ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 398 ถึงหอสมบัติหลิงเซียว รี่เทียนจะไปรบ (2)
ตอนที่ 398 ถึงหอสมบัติหลิงเซียว รี่เทียนจะไปรบ (2)
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็มาถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับจุดประสงค์หลักในการเดินทางของพวกเขา
“ม้า เราจะพูดอะไรกันได้หลังจากนี้? เราพูดไม่ได้ว่าจะอำนวยความสะดวกในงานของแดนยมโลกให้เขาเพื่อแลกกับเครื่องปรุงรสสักสองสามขวดใช่หรือไม่?”
“วัว เรื่องหลักคือสูตรลับของเครื่องปรุงรส”
“ข้าว่า มันจะเหมาะหรือที่จะไปขอสูตรลับ? นั่นควรจะเป็นความลับของหลี่ฉางโซ่ว”
“นี่…”
หน้าม้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เขายกมือขึ้นลูบแผงคอตามนิสัย แล้วพบว่าเขาไม่ได้สวมหมวก
ทันใดนั้น หัววัวก็กระโดดขึ้นแล้วตะโกนว่า “บนเมฆทางใต้! ดูนั่น ชายผู้คนนั้น ฉางโซ่ว! เขากลับมาแล้วหรือ!?!”
“ไปกันเถอะ อย่าลืมสวมหมวก แล้วร้องตะโกนเป็นวัวเป็นม้า วันนี้เราต้องหนังหนาหน้าด้านสักหน่อยถึงจะได้เครื่องปรุงรสมา!” “หากทำไม่ได้ เราก็ให้ของพิเศษแห่งแดนยมโลกกับเขาบ้าง!”
ในขณะนั้นพวกเขาก็สวมหมวกและฟื้นคืนตัวตนในฐานะทูตเกี่ยววิญญาณ จากนั้น วัวก็ร้องม่อๆ สองครั้ง แล้วม้าก็ร้องฮี้ๆ เบา ๆ เพื่อเรียกตัวตนของพวกเขา
ทันใดนั้น เมฆสีโลหิตก็ควบแน่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาแล้วแบกพวกเขาลอยขึ้นช้าๆ จากนั้น ความเร็วในการบินของพวกเขาก็… น่าทึ่งเล็กน้อย
ที่ใต้ดิน เหนือหมู่เมฆ ศาลสวรรค์ เมืองอันสุ่ย ในขณะนั้น ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่ว และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ต่างก็ใช้มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก เขาไม่เคยคิดเลยว่า หัววัวและหน้าม้าจะไปที่ สำนักตู้เซียนเพื่อ… เครื่องปรุงรสเนื้อย่าง
ทันใดนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วบน ยอดเขาหยกน้อย ก็งานเข้าทันที
เขาไม่กล้าปล่อยให้หัววัวและหน้าม้าอยู่ในสำนักตู้เซียนนาน เขาจะโล่งใจได้ก็ต่อเมื่อทำให้พวกเขาออกไปได้โดยเร็ว
สองชั่วยามต่อมา ที่ด้านหน้าจวนของเทพแห่งท้องทะเลในศาลสวรรค์ ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เทพแห่งท้องทะเลของหลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆออกมาสบายๆ
ดูเหมือนว่า เขาจะมีอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ทหารสวรรค์สองกลุ่มและแม่ทัพสวรรค์ต้องการเข้าคุ้มกันทันที หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไยถึงต้องคุ้มกันเมื่อเราเดินในศาลสวรรค์? ตอนนี้ ทุกคนพักผ่อนเถิด ข้าจะไปที่หอสมบัติหลิงเซียวเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์รีบก้มศีรษะรับ แล้วมองดูเซียนชราขี่เมฆ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปที่ใจกลางแห่งศาลสวรรค์
หลี่ฉางโซ่วนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หัววัวและหน้าม้าไปที่นั่นเพื่อขอเครื่องปรุง
บัดนั้น ทูตเกี่ยววิญญาณทั้งสองหยุดคณะที่กำลังจะ “นำอาจารย์ป้ากลับบ้าน” อย่างกะทันหัน โหย่วฉินเสวียนหย่า หลิงเอ๋อร์ และเด็กสาวที่ท่านอาจารย์พากลับมาล้วนตกตะลึง พวกนางคิดว่าเป็นปีศาจลอบโจมตีพวกนาง
โชคดีที่เจียงหลินเอ๋อร์ซึ่งคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของโลก รีบโค้งคำนับให้อย่างรวดเร็วแล้วแนะนำว่าหัววัวและหน้าม้าเป็นทูตเกี่ยววิญญาณแห่งแดนยมโลก จากนั้น นางก็รีบถามทูตเกี่ยววิญญาณทั้งสองว่าเหตุใดพวกเขาถึงมาที่สำนักตู้เซียน
หัววัวและหน้าม้าตะกุกตะกัก มันยากนักที่จะพูดออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย พวกเขาจึงทำได้แค่มองหลี่ฉางโซ่วอย่างรักใคร่
ในเวลานั้น หลิงเอ๋อร์ก็จับจ้องมองเขม็งแล้วร้องอุทานในใจว่า “หรือว่า!?!”
จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นปิดตาและชื่นชมตัวเองในจินตนาการล้ำเลิศของนาง
หลังจากเหตุการณ์ที่เขาใช้แขนกักนางเอาไว้ระหว่างผนังเมื่อก่อนหน้านี้ หลิงเอ๋อร์ก็เข้าใจ… ว่าศิษย์พี่ชมชอบสตรี
ทว่าสตรีที่เขาชื่นชอบจะต้องมั่นคงพอ นางไม่อาจเพิ่มกรรมให้ศิษย์พี่มากเกินไปได้
เมื่อหลี่ฉางโซ่วเห็นหัววัวและหน้าม้ากำลังชี้แจงอย่างยากลำบาก เขาจึงเริ่มก้าวออกไปแล้วแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่ชาย พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
หัววัวและหน้าม้าพยักหน้าหงึกหงัก
หลี่ฉางโซ่วกล่าวกับปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งว่า “ท่านปรมาจารย์ลุง พวกเขาเป็นสหายเก่าของข้า ขอท่านปรมาจารย์ลุง โปรดพาทุกคนกลับสำนักไปก่อน แล้วศิษย์จะกลับมาหลังจากคุยกับพวกเขาเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ได้สิ” ปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งไม่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม จากนั้นก็ขี่เมฆ พาคณะเดินทางกลับสำนัก
พวกเขาเป็นเซียน กึ่งเซียน กึ่งปีศาจ เซียนใหญ่ ในขณะนั้น สตรีน้อยชาวมนุษย์บนเมฆ มองหลี่ฉางโซ่วอย่างประหลาดใจ
มีเพียงฉีหยวนเท่านั้นที่จดจ่อสมาธิอยู่กับการฝึกบำเพ็ญจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…
เมื่อหลี่ฉางโซ่วมอบเครื่องปรุงรสสองไหให้หัววัวและหน้าม้าด้วยเอง เขาก็กล่าวว่า “หากหมดแล้ว พวกท่านก็ไปบอกเทพแห่งท้องทะเลได้ หลังจากนี้ ข้าจะทำเครื่องปรุงรสแล้วนำไปวางไว้ให้ที่ที่พำนักของเขา”
ในขณะนั้น ใบหน้าของหัววัวและหน้าม้าก็เผยความรู้สึกขึ้น…
พวกเขาแทบจะอยากกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลี่ฉางโซ่ว!
เผ่าเวททั้งสองนั้น น่าสนใจทีเดียวเมื่อพวกเขาจากไป หนึ่งในนั้นก็ตะโกนและบอกให้หลี่ฉางโซ่วไปเยือนแดนยมโลกเมื่อเขาว่าง ในขณะที่อีกคนก็ตะโกนให้หลี่ฉางโซ่วมีอายุยืนยาวและไม่ทิ้งชื่อของเขาเอาไว้ในตำราแห่งชีวิตและความตาย
หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงยิ้มแล้วโบกมือส่งพวกเขาจากไป
เมื่อกลับมาถึงสำนัก แน่นอนว่า เขาย่อมต้องถูกกลุ่มนักชิมแห่งยอดเขาหยกน้อย สอบสวน พวกนางถามเขาว่า เขาไปเป็นพี่น้องกับปรมาจารย์เผ่าเวทแห่งแดนยมโลกได้อย่างไร
โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วเคยไปแดนยมโลกสองครั้ง ครั้งหนึ่งมีเจียงหลินเอ๋อร์ไปด้วย และอีกครั้งหนึ่ง เขาไปกับจิ่วจิ่ว จึงทำให้เขาชี้แจงได้ไม่ยาก แล้วก็ผ่านการสอบสวนมาได้อย่างง่ายดายยิ่ง
จากนั้น บนยอดเขาหยกน้อย ทุกคนก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องสำคัญที่พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจในระหว่างการเดินทาง
ผู้ใดจะรับอาจารย์ป้าว่านเจียงอวี่เป็นศิษย์?
เดิมทีเจียงหลินเอ๋อร์อยากรับนางเป็นศิษย์อีกคน แต่นางก็รู้สึกว่าฐานพลังของนางยังไม่สูงนัก ยิ่งกว่านั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็บอกว่า เขารับศิษย์สิบคนได้
ทั้งสองคนกำลังหารือกันในเรื่องนั้น ที่สำคัญที่สุด เจียงหลินเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย …
หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าไปยุ่ง เขานั่งสมาธิเงียบๆ ในมุมหนึ่งและทำสิ่งอื่นเล็กๆ น้อยๆ
เนื้อหาหลักของเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้น ได้แก่ การจัดทำบันทึกเสนอแนะ การติดต่อกับเผ่ามังกร และการยืนยันเจตนารมณ์ของเผ่ามังกร เขาอยากให้เผ่ามังกรสำรวจสถานที่รวมตัวของปีศาจใต้ทะเลก่อน… และอื่นๆ
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วเขียนบันทึกเสนอแนะเสร็จแล้ว เจียงหลินเอ๋อร์ก็ยังคงลังเลอยู่
เขายังคงง่วนอยู่กับการทำงานต่อไปแล้วให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่ประจำการอยู่ในศาลสวรรค์ ขี่เมฆไปยังหอสมบัติหลิงเซียว
เนื้อหาของบันทึกเสนอแนะคือ การขอให้องค์เง็กเซียนส่งกองทหารไปเข้าร่วมกองกำลังกับเผ่ามังกรเพื่อกำจัดปีศาจใต้ทะเลในดินแดนเทวะทั้งห้าและช่วยตัดมือตัดเท้าของสำนักบำเพ็ญประจิม
ขั้นตอนนั้นมีความหมายพิเศษ มันจะช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างศาลสวรรค์ละเผ่ามังกรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้ และยังทำให้เผ่ามังกรรู้สึกสนิทกับศาลสวรรค์มากขึ้น
หลี่ฉางโซ่วและเผ่ามังกรได้หารือถึงเงื่อนไขกันมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ศาลสวรรค์จะเลือกแม่ทัพคนหนึ่งเป็นแม่ทัพหลัก กองกำลังเผ่ามังกรจะร่วมมือกับกองกำลังแห่งศาลสวรรค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์เบื้องต้น
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็จะทำให้กองกำลังภายนอกของสำนักบำเพ็ญประจิมอ่อนแอลงและเริ่มตอบโต้สำนักบำเพ็ญประจิม พวกเขาจะยุติสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่นิ่งเฉยมาตลอด…
จึงกล่าวได้เลยว่า ขั้นตอนนี้มีความหมายอย่างยิ่ง
หลังจากเข้าไปในหอสมบัติหลิงเซียวแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ได้มอบบันทึกเสนอแนะ และยืนอยู่ด้านหน้าแม่ทัพตงมู่
องค์เง็กเซียนซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมไหมปักสีขาวนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่อยู่บนแท่นสูง ทันทีที่อ่านบันทึกเสนอแนะจบ ดวงตาของเขาฉายประกายวาววับ พลางตบโต๊ะแล้วหัวเราะออกมา
“ช่างเป็นแผนที่ล้ำเลิศจริงๆ ขุนนางฉางเกิง! เราทำเรื่องนี้กันเลย! แล้วเจ้าต้องการทหารสักกี่คน? สักห้าแสนพอหรือไม่!?!”
“ฝ่าบาท” หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวว่า “ขณะนี้ รากฐานของศาลสวรรค์ยังไม่แข็งแกร่งหนาแน่นนัก ด้วยการให้กองทหารห้าแสนนายออกไปอย่างง่ายดาย ย่อมควบคุมการสูญเสียไม่ได้อย่างแน่นอน เหตุใดเราไม่ใช้ทหารสวรรค์สักหนึ่งแสนเป็นเกณฑ์เพื่อยกระดับสุดยอดวีรชนแห่งศาลสวรรค์? ใช้ควบคู่ไปกับเวทโปรยถั่วเป็นทหาร เราก็สามารถใช้ค่ายกลต่อสู้และชุดเกราะสมบัติ แล้วให้ทั้งหมดต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน นั่นย่อมเพียงพอแล้วที่จะรับมือกับกองทหารหลายแสนนายได้!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
องค์เง็กเซียนปรบมือพลางหัวเราะและกล่าวว่า “ฉางเกิง ขุนนางของข้า สิ่งที่ข้าชื่นชมเจ้ามากที่สุด คือเจ้าพิจารณาทุกเรื่องอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ แม่ทัพตงมู่ จงเอาตราพยัคฆ์มอบให้ฉางเกิงเพื่อยกทัพไป!”
แม่ทัพตงมู่รับบัญชาทันที “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาท” หลี่ฉางโซ่วกล่าวต่อว่า “กระหม่อมเสนอแผนได้ เป็นกุนซือได้ แต่ไม่อาจเป็นแม่ทัพได้ กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งแม่ทัพที่เชื่อถือได้เพื่อเข้าร่วมศึก นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ศาลสวรรค์จะได้ออกไปเผยพลัง เราต้องทำให้ศาลสวรรค์แกร่งกล้าเกรียงไกร จึงยังต้องขอให้ฝ่าบาททรงโปรดพิจารณาการแต่งตั้งแม่ทัพให้รอบคอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หายากยิ่งนักที่ขุนนางจะเอาใจใส่เช่นนี้!”
องค์เง็กเซียนพึมพำกับตัวเอง ร่างของแม่ทัพตงมู่ขยับกาย เขาเบ่งหน้าอกออกแต่ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้น เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของเขา
หลี่ฉางโซ่วกำลังเอ่ยเป็นนัยว่า…
เขาไม่อยากรับผลงานนี้เอาไว้เองทั้งหมด แต่เขามีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษาและไกล่เกลี่ยเท่านั้น และจะปล่อยให้เรื่องการรบทัพจับศึกนี้เป็นของแม่ทัพตงมู่
ทว่าสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วและแม่ทัพตงมู่ไม่คาดคิดคือ…
“พูดถึงแม่ทัพที่จะนำทัพ ข้ามีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้ว” องค์เง็กเซียนขยิบตาให้หลี่ฉางโซ่วแล้วยิ้ม “แม่ทัพตงมู่?”
แม่ทัพตงมู่ระงับความตื่นเต้นแล้วตะโกนรับบัญชาว่า “กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปเรียกแม่ทัพสวรรค์จินอู ฮวารี่เทียนมา เขาจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในครั้งนี้”
เอ่อ…
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะในใจ กลายเป็นว่าองค์เง็กเซียนอยากเป็นผู้บังคับการในครั้งนี้ด้วยตัวเอง
ไม่แปลกที่เขาจะตื่นเต้น
ทว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพี่ชายแม่ทัพตงมู่แล้ว เกรงว่าเขาอาจต้องกลัดกลุ้มกังวลต่อไปอีกสักพัก
………………………………………………………………..