ่งไปที่ร่างหลักของเขา เขาจะทำความเข้าใจเต๋าเงียบ ๆ และสัมผัสความลึกลับแห่งขอบเขตเต๋า และคอยเฝ้าติดตามทุกอย่างเพื่อสังเกตดูความเปลี่ยนแปลง
แม้เขาจะกลายเป็นเซียนจิน แต่เขาก็ยังไม่อาจต่อสู้กับบรรดาศิษย์ของจอมปราญ์เทพสำนักบำเพ็ญประจิม หรือผู้โหดเหี้ยมเฉกเช่น ผู้บำเพ็ญเหวินจิงและจินฉานจื่อได้
ยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่อย่างมหาศาล
หลี่ฉางโซ่วยังรู้ตัวเองดีในเรื่องนี้
หลังจากมาถึงเซียนจินแล้ว การฝึกบำเพ็ญจะช้าและน่าเบื่อ ด้วยอายุขัยยืนยาว เขายังต้องใช้เวลานานเพื่อสัมผัสเต๋าอันยิ่งใหญ่ของตัวเขาเอง….บัดนี้ แนวคิดเรื่องเวลาของหลี่ฉางโซ่วได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง และในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนอย่างเงียบๆ
ในวันที่นัดกับหลิงเอ๋อร์ หลี่ฉางโซ่วตั้งใจให้เวลาครึ่งวัน แล้วเรียกให้หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ไปที่กระท่อมมุงจากริมทะเลสาบเพื่อฟังเขาบรรยาย
เวลานี้ สงหลิงลี่กำลังนั่งฟังอยู่อย่างเดียวในขณะที่หลิงเอ๋อร์จ้องมองหลี่ฉางโซ่วอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่สักพัก ปลายจมูกของนางกระตุกเบาๆ ขณะพึมพำว่า“ศิษย์พี่ ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าท่านแตกต่างจากเมื่อก่อน?”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าพลางยิ้มและกล่าวว่า “แตกต่างอย่างไรหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “นั่งลงเถิด ข้าจะบอกเจ้าเรื่องการทะยานขึ้นสู่เซียน”
ทว่าหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ศิษย์พี่ช่างแตกต่างจริงๆ…
เขาไม่เคยอ่อนโยนกับข้าเช่นนี้มาก่อน! มีบางอย่างผิดปกติ ต้องมีปัญหาแน่!
อย่างไรก็ตาม ประโยคต่อไปของหลี่ฉางโซ่วคือ “เรื่องที่เจ้าละเลยการฝึกบำเพ็ญ ข้าจะลงโทษให้เจ้าคัดลอกพระสูตรในภายหลัง คราวนี้ เจ้าจะเริ่มด้วยการคัดลอกพันจบและไปจนถึงสูงสุดหนึ่งหมื่นจบ ไม่ต้องห่วง”
หลิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นก็สงบใจลงทันที
นี่สิศิษย์พี่!
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วได้ชี้แนะหลิงเอ๋อร์ในเรื่องเต๋าแห่งการทะยานขึ้นสู่เซียน เขามีความเข้าใจที่แตกต่างออกไป เขาทบทวนและปรับปรุงตรรกะแบบเก่า และยังมีความเข้าใจเล็กน้อยเช่นกัน
เมื่อมองไปที่เขา
เขากำลังกล่าวถึงไท่ชิง และเจตนาที่แท้จริงของพระสูตรนิรกรรม
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีดอกบัวสองดอกปรากฏขึ้นรอบๆ หลี่ฉางโซ่ว และหนึ่งในนั้นก็เข้าสู่ร่างของหลิงเอ๋อร์ ในขณะที่อีกดอกหนึ่งเข้าสู่ร่างของสงหลิงลี่ จากนั้น ทั้งสองก็ถูกดึงเข้าสู่ห้วงแห่งการตรัสรู้ นี่คือวิธีถ่ายทอดเต๋า ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสามารถที่มีแต่เฉพาะผู้ที่ไปถึงเซียนจินแล้วเท่านั้น
ย้อนกลับไปในเวลานั้น เมื่องบรรพาจารย์เต๋าแห่งวังเมฆม่วงเทศนาเต๋า สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังส่วนใหญ่ในทั่วทั้งสวรรค์และปฐพีล้วนมารวมตัวกันในห้องโถงเดียว ครั้นเมื่อบรรพาจารย์เต๋าเทศนาเต๋า ก็มีดอกบัวเบ่งบาน ซึ่งดอกบัวแต่ละดอกล้วนมีเต๋าอันยิ่งใหญ่
วังเมฆม่วงบรรยายสามครั้งซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในสมัยโบราณของโลกบรรพกาล
นับจากนั้นเป็นต้นมา ปราณวิญญาณเต๋าก็ได้สร้าง “กฎ” ขึ้นมา ซึ่งนอกจากเผ่าเวทแล้ว ก็แทบไม่มีผู้ฝึกฝนร่างกายเลย
แน่นอนว่า ดอกบัวที่ปรากฏขึ้นเมื่อหลี่ฉางโซ่วกำลังเทศนานั้น ย่อมเทียบไม่ได้กับดอกบัวในช่วงที่การเทศนาเต๋าของบรรพาจารย์เต๋าแห่งวังเมฆม่วง
สิ่งที่มีอยู่ในดอกบัวนั้นเป็นเพียงความเข้าใจในเต๋าของเขาเท่านั้น เขาสอนหลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่แบบให้กลืนพุทราทั้งลูก[1] แล้วให้พวกนางค่อยๆ ทำความเข้าใจช้าๆในภายหน้า
ดอกบัวนี้เพียงพอที่จะให้ประโยชน์แก่หลิงเอ๋อร์ เพื่อใช้มันในการก้าวเข้าสู่เซียนเสิ่นได้!
………………………………………………………………..
[1] เปรียบว่า ทำบางสิ่งหรือทำบางเรื่องโดยไม่ได้คิดวิเคราะห์ ในที่นี้คล้ายกับหลี่ฉางโซ่วให้ไปทั้งหมดก่อนโดยที่หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ไม่มีเวลาได้คิด แต่ให้ไปทำความเข้าใจหลังจากนั้นเอง คล้ายกับวิธีที่เหล่าจื้อถ่ายทอดเต๋าหลอมโอสถให้กับหลี่ฉางโซ่ว