ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 461 ข้าควรมีแผนเล็กๆ ก่อน (1)
ตอนที่ 461 ข้าควรมีแผนเล็กๆ ก่อน (1)
ภายในวิหารเทพทะเลแห่งเมืองอันสุ่ย อ๋าวอี่ในชุดเกราะสีเงิน กำลังรีบเข้าไปในห้องโถงใหญ่
เมื่อมองดูอ๋าวอี่ที่ กำลังสวมเกราะที่ร่างกายท่อนบนและชุดกระโปรงรบ[1]มังกรแบบดั้งเดิมที่ร่างกายท่อนล่าง เขามีใบหน้างามละเอียด ดูหล่อเหลาแบบหนุ่มน้อย จนทำให้เหล่าสานุศิษย์สตรีสาวหลายคนต่างพากันหันไปมองเขา
แน่นอนว่า พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดแม่ทัพน้อยผู้นี้ จึงดูคล้ายกับรูปปั้นผู้พิทักษ์ผู้ยิ่งใหญ่
จนกระทั่งเมื่อทูตเทวะรู้ข่าวแล้วรีบมาต้อนรับและแสดงความเคารพในขณะที่ผู้พิทักษ์มังกรแท้ก็รีบไปรับและเรียกเขาว่าองค์ชาย เพียงเท่านั้น บรรดาสานุศิษย์จึงเข้าใจว่า นี่คือผู้พิทักษ์ที่ยิ่งใหญ่ตัวจริงที่ได้ลงมายังโลกมนุษย์!
ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงโค้งคำนับ คุกเข่า และเหล่าฝูงชนก็พากันเข้าห้อมล้อมรอบตัวเขา จนเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้นในวิหารเทพทะเล
หลี่ฉางโซ่วตะลึงงันทันที
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในรูปเซียนชราที่เคยมีบทบาททำงานอยู่ที่นี่เสมอ ต่อมา เขาก็ประกาศต่อหน้าผู้คนว่า เขาคือร่างจำแลงของเทพแห่งท้องทะเล เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?!
แม้แต่เทพเซียนในสมัยนี้ ก็ยังต้องดูใบหน้า…
ในขณะนั้น อ๋าวอี่กำลังจังงังจนและทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่งเสียงไปถึงหูของเขาได้ทันเวลา
“ไปที่ห้องโถงด้านหลัง ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน อย่าเสียมารยาทนะ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หรือ?
อ๋าวอี่อดจะรู้สึกประหม่าไม่ได้ เขาเหลือบมองเครื่องแต่งกายของตัวเองก่อนจะรีบวิ่งไปที่ห้องโถงด้านหลัง และเห็นนักพรตเต๋าหนุ่มกำลังนั่งดื่มชาและยืนอยู่ข้างๆ เขา…
หลี่ฉางโซ่ว
ในเวลานั้น อ๋าวอี่ก็ลืมแม้กระทั่งการโค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก่อน แต่กล่าวอย่างตื่นตกใจแทนว่า
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไฉนท่านถึง … หนีไปเล่าขอรับ?”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็จ้องมองอ๋าวอี่ และอ๋าวอี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันทีหลังจากนั้น เขารีบโค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ และกล่าวว่า “อ๋าวอี่ ศิษย์สำนักบำเพ็ญเต๋า ขอคารวะท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ขอรับ!”
“ดี” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แย้มยิ้มและพยักหน้าโดยไม่เอ่ยวาจาใดๆ มากนัก
หลี่ฉางโซ่วรู้ว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ปรารถนาจะเพิ่มกรรม ดังนั้นเขาจึงเริ่มก้าวออกไปข้างหน้า แล้วหยิบม้วนตำราออกมาจากแขนเสื้อพลางกล่าวเตือนสติอย่างจริงจังว่า
“คราวนี้ เจ้าจัดการเรื่องเหตุการณ์ในทะเลประจิมล่วงหน้าแล้ว ทำได้ไม่เลวเลย
อ๋าวอี่ ตอนนี้ เจ้าเป็นองค์ชายมังกรที่เจริญวัยเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เจ้ามีตำแหน่งเทพในศาลสวรรค์และได้ลบล้างกรรมร้ายแล้ว ย่อมถือได้ว่า เป็นหลักฐานมั่นคงในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
วันนี้ ข้าจะมอบพระสูตรนี้ให้แก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะเรียนรู้และทำความเข้าใจพระสูตรนี้ได้อย่างถูกต้อง ไม่ยโสโอหังหรือหุนหันพลันแล่น จงมีเจตจำนงคงมั่นที่จะสนับสนุนเผ่ามังกร แล้วในภายภาคหน้า เจ้าจักทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเผ่ามังกรจะประสบชะตากรรมอะไรในอนาคต ก็จงใช้พระสูตรนี้เป็นหลักอ้างอิง
เจ้าจำได้หรือไม่?”
อ๋าวอี่ยอมรับและกล่าวว่า “อี่เข้าใจแล้วขอรับ!”
จากนั้น เขาก็ขยับตัวแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยิบม้วนตำรามาถือเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง และเมื่อเห็นว่า ไม่มีถ้อยคำใดๆ อยู่ในนั้นเลย ทันใดนั้น เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็เพ่งมองไปที่พระสูตรอย่างพินิจพิเคราะห์เช่นกัน และไม่ได้ถามอะไรต่ออีก นอกจากเพียงยิ้มเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง
อ๋าวอี่กระซิบถามทันทีว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก มีเรื่องสำคัญอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ? ”
“ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้” หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ฝ่าบาท องค์เง็กเซียนมีพระประสงค์จะจัดงานเลี้ยงผลท้อเซียนในอีกสิบสองปีข้างหน้า และจะเชิญราชามังกรทั้งสี่คาบสมุทรมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในศาลสวรรค์ด้วย เรื่องนี้ มีความหมายลึกซึ้งอยู่เบื้องหลัง ลองคิดดูดีๆ เจ้ารายงานเรื่องนี้ให้ราชามังกรทะเลบุรพาได้ แต่จงจำไว้ว่า ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้ ”
“ไม่ต้องห่วง พี่ชาย!” อ๋าวอี่รับคำ เขามองดูพระสูตรในมือแล้วเริ่มพิจารณาเรื่องนี้
หลี่ฉางโซ่วจงใจหลีกเลี่ยงภัยคุกคามจากองค์เง็กเซียนและยังอธิบายเรื่องงานเลี้ยงผลท้อเซียนคร่าวๆ เพื่อลดแรงกดดันต่อเผ่ามังกร
ในอีกสิบสองปีข้างหน้า จะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและกดดันพวกเขาไปพร้อมๆ กัน
เมื่อราชามังกรทั้งสี่คาบสมุทรแก่ลงมากแล้ว แค่กๆ ผู้ดำรงอยู่เก่าแก่และแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะเข้าใจความคิดของศาลสวรรค์ได้
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ชี้แนะว่า “กลับไปที่วังมังกรทะเลบูรพาก่อนเถิด แล้วอย่าลืมอ่านม้วนพระสูตรนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนดีๆ มันย่อมยังประโยชน์ต่อเจ้าอย่างแน่นอน”
อ๋าวอี่ถามอีกครั้งว่า มีอะไรที่ให้เขาทำได้บ้าง แต่หลี่ฉางโซ่วทำเพียงส่ายศีรษะและบอกว่าไม่ต้องกังวล
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวเป็นนัยให้เขา
“ก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมเคยโจมตีร่างจำแลงของข้า ไม่ว่าอย่างไร กรรมนี้ก็จะต้องถูกลบล้างไปให้ทันเวลา”
ทันใดนั้น อ๋าวอี่ก็เข้าใจบางสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทันที แล้วโค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่โดยไม่เอ่ยอันใดอีก จากนั้นก็รีบออกจากเมืองอันสุ่ยไปพร้อมกับกองกำลังทหารมังกร
เรื่องนี้เกินกว่าที่เขา ซึ่งเป็นเพียงองค์ชายมังกรน้อยตัวเล็กๆ อย่างเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเผยรอยแย้มยิ้มพลางถอนหายใจและกล่าวว่า “ฉางโซ่ว ตอนนี้ เจ้าพูดเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้
เจ้าได้มอบพระสูตรและเตือนเผ่ามังกร ทั้งยังอาศัยอ๋าวอี่ให้ช่วยเผยแพร่กรรมเกี่ยวกับจักจั่นสีทอง ข้าไม่รู้จะชื่นชมเจ้าอย่างไรจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์เพียงทำเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หากไร้การปกป้องจากท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และจอมปราชญ์เทพแล้ว ศิษย์คงไม่อาจใช้กลอุบายเล็กๆ เหล่านี้ได้ขอรับ”
“เจ้า!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สะบัดแขนเสื้อและวางเก้าอี้กลมไว้ข้างๆ เขา
จากนั้น เขาก็กล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มว่า “มาคิดกันว่าจะทำอย่างไร
หากเจ้ามีความคิดและกลยุทธ์อะไรดีๆ ก็เอามาคุยกับข้าได้เลย ลองศึกษาดูกันให้ดี ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว หากเป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้จัดวางเอง เราก็ควรทุ่มเททำมันให้ดีที่สุด ”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนักแล้วขอรับ” ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ลังเลที่จะกล่าวตรงๆ อย่างเปิดเผยชัดเจนเช่นกัน “ศิษย์คิดว่าส่วนที่สำคัญที่สุดในการโจมตีครั้งนี้คือ… การล่าถอยขอรับ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กระตุกมุมปากทันที “มีเหตุผลกลใดกัน?”
“ขอบคุณท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยชี้ทางให้ศิษย์ขอรับ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยิ้มพลางถอนหายใจและกล่าวว่า
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ กล่าวว่า “ครั้งนี้ เราโจมตีจินฉานจื่อ ซึ่งเป็นหมากตัวสำคัญในการขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสำนักบำเพ็ญประจิม แม้จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งสองจะไม่เก่งกาจในการคาดการณ์เท่าเรา แต่จอมปราชญ์ ก็ยังเป็นจอมปราชญ์
เท่าที่ศิษย์รู้ จินฉานจื่อนั้น ในอดีต ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ร้ายบรรพกาล มีนิสัยโหดเหี้ยมดุร้าย ทว่าบัดนี้ เขากลับเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากสำนักบำเพ็ญประจิม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จู่ๆ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หัวเราะออกมาดังลั่นแล้วกล่าวว่า “พูดต่อไป พูดต่อไป เมื่อเจ้าพูดคำว่า เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับความโปรดปราน แล้วเจ้าคาดการณ์มากมายเช่นนั้นได้อย่างไร?’
“เอ่อ ศิษย์เพียงอยากอธิบายมากกว่านี้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้มกระดากและอธิบายถึงการวิเคราะห์ของเขาต่อไป
จากนั้น เขาก็พูดคุยถึงสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่พลังของพลังเวทของจอมปราชญ์และเวทหลบหนีเฉียนคุนของจั๊กจั่นสีทอง ไปจนถึงลักษณะทั่วไปที่มีความเจ้าเล่ห์และธรรมชาติอันดุร้ายของสัตว์ร้ายบรรพกาล นอกจากนี้เขายังวิเคราะห์จากหลายมุมมองว่า จั๊กจั่นสีทองอาจมีไพ่ไม้ตายช่วยชีวิตอีกด้วย
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า
“ก่อนจะเริ่มลงมือ ให้คิดไว้ว่าจะทำอย่างไรหากผิดพลาดไป เมื่อทำเช่นนี้ ก็จะสามารถป้องกันข้อผิดพลาดใดๆ ได้ในระดับสูงสุดขอรับ”
ในเวลานั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ฉางโซ่ว ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผลเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแผนการของจอมปราชญ์ซ่วนจี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรรอบคอบให้มากไว้ก่อนย่อมเป็นการดี
แล้วเราควรวางแผนเรื่องล่าถอยอย่างไร?”
“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์ขอบอกท่านในขณะที่เขียนไปด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”
หลี่ฉางโซ่วก็หยิบม้วนกระดาษเปล่าสองม้วนออกมาจากแขนเสื้อและกล่าวว่า “ยามเมื่อคิดถึงสิ่งใด ศิษย์ก็คุ้นชินกับการทำเช่นนี้ขอรับ”
“ย่อมได้!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ตื่นเต้นเช่นกัน จากนั้น เขาก็เสกโต๊ะขึ้นมาให้หลี่ฉางโซ่ว และเริ่มหารือถึงแผนการ “ง่ายๆ” กับหลี่ฉางโซ่วต่อไป
สองชั่วยามต่อมา…
“ดี!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มองดูภาพวาดสองภาพที่เต็มไปด้วยตัวอักษรเล็กๆ และหัวลูกศร แล้วกล่าวชมเชยว่า “ด้วยวิธีนี้ แล้วข้าจะกังวลเรื่องนี้ไปไยกัน? แล้วจะต้องกลัวการโต้กลับจากสำนักบำเพ็ญประจิม ไปด้วยเหตุใด!?!”
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มขัดเขินและกล่าวว่า “แต่ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ นี่เป็นเพียงแผนชุดหนึ่งที่เราจัดลำดับความสำคัญไว้เป็นอันดับแรก ทั้งยังอยู่ในสถานะที่เป็นแนวทางความคิดซึ่งยังไม่ได้นำตัวแปรบางตัวมาพิจารณา
ตามความเห็นอันต่ำต้อยของศิษย์ เราควรเตรียมการเพิ่มเติมมากกว่านี้อีกเล็กน้อยและพิจารณาตัวแปรพื้นฐานที่สุดใหม่อีกครั้งขอรับ ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกำลังจะบอกว่าไม่จำเป็น
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็โค้งคำนับอีกครั้งและกล่าวว่า “ศิษย์รู้สึกว่า ในโลกนี้ ไม่มีเหตุบังเอิญใด มีเพียงแต่สถานการณ์ที่เราไม่เคยนึกถึงเท่านั้นขอรับ”
“ใช่!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกว่า หลี่ฉางโซ่วกล่าวได้มีเหตุผล จากนั้นจึงดึงเก้าอี้ แล้วหารือเรื่องแผนสำรองกับหลี่ฉางโซ่วต่อไป
………………………………………………………………..
[1] เป็นชุดจ้านฉวิน ซึ่งเป็นชุดออกศึกเหมือนแม่ทัพในสมัยโบราณที่มีเกราะแผ่นกระโปรงด้านนอก