ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 470 การพบกันครั้งแรกกับจอมปราชญ์
ตอนที่ 470 การพบกันครั้งแรกกับจอมปราชญ์ ฉางโซ่ววางแผนจัดการจักจั่นสีทอง (1)
ในห้องโถงด้านหลังของเมืองอันสุ่ย แผนภาพไท่จี๋ไฟวารีได้ปรากฏขึ้นในอากาศ มันบรรจุพลังแห่งน้ำและไฟ แล้วค่อยๆ หมุนไปช้าๆ
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กระโดดออกมาจากมันพร้อมด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชา
เมื่อแผนภาพไท่จี๋ไฟวารีสลายไป แขนเสื้อของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กระพือเบาๆ ทันใดนั้น เถ้าถ่านจำนวนหนึ่งก็ลอยออกมาก่อนจะเปล่งแสงรำไร แล้วกลายเป็นร่างของหลี่ฉางโซ่ว
เขายังคงดูเหมือนเซียนชรา ยังมีภาพเจดีย์อยู่บนหน้าอก ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ถอนหายใจออกมาและนั่งลงบนเก้าอี้กลม แล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
“อาจารย์อาคนนี้ออกจะเกินไปเล็กน้อย…”
หลี่ฉางโซ่วถือแส้หางม้าและกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ นี่คือ ปรมาจารย์จอมปราชญ์…”
“ใช่ ข้ารู้เรื่องนั้น” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ข้าน่าจะฟังเจ้า และทำลายคราบร่างจักจั่นต่อหน้าอาจารย์อาคนนี้ เดิมทีข้าคิดว่า การไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างสำนักบำเพ็ญประจิมและสำนักบำเพ็ญเต๋านั้น ย่อมไม่เป็นการดี ทว่าเมื่อมองจากท่าทางแล้ว ข้าว่า ไม่จำเป็นต้องสนใจไว้หน้าให้สำนักบำเพ็ญประจิมแล้ว พวกเขาเองก็ไม่ใส่ใจเรื่องใบหน้าเช่นกัน”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้น ยังคงสุภาพอ่อนโยนและเรียบง่าย ราวกับนักปราชญ์ปัญญาชน แม้จะโกรธเคืองก็ตาม
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่าจะปลอบโยนและผ่อนคลายอารมณ์เขาได้อย่างไร
จอมปราชญ์ผู้นั้น ช่างดู…ยากจะบรรยายได้จริงๆ
เมื่อครู่ก่อน ปรมาจารย์รองเจ้าสำนักบำเพ็ญประจิม นักพรตเต๋าจุ่นถี ซึ่งใบหน้าพร่ามัวและร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงได้ปรากฏตัวขึ้นที่ซากปรักหักพังที่เกิดขึ้นจากการระเบิดวิญญาณครั้งใหญ่ เขาว่าจักจั่นทองมีชะตาลิขิตกับสำนักบำเพ็ญประจิม จึงขอให้พวกเขาทั้งสองหยุดลงมือเสีย
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วได้แอบให้คำแนะนำกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เพื่อให้เสริมมีด[1] ทว่า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็มีท่าทีลังเลอย่างชัดเจน จนทำให้เขาพลาดโอกาส
ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะไม่กล้าต่อต้านจอมปราชญ์ หากจำเป็น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังคงต่อสู้กับเขา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้คือ การโต้กลับจินฉานจื่อของหลี่ฉางโซ่ว จึงมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้
หากปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ใช้กำลังบังคับสังหารจินฉานจื่ออย่างรุนแรง เขาก็จะถูกเปิดเผยในทันทีว่าสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องการทำลายชะตากรรมของสำนักบำเพ็ญประจิม พวกเขาก็จะเพิ่มกรรมที่ไม่จำเป็นให้กับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน…
มันไม่มีอะไรมากจริงๆ
สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมีกึ่งจอมปราชญ์ทั้งหมดสองคน อย่างมากที่สุด เหล่าจื้อไท่ชิงก็จะต่อสู้กับ จอมปราชญ์สองคนของสำนักบำเพ็ญประจิม
พวกเขาย่อมไม่กลัวอย่างแน่นอน และยังคิดว่า พวกเขาจะสามารถเอาชนะสำนักบำเพ็ญประจิมได้…
แต่ในกรณีนั้น สิ่งต่างๆ ย่อมจะหลุดมือไปได้ และโลกบรรพกาลก็จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน โชคของสำนักบำเพ็ญเต๋าจะได้รับผลกระทบ และปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็จะถูกจอมปราชญ์ไท่ชิงดึงกลับไปอยู่ในวิหารไท่ชิงอย่างแน่นอน และเขายังจะถูกกักบริเวณเป็นเวลาสองสามแสนปีอีกด้วย …
และนั่นย่อมจะไม่สวยงามอย่างยิ่ง
ที่สำคัญกว่านั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เห็นผลงานของหลี่ฉางโซ่วในวันนี้แล้ว และพบว่าจินฉานจื่อผู้นี้…
ยากที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินในภายหน้าได้
ครั้นเมื่อจินฉานจื่อเติบโตขึ้นอีกครั้ง หลี่ฉางโซ่วก็ย่อมจะไม่ย่ำหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็อาจเพียงใช้สมองและนิ้วเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถจัดการคนผู้นี้ได้
ดังนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงตัดสินใจไม่ฆ่าจินฉานจื่อเพียงเพื่อพยายามตัดกรรมเท่านั้น
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาจุ่นถี เดิมทีสัตว์ร้ายบรรพกาลตัวนี้ หมายทำร้ายศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน จึงสมควรแล้วที่จะถูกศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินสังหารขอรับ”
ในขณะนั้นนักพรตเต๋าชราผู้อยู่บนเมฆ กล่าวอย่างสงบว่า “เหตุใดกัน? ใบหน้า[2]ผอมๆ ของข้า ยังไม่พออีกหรือ?”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของปรมาจารย์นักพรตเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ค่อยๆ จางหายไป เขาเงยหน้ามองลำแสงในก้อนเมฆ ร่างของเขายังคงยืนสูงตรงตระหง่าน
เมฆบนท้องฟ้าดูดุจดั่งขุนเขา และผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็เปรียบดั่งบ่อน้ำขนาดใหญ่!
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า “หากท่านอาจารย์อากล่าวเช่นนั้น ศิษย์ย่อมไม่บังอาจ กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ ว่าแต่ท่านอาจารย์อา แล้วเราจะยุติกรรมของวันนี้ได้อย่างไรดีขอรับ?”
นักพรตเต๋าชรากล่าวว่า “ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ก็ย่อมตัดกรรมได้”
“แล้วหากจักจั่นสีทองโจมตีคนในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินอีกครั้งเล่าขอรับ?”
“มีกฎธรรมชาติแห่งโชคชะตาวาสนา ย่อมมีขึ้นและจบลง” นักพรตเต๋าชรากล่าวสบายๆ “ทุกอย่างเมื่อมีเหตุ ก็ย่อมมีผลตามมา”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู หรี่ตาลงเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแขนเสื้อของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถอนหายใจ
นี่คือ จอมปราชญ์?
เขากล่าวคำเหล่านั้นอย่างง่ายๆ และไม่สนใจความหมายที่แท้จริงเลย บอกตามตรงว่า—“อย่างไรเสีย วันนี้ข้าจะปกป้องจักจั่นทองตัวนี้อย่างแน่นอน พวกเจ้าก็ทำในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ!”
นั่นเพียงเกิดขึ้นกับการปรากฏตัวของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น หากเป็นหลี่ฉางโซ่วคนเดียว เขาคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูด นักพรตเต๋าจุ่นถีก็เอาต้นไม้สมบัติเจ็ดมหัศจรรย์โจมตีเขาแล้ว
ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทำได้เพียงล่าถอย หากเขายังกล่าวต่อไป นักพรตเต๋าจุ่นถีก็อาจจะใช้ถ้อยคำวางอำนาจเพื่อไล่เขาให้จากไปตามต้องการ
หลี่ฉางโซ่วสะกิดแขนของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และส่งข้อความเสียงไปว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดอภัยที่ศิษย์ผู้นี้ขอบังอาจ แต่ต้องกล่าวว่า ‘ศิษย์สงสัยว่าสำนักบำเพ็ญประจิมกำลังจะทำอะไรกับจั๊กจั่นสีทองขอรับ’ แม้สัตว์ร้ายบรรพกาลเช่นนั้น จะล้างกรรมร้ายของมันแล้ว มันก็ไม่ควรจะเข้าตาจอมปราชญ์”
แม้ไม่อาจฆ่าจินฉานจื่อได้ แต่ก็ยังทำลายโอกาสในการเป็นศิษย์จอมปราชญ์ของจินฉานจื่อได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาที่เขาต้องเผชิญในอนาคตให้เหลือน้อยที่สุดได้
ดวงตาของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ฉายประกายวาบและทำตามคำแนะนำของเขา
ความจริงแล้ว จอมปราชญ์จุ่นถีได้เปลี่ยนกลยุทธ์ในการรับมือของเขาแล้ว…
ในขณะนั้น นักพรตเต๋าชรากล่าวว่า “เมื่อนานมาแล้ว จักจั่นสีทองตัวนี้โจมตีร่างทองของศิษย์พี่ของข้า ดังนั้นเขาจึงติดหนี้กรรมของสำนักบำเพ็ญประจิม ในภายหน้า เราจะมีชะตาได้พบเขาและให้เขาอุทิศร่างธรรมให้แก่สำนักบำเพ็ญประจิม วันนี้ ข้ามาที่นี่ในด้วยตัวเองแล้ว หรือว่าศิษย์หลานคิดว่าข้ายังไม่ดีพอที่จะปล่อยเขาให้ข้าจัดการ?”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านกล่าวจริงจังเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นท่านเอ่ยปากทอง[3]ขอมา เช่นนั้น ศิษย์ก็จะไม่ทำให้จักจั่นสีทองตัวนี้ ต้องลำบากในวันนี้ แต่จักจั่นสีทองตัวนี้เป็นสัตว์ร้ายบรรพกาลที่ดุร้าย และได้สั่งสมกรรมร้ายเอาไว้มาก ท่านอาจารย์อา ท่านเป็นจอมปราชญ์ ความจริงแล้ว ท่านปรากฏตัวขึ้นและเอามันไปด้วยตัวเอง ศิษย์เกรงว่ามันจะทำลายชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญประจิมขอรับ”
จุ่นถีไม่ได้พูดนาน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ธรรมชาติที่ดุร้ายของจั๊กจั่นสีทองนี้หายาก ข้าจะพาเขากลับไปที่ภูเขาวิญญาณเพื่อสยบเขาในสระบุญและชำระล้างวิญญาณให้เขา ศิษย์หลาน เจ้ากังวลมากไปแล้ว เจ้าไปเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ก็ประสานมือคารวะให้และไม่พูดอะไรอีกก่อนจะหันหลังกลับเดินจากไป แล้วหายไปจากโลกนั้น จากนั้นก็กลับไปที่ห้องโถงด้านหลังของวิหารเทพทะเล
นั่นคือจอมปราชญ์
ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพียงเมื่อเปิดปากทอง แม้แต่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ทำได้เพียงล่าถอยชั่วคราวและกลับบ้านด้วยโทสะเดือดในใจ
ในวิหารเทพทะเล เจดีย์วิจิตรเสวียนหวงเทียนตี้ ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากหน้าอกของหลี่ฉางโซ่ว และส่งข้อความทางวิญญาณไปยังปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้ว่า เป็นเสียงและน้ำเสียงแบบใดที่เจตจำนงวิญญาณได้เปลี่ยนไปในใจของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่
ทว่าในใจลึกๆ ของหลี่ฉางโซ่ว ได้ยินมันกล่าวว่า “ฆ่าเขา! เจ้าศิษย์คนโต เจ้ากลัวอันใด? จุ่นถีมันเป็นแต่ของปลอม[4]ไร้ค่า หากสู้กันจริงๆ แล้ว เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า! ต้นไม้สมบัติเจ็ดมหัศจรรย์ของเขาทำอะไรได้หรือ? ในสมัยโบราณ ข้าก็เคยลองมาแล้ว ต้นไม้นั้นไม่ได้เรื่องเลย มันทำร้ายได้เพียงกึ่งปราชญ์ที่ไม่มีสมบัติใดๆ และมีเพียงสมบัติวิญญาณเซียนเทียนเล็กๆ เท่านั้น ให้เรียกนายท่านในภาพวาดและคนอื่นๆ ออกมาสู้กับเขาแบบตัวต่อตัว ก็ยังไม่มีปัญหา พวกเราย่อมไม่แพ้แน่นอน!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ข้าทำทุกอย่างตามต้องการได้ แต่ไม่อาจเกินขอบเขตอันควรได้ หากข้าลงมือโจมตีจอมปราชญ์ ก็ย่อมทำให้ท่านอาจารย์ต้องอับอาย นอกจากนี้ พลังเวทของจอมปราชญ์ยังไม่อาจหยั่งถึง เขาได้รวมเข้ากับเต๋าสวรรค์และเชื่อมต่อกับโลก เราย่อมไม่อาจเอาชนะเขาได้เพียงเพราะเรามีสมบัติวิญญาณเท่านั้น”
ในขณะนั้น เจดีย์น้อยสั่นไหวและลดแสงลงทันที ราวกับเดือดดาล
หลี่ฉางโซ่วพลันรีบกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เป็นศิษย์ไม่ได้คิดให้รอบคอบเอง ศิษย์เพียงแต่คิดว่า เขาจะหลบหนีได้อย่างไร และไม่คิดว่าพลังเวทช่วยชีวิตของเขาจะเป็นเช่นนั้น หากในตอนนั้น ศิษย์ซ่อนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เอาไว้ข้างๆ ก็ย่อมไม่มีปัญหาเมื่อสิ้นสุดการระเบิดวิญญาณอีกต่อไป”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างเมตตาว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว หากข้ามีระดับฐานพลังเช่นเจ้า และไปทำเรื่องนั้น ข้าก็คงไม่อาจทำได้ดีโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้ แต่หลังจากเรื่องนี้แล้ว ฉางโซ่ว เจ้าวางใจได้ สำนักบำเพ็ญประจิมจะไม่กล้าโจมตีเจ้าตรงๆ อีกต่อไป”
………………………………………………………………..
[1] ซ้ำเติม คล้ายกับลงดาบซ้ำ คือเดิมทีก็บาดเจ็บมากอยู่แล้ว เมื่อถูกซ้ำเติม ก็จะทำให้ตายสนิท
[2] ฐานะ เกียรติและศักดิ์ศรี
[3] มาจากการเปรียบเทียบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นความจริงที่สุดว่ามีค่าดั่งทองซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ที่ล้ำค่าหามิได้ดุจฉาบไว้ด้วยทองคำ ในที่นี้ คือการให้เกียรติว่า เมื่อจุ่นถีเอ่ยปากขอแล้ว ย่อมสูงค่า และควรทำตามอย่างเชื่อฟัง ดุจดังการที่เราปฏิบัติตามคำสอนของอันล้ำค่าของพระพุทธเจ้า
[4] ในที่นี้ก็คือ คนไม่เก่งจริง