ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 393 ทูตพิทักษ์ชีวิต (1)
ตอนที่ 393 ทูตพิทักษ์ชีวิต (1)
ในสังสารวัฏนั้นมีหกวิถีในการกลับชาติมาเกิด และมีอสุราเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามวิถีปีศาจ
เดิมทีบรรพชนหมิงเหอ จ้าวแห่งทะเลเลือด เป็นผู้สร้างเผ่าอสุราขึ้นมา ย้อนกลับไปในเวลานั้น บรรพชนหมิงเหอได้ทำตามอย่างเทพีหนี่วาที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา เขาได้สร้างเผ่าอสุราขึ้นมาด้วยพลังเวทมหาศาลด้วยหวังว่าจะใช้มันเพื่อจะได้กลายเป็นจอมปราชญ์
น่าเสียดายที่ในเวลานั้น เต๋าสวรรค์ไม่เห็นชอบด้วย เป็นผลให้การสร้างเต๋าอสุราของบรรพชนหมิงเหอกลายเป็น… เขาทำของเล่นมากมายให้ตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เผ่าอสุราที่แข็งแกร่งที่สุดที่บรรพชนหมิงเหอสร้างขึ้นมานั้น นอกเหนือจากผู้นำทั้งสี่และแม่ทัพอสุราทั้งสี่คนแล้ว ก็คือเจ้าหญิงอสุราเจ็ดสิบสองคน นอกจากนี้ เผ่าอสุราฝ่ายบุรุษ ยังมีชื่อเสียงในเรื่องความดุร้าย ส่วนสตรีก็มีชื่อเสียงในด้านความงดงาม…
เชอะ ข้าให้รายละเอียดเกี่ยวในเรื่องนั้นไม่ได้
ระดับฐานพลังของเผ่าอสุราทั้งสิบสองตนที่ไปสำนักเทพทะเลในวันนี้ ไม่ได้สูงเกินไป สตรีอสุราร้องตะโกนว่า “ออกมาตายเดี๋ยวนี้” หลี่ฉางโซ่วก็เดินออกมาจากห้องโถงและโบกแส้หางม้าขณะยืนหยัดอย่างภาคภูมิ
ในที่ลับ ผงพิษได้พวยพุ่งออกมาจากพื้นดินแล้ว พวกมันไร้สีไร้กลิ่นในขณะที่เข้าล้อมรอบเหล่าอสุรทั้งสิบสองเงียบ ๆ
ด้วยไม่รู้ว่าอสุราต้านทานฤทธิ์ยาอย่างไร หลี่ฉางโซ่วจึงเพิ่มปริมาณยาขึ้นจากปริมาณเดิมอีกหลายเท่า
เพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วจึงถือว่า อสุราอาศัยอยู่ในทะเลเลือด บางทีพวกมันอาจมีภูมิคุ้มกันจากพิษทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ในขณะนี้ ค่ายกลสังหารขนาดเล็กสามสิบหกค่ายกลจึงพร้อมที่จะเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา…
เนื่องจากหลี่ฉางโซ่วรอดชีวิตมาจากทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน ผงพิษ ยาพิษเหล่านี้ และแม้แต่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลุ่มนี้ ก็ถูกเลิกใช้ไปหมดแล้ว ในขณะนั้นเขาจึงใช้งานได้อย่างไม่ตระหนี่ ไม่ว่าจะใช้มากเพียงใดก็ตาม
ยากยิ่งนักที่หลี่ฉางโซ่วจะเข้าร่วมการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านและเสี่ยงชีวิตของเขา
เขายึดมั่นคติประจำใจของเขาที่จะไม่วู่วามและหัวร้อน
“หากศัตรูแข็งแกร่ง ข้าจะหนี หากศัตรูอ่อนแอ ข้าถึงสู้” นั่นคือหลักการบริการของเขา
เขายืนกรานที่จะใช้หลักการและเหตุผลที่ตรงไปตรงมาที่สุดเพื่อจัดการศัตรูและให้บริการจัดงานศพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแก่พวกเขา นั่นคือความคิดตามปกติของเขา!
การกระทำต่างๆ เช่น การพูดมากเกินไป การอาบน้ำในดอกบัว และการตะโกนชื่อเมื่อออกกระบวนท่าของเขา… ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ทันทีที่เหล่าอสุราทั้งสิบสองเพิ่งก้าวผ่านซากปรักหักพังของวิหารเทพทะเล เหล่าอสุราที่อ่อนแอกว่าทั้งแปดซึ่งอยู่ข้างหลังพวกเขาก็เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกันและล้มไปข้างหน้าอย่างอ่อนแรง
เหล่าอสุราที่มีสี่แขนทั้งสี่ตน มีเวลาเพียงได้ทันหันกลับมามองสหายของพวกมันก่อนที่จะทรุดตัวลงไปกับพื้นเท่านั้น…
จากนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่แข็งแกร่งทั้งสี่ก็โผล่ออกมาจากพื้นในทันที พวกเขาต้องการรวบรวมซากศพกึ่งตายและทำลายพวกมันอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น คิ้วของหลี่ฉางโซ่วก็กระตุก เขาพลันก้มศีรษะลงมองไปที่รอยแยกบนพื้นที่ถูกลำแสงกระบี่ผ่าแยกออก
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งสี่ก็ถอยกลับไปที่มุมทันที
มีความผันผวนของจักรวาลปรากฏขึ้นใต้รอยแตก เห็นได้ชัดว่ามีปรมาจารย์แอบร่ายคาถาเวทและเปิดประตูเคลื่อนย้าย
ผู้นี้ปรมาจารย์เป็นใคร?
หลี่ฉางโซ่วคิดถึงจินฉานจื่อขึ้นมาทันที
เมื่อเขากำลังต่อสู้ในทะเลบูรพา เขาได้แอบเห็นว่า จินฉานจื่อเก่งกาจในเต๋าเฉียนคุน เขาสามารถเปิดจักรวาลที่ก้นทะเลและหลบหนีเข้าไปในความว่างเปล่าได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรพูดถึงนิกายตะวันตกโดยตรงในช่วงเวลานี้โดยตรง
หลี่ฉางโซ่วยังคงสงบยิ่ง เขาสั่งให้เหล่าทูตเทวะที่อยู่ด้านนอกวิหารทันทีอพยพเหล่ามนุษย์ออกไปทันที
ต่อให้วิหารจะถูกทำลาย ก็จะไม่สูญเสียตราบใดที่เขาไม่ได้เพิ่มกรรมร้าย
ในขณะนั้น มีเสียงโซ่กระทบหินดังออกมาจากรอยแยก พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน จากนั้น ร่างรงพลังมหาศาลสี่ร่างที่ห่อหุ้มด้วยโซ่สีดำสนิทก็ค่อยๆ บินออกมาจากก้นรอยแยกนั้น พวกมันดูเหมือนปีศาจที่คลานออกมาจากพื้นดิน
พวกมันคือ อสุราแปดแขนสี่ตน พลังลมปราณของพวกมันเทียบได้กับเซียนจินขั้นต้น!
นอกจากนั้น ยังมีกระแสวังวนสิบหกแห่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า แล้วมีเผ่าอสุราทั้งชายและหญิง ซึ่งสวมชุดเกราะต่อสู้ บินออกมาจากกระแสวังวนเหล่านั้น พวกมันมีฐานพลังตั้งแต่เซียนเทียนถึงเซียนเสิ่น
หลี่ฉางโซ่วเพ่งพุ่งสายตาออกไปและเห็นว่ามันเป็นชายที่ดูดุร้ายและเป็นหญิงที่ดูงดงามจริงๆ…
แค่กๆ นั่นไม่สำคัญ
ในชั่วพริบตา ก็มีร่างสีโลหิตหลายร้อยยืนอยู่ในอากาศเหนือวิหารเทพทะเล ในขณะนั้น กระแสวังวนสีโลหิตทั้งสิบหกก็หมุนไปช้าๆ หลี่ฉางโซ่วจับจ้องไปที่เหล่าอสุราแปดแขนทั้งสี่แล้วกล่าวอย่างสงบว่า “พวกอสุรากังวลว่าข้าจะคิดบัญชีในอนาคตใช่หรือไม่?”
ดวงตาของชายแปดแขนที่มีเส้นผมสีเงินนั้นนิ่งสนิท มันยังคงใช้ภาษาทั่วไปของโลกบรรพกาลอย่างไม่แคล่วคล่องมากนักขณะกล่าวเบาๆ ว่า “เรา… ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว …เทพแห่งท้องทะเลให้ข้ายืมชีวิตของเจ้าไปใช้สักครั้ง”
ทันทีที่กล่าวจบ ลำแสงสีโลหิตก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และมีอาวุธกว่าพันชิ้นกำลังรวบรวมพลังอสุรา แล้วคลื่นพลังลมปราณนั้นก็กำหนดเป้าหมายไปที่เซียนชราที่หน้าห้องโถง
พวกมันล้วนเป็นนักฆ่าที่ไร้ความรู้สึก!
ร่างกายนั้นเกิดจากการเข่นฆ่า มันรวมพลังของทะเลเลือดและหลอมก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างอสุรา วันนี้มันจะสังหารเทพแห่งท้องทะเลและทำให้เผ่าอสุรามีความสำคัญ… “ช้าก่อน!”
หลี่ฉางโซ่วตะโกนขึ้นฉับพลัน เปลวเพลิงลุกโชนไปทั่วร่างของเขา และร่างของเขาก็ถูกเพลิงสมาธิแท้ที่ลุกโหมจนท่วมท้นร่างในทันที และในพริบตา เขาก็กลายเป็นเถ้าถ่าน!
ทันใดนั้น เหล่าอสุรานับร้อยบนท้องฟ้าที่กำลังจะโจมตี และอสุราแปดแขนทั้งสี่บนพื้นดินที่เตรียมจะเหวี่ยงโซ่ของพวกมัน ก็อดจะตะลึงงันไม่ได้
เขาเผาตัวเองหรือไม่? เหล่าเผ่าอสุราต่างมองหน้ากัน พวกมันต่อสู้มาหลายร้อยครั้งในทะเลเลือด ได้ฆ่าสัตว์ดุร้ายและวิญญาณดุร้ายมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่เผาตัวเองก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น… พวกมันเห็นเพียงครั้งเดียว
สตรีอสุราบนท้องฟ้าถามด้วยภาษาของเผ่าอสุราว่า “ท่านแม่ทัพ พวกเราควรทำเช่นไร?”
แม่ทัพอสุราแปดแขนที่เป็นผู้นำกล่าวว่า “นี่คือร่างจำแลง ไปจับมนุษย์บางคนมาและใช้เลือดมนุษย์ทำให้รูปปั้นของเขาสกปรกเพื่อบังคับให้ร่างหลักของเขาปรากฏขึ้น”
“รับบัญชา!”
ทันใดนั้น เหล่าอสุราสองสามตัวก็หันกลับไปในอากาศแล้วกำลังจะพุ่งตรงไปที่เมืองอันสุ่ย
ทว่าจู่ๆ ก็เสียงหัวเราะดังเข้ามาในหูของอสุราว่า… “อย่าเสียเวลาเลย เหนื่อยเปล่า พวกเจ้าไม่รู้หรือว่า ที่นี่มีเพียงร่างจำแลงของข้าอยู่เท่านั้น”
ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องโถง
แม้ยามนี้ เขาจะไม่เข้าใจภาษาอาสุรา แต่ก็พอเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกมา
เขาแค่พยายามถ่วงเวลาเท่านั้น
ในเมืองอันสุ่ย ขณะนี้ เหล่าทูตเทวะของเขาและทหารมนุษย์ที่ดูแลวิหารเทพทะเลกำลังอพยพเหล่ามนุษย์ที่อยู่รอบๆ วิหารเทพทะเลอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วได้พิจารณาสถานการณ์ทุกประเภท เขาได้ฝึกฝนการอพยพฉุกเฉินหลายครั้งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว แม้เหล่ามนุษย์จะตื่นตระหนกกับพลังลมปราณของเหล่าอสุรา และส่วนใหญ่ต่างก็โกลาหลวุ่นวาย แต่โดยรวมแล้ว พวกเขาก็หลบหนีได้เร็วทีเดียว และไม่มีสถานการณ์ใดที่ผู้เฒ่าและเด็กน้อยเยาว์วัยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ในขณะที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วดึงดูดความสนใจของเหล่าอสุรา ก็มีแขนโผล่ออกมาจากกิ่งก้านของต้นไม้นอกวิหารเทพทะเล พวกเขาได้แอบวางถั่วเซียนที่เต็มไปด้วยพลังเซียนลงไป…
ในเวลานั้น ที่หน้าห้องโถง หลี่ฉางโซ่วยังคงโต้เถียงกับเหล่าอสุรา
“พวกเจ้าเต็มใจที่จะถูกใช้ให้เป็นเบี้ยหรือ? ฟังเสียงมังกรคำรามดังบนท้องฟ้าสิ ขณะนี้ เหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรกำลังเดินทางมาแล้ว”
อสุราแปดแขนที่เป็นผู้นำพลันก้าวออกไปข้างหน้า ในขณะนั้น พื้นใต้เท้าของมันยังสั่นสะเทือน “ต่อให้เป็นเบี้ย… ก็ยังดีกว่าถูกทอดทิ้ง!”
ทันใดนั้น ดวงตาที่กระสับกระส่ายของแม่ทัพอสุรา ก็ฉายแสงคมกริบออกมา จากนั้น มันก็ยื่นแขนหนาสองข้างออกมาจากด้านซ้ายและด้านขวา แล้วโซ่สีดำสนิทที่หนาเท่าเส้นผ่าศูนย์กลางของชามก็พุ่งเข้าหาร่างจำแลงของหลี่ฉางโซ่วราวกับงูหลาม!
การโจมตีครั้งนี้ไม่ได้ทรงพลังรุนแรง มันเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น
คิ้วขมวดของหลี่ฉางโซ่วคลายลงทันทีขณะที่ก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว ทำราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน เขาโบกแส้หางม้าในมือแล้ววาดวงกลมที่ไม่สม่ำเสมอ แล้วทันใดนั้น ภาพหยินหยางสีแดงและสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นในวงกลมและสกัดกั้นโซ่เอาไว้ได้อย่างมั่นคง
ภาพหยินหยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย และโซ่ซึ่งมีพลังมหาศาลก็อ่อนกำลังลงก่อนจะตกลงไปบนขั้นบันไดหน้าห้องโถงอย่างอ่อนแรง แล้วส่งเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ ทุกย่างก้าวของเขา จะมีดอกบัวขาวบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้า
หลังจากก้าวไปได้เจ็ดก้าว เขาก็มายืนอยู่กลางอากาศหน้าห้องโถงแล้ว
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านมา และเส้นผมสีขาวซึ่งถูกมัดเอาไว้ พร้อมกับแส้หางม้า และเสื้อคลุมสีขาวแขนกว้างของเขา ล้วนพลิ้วปลิวไสวไปตามลมเบาๆ
เซียนชรายืนอยู่ในอากาศและเผชิญหน้ากับเหล่าอสุรานับร้อย เขายังคงพูดคุยและหัวเราะในขณะที่กล่าวอย่างสงบว่า “ข้าจะให้ทางเลือกพวกเจ้าสองทาง ข้าจะถอยวันนี้ และจะไม่เอาเรื่องที่พวกเจ้ามารบกวนความสงบสุขของข้า แต่หากพวกเจ้ายังดึงดันที่จะต่อสู้ให้ได้ในวันนี้ หลังจากนี้ ข้าจะไปที่ทะเลเลือดและจัดการเรื่องนี้กับเผ่าอสุรา”
………………………………………………………………..