ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 4 โลกนี้อันตราย (2)
หลังจากนั้นหินก้อนนั้นก็บินกลับออกมาจากป่าและถูกหลี่ฉางโซ่วโยนไปที่พุ่มไม้ใกล้ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ทั้งหมดนั้นทำให้ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายสดใส
ไม่นานหลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็จัดเตาย่างริมทะเลสาบอย่างชำนาญ ถอนขนไก่ฟ้า ล้วงเครื่องในออกมาแล้วหยิบขวดเครื่องปรุงรสล้ำค่าที่เขาเก็บเอาไว้ออกมาสองสามขวด เริ่ม ‘ยั่ว’ น้ำลายของศิษย์น้องหญิงน้อย
“ศิษย์พี่ ท่านใช้เวทอะไรกับหินเมื่อครู่นี้หรือ เหตุใดมันถึงบินกลับมาได้หลังจากที่บินออกไปแล้วล่ะเจ้าคะ”
“มันก็แค่เวทควบคุมวัตถุเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “นี่ถือว่าเป็นเวทง่ายๆ เท่านั้นเอง”
“ในโลกแห่งการฝึกบำเพ็ญทุกวันนี้ หรือจะพูดว่าในห้าดินแดนนั้น กลวิธีการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการใช้อาวุธเวท ผู้บำเพ็ญจะใช้มันร่วมกับพลังวรยุทธ์ของตน และใช้มันโจมตีผู้อื่น…
วิชาเวทที่ใช้ควบคุมวัตถุนี้เป็นพื้นฐานสำหรับการควบคุมอาวุธเวท เจ้าเพิ่งเริ่มฝึกบำเพ็ญ จึงไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ เอาไว้ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าฟังในภายภาคหน้า”
“เจ้าค่ะ” จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์คุกเข่าลงนั่งข้างๆ ยกมือน้อยๆ ขึ้นสางปอยผมข้างใบหูของนางพลางเอ่ยเบาๆ ราวกับเสียงยุงบินว่า “เหมือนว่าวิชาเวทของศิษย์พี่ล้วนร้ายกาจยิ่ง”
ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่ฉางโซ่วพลันส่ายหน้าเล็กน้อย กล่าวอธิบายให้หลิงเอ๋อร์ฟังอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องหญิงเจ้าคิดผิดแล้ว มันไม่มีอะไรเลย…
ข้าและอาจารย์ต่างก็เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญหลอมรวมปราณที่ยังไม่ได้ทะยานเป็นเซียน…โลกบรรพกาลนี้โหดร้ายอย่างยิ่ง การทะยานเป็นเซียนก็เทียบเท่ากับการออกจากหมู่บ้านของผู้ฝึกบำเพ็ญระดับต้นเท่านั้น หลังกลายเป็นเซียนแล้วจะต้องผ่านเจ็ดหรือแปดขอบเขตพลังก่อนจึงจะถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญชั้นสูง และแต่ละขอบเขตก็สามารถหยุดเส้นทางของเหล่า ‘อัจฉริยะ’ เอาไว้ได้มากมายนับไม่ถ้วน
โลกบรรพกาลดำรงอยู่มาเป็นเวลานานจนไม่อาจนับได้ ผู้บำเพ็ญระดับสูงสุดมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทำให้ยากมากที่ผู้ฝึกบำเพ็ญใหม่ๆ จะทะยานขึ้นไปถึงระดับสูงสุด…ยิ่งไปกว่านั้น ในท้ายที่สุดพลังวรยุทธ์ก็เป็นเพียงรากฐาน หากมีการต่อสู้ระหว่างคนสองคนในขอบเขตเดียวกัน ฝ่ายที่ไม่มีอาวุธเวทที่ทรงพลังก็จะพ่ายแพ้และจุดจบก็คือ…ร่างตาย เต๋าสลาย!”
หลันหลิงเอ๋อร์หดคออย่างสยดสยอง ถ้อยคำของศิษย์พี่ประหนึ่งเสียงปีศาจที่ทำให้นางขนลุกอย่างยิ่ง
เสียงของหลี่ฉางโซ่วยังคงดังก้องต่อเนื่อง
“แม้เจ้าจะมีอาวุธเวทที่ทรงพลัง แต่หากเจ้าไม่มีพลังเวทที่ทรงพลังเช่นกัน เจ้าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายไปได้ และแม้เจ้าจะมีอาวุธเวทและพลังเวทเพียงพอ แต่หากโชคไม่ดี เจ้าอาจยังต้องเผชิญกับภัยพิบัติและความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกเช่นกัน สรุปโดยรวมแล้ว…”
“ระ…ร่างตาย เต๋าสลายหรือ!”
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วพลันเผยรอยยิ้มเอ็นดูและกล่าวชื่นชมนางออกมา “ใช่ เจ้าเข้าใจมันได้รวดเร็วทีเดียว”
“แต่ศิษย์พี่” หลันหลิงเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเราไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพื่อจะได้มีชีวิตคงอยู่ตลอดไป เพื่อที่ว่าจะได้ปกป้องตนเองไม่ให้ใครมารังแก แล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระไร้ขอบเขตในโลกนี้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว การฝึกบำเพ็ญใช่ว่าจะวิเศษสูงส่งขนาดนั้นไม่” หลี่ฉางโซ่วส่ายหน้า พลางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวเสริมว่า “จุดประสงค์ของการฝึกบำเพ็ญก็เพื่อให้ทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไม่หยุด เพื่อที่เราจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากทุกประเภทและเอาชีวิตรอดได้ต่อไป…
ความเป็นอมตะเป็นเพียงขอบเขตการฝึกบำเพ็ญแห่งเต๋าอย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อเจ้าบรรลุไปถึงขอบเขตนี้ได้ เจ้าจะไม่ตายตามธรรมชาติ ทว่าเภทภัยทุกประเภทก็ยังเอาชีวิตเจ้าได้”
“เช่นนั้นศิษย์พี่” หลันหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามอย่างกังวลใจว่า “เราควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ดำรงอยู่ต่อไปได้เจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ หมุนตะแกรงย่างในมือช้าๆ แล้วตอบอย่างสมเหตุผลว่า
“ประการแรก ให้หลีกเลี่ยงกรรมซึ่งก็คือเหตุและผลของมัน จงพยายามอย่าเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์แปลกๆ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่ในที่พักและฝึกบำเพ็ญไป ทั้งยังต้องหลีกเลี่ยงการเดินทางไปมาโดยไม่จำเป็นรวมถึงหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้อื่นด้วย…
แน่นอนว่ามันยากที่จะทำเช่นนั้นได้ ตัวอย่างเช่น เจ้าและข้า ที่พวกเราได้มาพบและอยู่ร่วมกันเพราะพวกเราได้กราบอาจารย์คนเดียวกัน นี่ก็คือการสร้างเหตุ หากพวกเราคนใดคนหนึ่งประสบปัญหา อีกคนหนึ่งก็ย่อมต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน นี่ก็คือผล
ดังนั้นแม้เราจะพยายามหลีกเลี่ยงกรรมซึ่งเป็นการรวมกันของเหตุและผลอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นในเวลานี้เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ และตัดสินใจกระทำการต่างๆ อย่างสมเหตุสมผลตามสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองต้องตกไปอยู่ในอันตราย… หากพวกเราได้ทำทุกอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้แล้ว แต่ก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีที่สองที่จะจัดการกับมันได้เท่านั้น”
“แล้ววิธีที่สอง…คืออันใดหรือเจ้าคะ”
หลันหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามพลางเช็ดน้ำลายที่มุมปากของนาง บัดนี้ไก่ฟ้าที่อยู่บนตะแกรงนั้นถูกย่างจนเกือบสุกแล้ว และส่งกลิ่นหอมฉุยน่ากินอย่างยิ่งออกมา
“ไม้ตายของเรา”
“ไม้ตายหรือ แล้วมันคืออะไรหรือเจ้าคะ…”
“ไม้ตายก็คือ ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเจ้า” หลี่ฉางโซ่วฉีกไก่ชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้หลิงเอ๋อร์ที่กำลังรอคอยอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่ยังพร่ำสอนนางต่อไป
เขาได้เตรียมการบรรยายเบื้องต้นให้ศิษย์น้องหญิงในอนาคตของตนไว้นานแล้ว ในสมองกำลังจัดการข้อมูลที่เตรียมมาเป็นเวลาหลายเดือน!
“หากเจ้ามีแต้มพลังหนึ่งร้อยแต้ม แล้วเจ้าซ่อนมันเอาไว้ได้สามสิบแต้มโดยเปิดเผยให้ผู้อื่นได้เห็นเพียงเจ็ดสิบแต้มเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ หากมีคนพุ่งเป้าคิดกำจัดเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถทำให้พวกเขาตกใจด้วยความสามารถของเจ้าและคว้าชัยในการต่อสู้ได้ในที่สุด…
หรือกล่าวให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ก็คือหากในภายภาคหน้าเจ้ามีวิชาเวท พลังเวท หรืออาวุธเวทใดๆ ที่ทรงพลัง เจ้าจงเก็บซ่อนมันเอาไว้เป็นไม้ตายของเจ้าเอง อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ และใช้มันเฉพาะในยามคับขันที่เจ้าอาจต้องตายเท่านั้น… นอกจากนี้เจ้ายังสามารถปกปิดฐานพลังวรยุทธ์ของเจ้าเอาไว้ส่วนหนึ่งได้ นี่ก็อาจเป็นหนึ่งในไม้ตายของเจ้า”
ขณะนี้หลันหลิงเอ๋อร์กำลังจัดการไก่ในมือนางด้วยการกัดกินไม่กี่คำ กินจนดวงตาสว่างวาบเป็นประกายออกมา ความเลิศรสของมันทำเอานางต้องเลียนิ้วด้วยความพึงพอใจ
จากนั้นนางก็ครุ่นคิดตามคำสอนของศิษย์พี่อย่างรอบคอบ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ศิษย์พี่ แต่หากข้าใช้ไม้ตายทั้งหมดแล้วก็ยังไม่อาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แล้วข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“นั่นก็ต้องใช้วิธีที่สาม” และเพียงหลี่ฉางโซ่วดีดนิ้ว ไก่ฟ้าที่ย่างสุกแล้วก็ถูกฉีกแยกส่วนออกมา กลายเป็นชิ้นไก่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณและลอยไปอยู่ตรงหน้าหลันหลิงเอ๋อร์
“วิธีที่สามนั้นง่ายมาก นั่นก็คือ…หนี”
“เอ่อ” หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แม้จะถูกเนื้อไก่ย่างดึงดูดมากที่สุด แต่นางก็ยังพยายามทำความเข้าใจว่าศิษย์พี่ของนางกำลังพูดถึงอะไรอย่างเต็มที่
หลี่ฉางโซ่วเอ่ยเรียบเรื่อยว่า “ดั่งคำกล่าวที่ว่า ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจีก็ย่อมต้องมีฟืนให้เผา หากหุนหันพลันแล่นไปรังแต่จะทำลายความหวังและอนาคตที่สดใสก็เท่านั้น ชีวิตนั้นแสนล้ำค่าและมีเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าผู้ที่มีโชคและคุณธรรมยิ่งใหญ่อาจจะโชคดีและได้รับโอกาสใช้ชีวิตเป็นครั้งที่สอง…
อะแฮ่ม ย้อนกลับไปคุยเรื่องสำคัญกัน! …หากเจ้าอยากหลบหนีจากเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญชั้นสูง เจ้าจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออันตรายได้อย่างดีเยี่ยม นี่ก็ต้องเน้นที่การใช้ประโยชน์ของเวทหลบหนีแล้ว ยิ่งเจ้าเรียนรู้เวทหลบหนีได้มากขึ้นเท่าใด โอกาสรอดของเจ้าย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น…”
ยามนั้นอาทิตย์อัสดง กลิ่นหอมของเนื้อย่างตลบอบอวลไปทั่วในอากาศ
ณ ริมทะเลสาบที่ใสสะอาด ผู้บำเพ็ญหนุ่มกำลังเคี่ยวกรำพร่ำสอนศิษย์น้องหญิงน้อยคนใหม่ของเขาอย่างมุ่งมั่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยก็กำลังเคี้ยวเนื้อย่างตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับฟังอย่างตั้งใจ
นี่ย่อมเป็นบทเรียนสำคัญที่จะส่งผลต่อทั้งชีวิตของนางในฐานะผู้เป็นเซียน
ทว่าถึงแม้หลิงเอ๋อร์น้อยจะคิดว่าคำพูดของศิษย์พี่ของนางนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่หลังจากใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว นางก็รู้สึกว่า…
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
…………………………………………………………………………………………………………………