ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 48 อึก อึก อึก อึก (1)
สามเดือนต่อมา เหนือวังผลึกแก้ว ลึกลงไปในทะเลบูรพา…
หลังจากเหตุการณ์ต่อเนื่องต่างๆ มากมาย นับจากมังกรน้อยที่กบฏ การอ้อนวอนของพระมารดาของมังกรน้อยต่อพระบิดา ดังนั้นราชามังกรจึงบัญชาให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด จนในที่สุด จิงไห่ ซึ่งเป็นนักดนตรีปลาที่สอนเจ้าชายในท้องทะเลก็กลายเป็นแพะรับบาป เขาถูกหั่นเป็นชิ้นๆ แล้ววางอยู่ระหว่างต้นหอม ขิง น้ำส้มสายชู และกระเทียม…
เฮ้อ…น่าสงสารจริงๆ ช่างโชคร้ายและน่าเศร้าใจยิ่ง
ในยุคบรรพกาล ไม่มีวาซาบิ และวิธีเตรียมซาซิมิก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
เวลานี้องค์ชายรองแห่งวังมังกร อ๋าวอี่ถูกมัดเอาไว้กับเรือเปลือกหอยอมตะขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังเร่งทะยานไปยังพรมแดนระหว่างทะเลทักษิณและทะเลบูรพา
นอกจากอ๋าวอี่แล้ว ยังมีกองทหารเซียนมังกรวารีและเต่าเซียนที่มีคิ้วและเคราสีขาวเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นอยู่บนเรือ
เซียนเต่าซึ่งเกษียณอายุมานานหลายปีแล้ว กำลังนั่งอยู่ข้างอ๋าวอี่และพยายามเกลี้ยกล่อมเขาพลางถอนหายใจลึก
“ฝ่าบาท ท่านไปเกี่ยวข้องกับสำนักตู้เซียนได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ…พวกเขามีคุณธรรมและความสามารถอันใดกัน แม้องค์ราชาจะทรงให้ท่านไปเป็นศิษย์ที่นั่น แต่พระองค์ก็จะไม่กล้ารับท่านกลับมาเช่นกัน ท่านต้องคิดถึงพระองค์ด้วย เวลานี้พระองค์กำลังยืนหยัดท่ามกลางความคิดเห็นของมวลชน และระงับเสียงทั้งหมดเพื่อให้ท่านได้ไปเป็นศิษย์ของสำนักเซียน!
คราวนี้กระหม่อมจะพาท่านไปเป็นศิษย์ของเซียนใหญ่ภายใต้สามสำนักบำเพ็ญเต๋า นั่นคือเซียนอู้หยุน แม้เซียนใหญ่ผู้นี้จะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เขาก็เป็นหนึ่งในเจ็ดเซียนในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูงจากเทพาจารย์แห่งเต๋าทั้งสาม เขามีศิษย์คือเต่าทองเพียงตัวเดียวที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกับกระหม่อม ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในเวลานั้น พวกเรายังมีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นกัน ฝ่าบาท นี่จะเป็นไปตามพระประสงค์ของท่าน…ขอฝ่าบาททรงอย่าได้ก่อเรื่องใหญ่ใดๆ อีกต่อไปเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
อ๋าวอี่หันศีรษะไปด้านหนึ่ง สีหน้าท่าทีของเขายังคงดูไม่เต็มใจและไม่ยอมแพ้
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีอายุเพียงแค่สิบขวบเท่านั้น แม้เขาจะเป็น ‘ตันตง’ ซึ่งได้รับการศึกษามาตั้งแต่อยู่ในไข่มานานหลายๆ ปีแล้วก็ตาม ทว่าแท้จริงแล้ว เขาก็เกิดมาได้เพียงแค่สิบปี
เมื่อมีเต่าชราคอยโน้มน้าวเขาอยู่ที่ด้านข้าง อ๋าวอี่ก็ค่อยๆ ลังเลทีละน้อย
“เซียนใหญ่ผู้นี้มีวิธีที่จะบรรลุเป็นเซียนหรือไม่”
“นั่นย่อมเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันใดนั้นเต่าเซียนก็ฉวยโอกาสเล่าให้อ๋าวอี่ฟังว่าเซียนใหญ่ผู้นี้น่าประทับใจเพียงใด เขาเป็นเซียนได้อย่างไร และปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์โปรดปรานเขาอย่างไร ทว่าเขาค่อนข้างเก็บตัวและปิดบังความสามารถของเขา
ในไม่ช้าเต่าเซียนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งและส่งข้อความเสียงให้อ๋าวอี่ว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจในสิ่งที่ท่านพยายามกระทำ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด และย่อมไม่เป็นผลดีใดๆ เพียงแค่ทรมานพระองค์เอง…ความอวดดื้อถือดีเป็นเพียงดั่งความฝัน มันจะกลายเป็นน้ำแข็งหลังจากที่ท่านตื่นจากความฝันแล้ว ซึ่งย่อมไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะตื่นขึ้นมาจากความฝันนั้น…
ฝ่าบาทต้องทรงเห็นใจองค์ราชาด้วย พระองค์เป็นผู้ที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดในเผ่าพันธุ์มังกร จึงไม่อาจขยับทำสิ่งใดได้โดยง่าย ไม่เช่นนั้นสถานที่แห่งนั้นจะตกอยู่ในอันตรายได้พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋าวอี่ใคร่ครวญเกี่ยวกับมันแล้วก็พยักหน้ารับช้าๆ
สรุปสั้นๆ ว่าเวลานี้ข้ามีอิสระที่จะท่องไปรอบๆ โลกบรรพกาลขนาดใหญ่ภายนอกวังมังกรได้อย่างอิสระตามต้องการ
เพื่อที่จะเป็นศิษย์ของเซียนใหญ่ เขายังต้องอาศัยสถานะของเขาในฐานะองค์ชายแห่งวังมังกร และเขาจะกำจัดความอับอายของวังมังกรได้อย่างไร
มีลูกหลานในวังมังกรคนใดกันที่จะสามารถไปเป็นศิษย์ของเซียนใหญ่ได้เล่า
สิ่งที่เขากำลังมองหาคือทางออกของเผ่ามังกร ไม่ใช่ทางออกสำหรับองค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลบูรพาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!
เขาต้องทำตามเต่าเซียนผู้นี้เอาไว้ก่อน และสักวันหนึ่งในอนาคต ก็ค่อยพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป
ท่ามกลางสายลมทะเลที่ส่งเสียงคลื่นซัดสาด อ๋าวอี่ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าของเขา แสดงให้เห็นถึง ‘ความไร้เดียงสา’ ที่เป็นไปตามอายุของเขาเอง จนเต่าเซียนผู้นั้นก็ค่อยๆ โล่งใจเช่นกัน
……
เวลานี้ลึกเข้าไปในป่าทึบของยอดเขาพิชิตสวรรค์ในสำนักตู้เซียน ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนของจิ่วเซียนทั้งเก้า
น้ำเต้ายักษ์ของจิ่วจิ่วลอยกลับมาจากทิศทางของยอดเขาหยกน้อย ดูเหมือนว่าร่างทั้งร่างของนางจะไร้เรี่ยวแรงในขณะที่นางเดินคอตกกลับไปที่บ้านของนางด้วยท่าทีเศร้าซึม จากนั้นนางก็ค่อยๆ นั่งลงบนบันไดไม้หน้าบ้านแล้วเอนตัวลงช้าๆ
นางนอนลงเบาๆ ราวกับหุ่นดินเหนียวที่กำลังหลอมละลายในขณะที่กอดน้ำเต้าใหญ่ของนางเอาไว้ พลางถอนหายใจแล้วนอนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน
“น่าเบื่อมาก ผ่านไปเพียงแค่สามเดือนนับตั้งแต่เสี่ยวโซ่วโซ่วปิดด่านบำเพ็ญ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันดูเหมือนมากกว่าสามปีนะ ไม่มีผู้ใดเล่นกับข้าเลย…เฮ้อ…
แม้แต่ศิษย์พี่หญิงก็ไปพร้อมกับศิษย์พี่ชาย ในขณะที่ศิษย์พี่ชายก็ไปกับคนอื่นๆ ด้วย หลังจากที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่และศิษย์พี่ชายรอง ศิษย์พี่หญิงสี่และศิษย์พี่ชายห้า ศิษย์พี่หญิงหกและศิษย์พี่ชายเจ็ด มันก็น่าจะถึงเวลาที่ศิษย์พี่ชายแปดจะได้จับคู่อยู่กับศิษย์น้องหญิงเก้าสิ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์พี่ชายแปดจะเดินตามรอยของศิษย์พี่หญิงสามแล้วออกจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ไป…
อา…อนิจจา ศิษย์น้องหญิงเก้าผู้มีชะตากรรมอันขมขื่น ข้าก็ต้องอยู่อย่างเหงาหงอยโดยไร้คู่เคียง…แล้วบังเอิญว่าข้ายังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านอาจารย์อีกด้วย ฮึ…อนิจจา…”
ทันใดนั้นหน้าต่างบ้านข้างๆ ก็ถูกผลักเปิดออก และจิ่วซือที่ดูสดใส ซึ่งไม่นานมานี้เหมือนว่านางจะอ่อนกว่าวัยลงไปอีกหลายร้อยปีก็ปรากฏออกมา นางกำลังโน้มตัวออกมาข้างหน้าและมองมาทางด้านนี้ หลังจากที่ได้ยินจิ่วจิ่วพึมพำคร่ำครวญ นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
จิ่วซือบินออกมาจากนอกหน้าต่างในชุดสีรุ้ง นางดูราวกับเทพธิดาที่ลอยออกมาจากภาพวาด นางร่อนลงมาหยุดอยู่ที่ข้างๆ จิ่วจิ่วซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบันไดไม้ แล้วยื่นมือออกไปบีบจมูกของจิ่วจิ่ว
“ศิษย์พี่หญิงสี่” จิ่วจิ่วโผกอดจิ่วซือแล้วหลับตาลงก่อนจะร้องคร่ำครวญเจือด้วยความเศร้าโศก “ไปที่ยอดเขาหยกน้อยกับข้าสิ! ข้าอยากเล่นศึกสู้มหาเทพ! ข้าอยากเล่นการจำลองชีวิตเซียน!”
จิ่วซือหัวเราะคิกคักพลางลูบศีรษะของศิษย์น้องหญิงคนเล็กของนางแล้วกล่าวว่า “เจ้าน้องโง่ ข้าจะไปยอดเขาหยกน้อยได้อย่างไรกัน”
“หือ? เหตุใดถึงไม่ได้เล่า ศิษย์พี่หญิง”
“เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือไร หากข้าไปที่นั่น”
“แล้วข้าควรอายอันใดกัน”
จิ่วจิ่วเอียงศีรษะพลางเอ่ย “ศิษย์พี่หญิง ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่ เสี่ยวโซ่วโซ่วกับข้าเป็นแค่อาจารย์อากับศิษย์หลานที่บริสุทธิ์ใจต่อกันจริงๆ นะ”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ”
ดวงตาแข็งกร้าวของจิ่วซือปรากฏรอยยิ้ม
จิ่วจิ่วพลันกะพริบตาและเอียงคอพลางเอ่ยถามว่า “ไม่ใช่…เช่นนั้นหรือ”
“ใช่ พวกเจ้าทั้งอาและหลานชายผู้บริสุทธิ์ใจต่อกัน แค่ร่วมกันสร้างค่ายกล หลอมโอสถร่วมกันทุกวัน อยู่ด้วยกันได้ตลอดทั้งวันคืน และสนิทสนมกันอย่างยิ่ง”
“สนิทสนมอันใดกันเล่า! เขาป่วย!”
จิ่วซือชะงันงันรีบถามว่า “ป่วยโรคใดกัน ศิษย์หลานฉางโซ่วมีอาการป่วยซ่อนอยู่หรือ นี่เป็นปัญหาใหญ่”
“ไม่ใช่อาการป่วยที่ซ่อนอยู่หรอก เสี่ยวโซ่วโซ่วแค่ไม่อาจถูกสตรีอื่นแตะต้องได้นอกจากศิษย์น้องหญิงของเขาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะมีอาการชัก”
จิ่วจิ่วยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องหญิงของเขาย่อมไม่เป็นไร เพราะเขาเฝ้าดูแลศิษย์น้องหญิงของเขาให้เติบโตขึ้นมา แล้วหากเป็นแค่แตะหมัดหรือตบมือกับข้า ก็ไม่เป็นไรเช่นกัน”
จิ่วซือกอดอกพลางตรึกตรองก่อนจะกล่าวว่า “โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เจ้าช่วยเล่ารายละเอียดเรื่องนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“ได้สิ เมื่อครั้งล่าสุดที่ข้าพากลุ่มของเสี่ยวโซ่วโซ่วไปดินแดนเทวะอุดรนั้น…”
หลังจากนั้นไม่นานจิ่วซือก็กอดศิษย์น้องหญิงเก้าของนาง แล้วหัวเราะจนตัวสั่นพลางเอ่ยบางอย่างกับจิ่วจิ่ว ซึ่งทำให้จิ่วจิ่วสะดุ้งด้วยความตกใจในตอนแรก ก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากของนาง
“หน็อยแน่ เจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้กล้าดีอย่างไรมาหลอกลวงข้า!”
“เฮ้ ใจเย็นๆ สิ เสี่ยวจิ่ว บุรุษผู้รักษาพรหมจรรย์เช่นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนักในโลกนี้ เจ้าอย่าได้พลาดโอกาสเชียว”
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็เขินอายแล้วกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธพร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านกำลังพูดเรื่องใดกัน! ข้ากับเขาจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!…อ๊ะ…ข้าจะกลับไปปิดด่านบำเพ็ญเพียรแล้ว!”
“อีกไม่กี่วันเจ้าก็จะไปเป็นผู้คุ้มกันในงานชุมนุมหาประสบการณ์แล้วไม่ใช่หรือ”
“อา…ใช่แล้ว ข้าจะปิดด่านบำเพ็ญเพียรไม่ได้สักช่วงสองสามวันนี่ล่ะ”
แล้วจิ่วจิ่วก็รีบพุ่งร่างตรงไปที่บ้านของนางในขณะที่จิ่วซือหัวเราะเบาๆ แล้วลอยตามนางไป
………………………………………………………