ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 49 ศิษย์พี่ของข้ามีตัวตนที่เข้าถึงยากจริงๆ
“ไอ้หยา…
อา ข้ารู้สึกรังเกียจอย่างไรชอบกล…
ไอ้หยา มันช่างเปิดเผยยิ่ง…นี่มันแค่ผ้าสองชิ้นบนผ้าคาดเอวไม่ใช่หรือ หากข้าใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ออกนอกบ้าน จะทำลายสายตาของผู้ใดหรือไม่นะ
นี่มันยั่วยวนเกินไปแล้ว แม้แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็ยังครอบคลุมไม่มิด! นี่ศิษย์พี่หญิงสี่สวมใส่เช่นนี้ให้ศิษย์พี่ห้าดูใช่หรือไม่…
ไม่ ไม่ถูกต้อง ข้าว่าต้องใส่พวกมันให้หมด…”
สวบสาบ…กรอบแกรบ… ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่
ตั้งแต่ยามเช้าตรู่ จิ่วจิ่วก็ยุ่งอยู่ในบ้านของนางจนกระทั่งถึงยามบ่าย ในขณะนี้นางมักจะไปยืนอยู่ตรงหน้าที่สลักเปิดประตูบ้านของนาง แต่ไม่สามารถใช้มือเรียวของนางเปิดมันออกมาได้
ข้าต้องออกไปเดินเล่นบ้าง!
อืม ใช่ ข้าต้องออกไปเดินเล่นบ้าง…
จิ่วจิ่วสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูไม้ที่อยู่ข้างหน้านางและก้าวออกไปพร้อมด้วยรองเท้าผ้าปักดอกไม้สีฟ้าเล็กๆ ที่เท้าของนาง
ในพริบตานั้นภูเขาและป่าไม้ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาเขตอันกว้างใหญ่นี้ก็มีสีสันมากขึ้นในทันที
นางเห็นสายตาที่มองมาสองสามคู่ และก็ได้ยินเสียง…
นางได้ยินเสียงกระแทกสองสามเสียง ศิษย์รับใช้ที่กำลังจะตักน้ำไปที่หอโอสถสะดุดชนเสา ศิษย์รับใช้ซึ่งกำลังกำจัดวัชพืชในแปลงดอกไม้ก็ทำจอบตก และเด็กสาวที่ถือถาดใส่ขวดยาสองสามขวดก็ทำถาดในมือร่วงหล่นลงมาอย่างกะทันหัน
“อะแฮ่ม!”
จิ่วจิ่วกระแอมในลำคอและเดินไปข้างหน้าครึ่งก้าวพร้อมกับไพล่มือไปไว้ที่ด้านหลังของนางจากนั้นก็ยืดอกเหยียดร่างกายของนางออกพลางเชิดหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วกวาดสายตาออกไปทั่วทั้งสถานที่นั้นอย่างสงบ
ศิษย์ชายหลายคนรีบก้มศีรษะลงแล้วไม่กล้ามองอีก พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่ก็แอบเงยหน้าขึ้นเหลือบมองดูเล็กน้อยอีกครั้ง มีเด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงบนภูเขาพลันใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่! มันไม่ได้สวมใส่เหมือนกันหรอกหรือ ข้าไม่ได้ละเมิดศีลธรรมต่อหน้าผู้คนนะ ข้าแค่ใส่ชุดกระโปรงสั้นและเสื้อคลุมสั้นมากกว่าปกติของข้าเท่านั้น
จิ่วจิ่วแลบลิ้นเลียริมฝีปากของนางพร้อมด้วยแววตาและท่าทีที่ดูลังเล แต่นางก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบหยิบน้ำเต้าใหญ่ที่เกือบลืมนำออกไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหมุนมันจนขยายขนาดยาวขึ้นถึงสิบฉื่อ
นางเคยชินกับการนั่งคร่อมน้ำเต้า แต่เมื่อนึกถึงการแต่งกายในยามนี้ นางก็พลันอึดอัดใจ นางอยู่ในชุดสีชมพูอ่อนซึ่งทำมาจากวัสดุที่นางไม่รู้จัก และมันก็ยังบางเบามาก
ดังนั้นนางจึงรวบชุดของนางและค่อยๆ นั่งขัดสมาธิทับผ้าเอาไว้ จากนั้นก็นั่งหน้าน้ำเต้าใหญ่แล้วลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า
และทันทีที่นางบินออกจากยอดเขาพิชิตสวรรค์ นางก็เห็นนักพรตเต๋าร่างเตี้ยที่มีรอยคล้ำใต้ดวงตากำลังเหยียบอยู่บนเมฆขาวและค่อยๆ ล่องลอยไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ถือม้วนตำราเอาไว้ในมือของเขา
จิ่วจิ่วหยุดน้ำเต้าทันทีและแผ่พลังเซียนของนางออกมาแล้วกระแอมไอออกมาอย่างจงใจ
“แค่ก! แค่ก!”
จิ่วอูที่ผ่านทางไปพลันเงยหน้าขึ้นมองและเผยรอยยิ้มสุภาพให้จิ่วจิ่ว เขาประสานมือของเขาขณะถือม้วนตำราเอาไว้ในมือและร่อนลงบนครึ่งทางของยอดเขาพิชิตสวรรค์
จิ่วจิ่วชะงักงัน จากนั้นก็กลอกตาขณะที่นั่งอยู่บนน้ำเต้าแล้วบินไปข้างหน้าต่อ
แต่จิ่วอูที่ร่อนลงไปอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่ก็หันศีรษะของเขามองไปในทันที
“ดูเหมือนว่าข้าเพิ่งเห็น…ศิษย์น้องหญิงเล็ก?
ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง ศิษย์น้องหญิงเล็กสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันเหล่านั้นมาหลายร้อยปีแล้ว นางจะเปลี่ยนไปแต่งตัวเช่นนั้นได้อย่างไร โอ ข้าคงตาลายจนเห็นผิดไป…
อนิจจา เมื่อเร็วๆ นี้ ข้าคงหักโหมมากเกินไปจนหมดแรง โชคดีที่ในที่สุดศิษย์พี่หญิงก็ปิดด่านบำเพ็ญเพียร ในที่สุดข้าก็สามารถเติมพลังของข้าได้”
หลังจากถอนหายใจ จิ่วอูก็ศึกษาตำราสามสิบสองวิธีในการฝึกฝนแก่นร่างและรวบรวมลมปราณที่อยู่ในมือของเขาต่อไปขณะที่เดินตรงไปที่บ้านของเขาเอง
ทันทีที่เขาเข้าไปในบ้าน นักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของเทพธิดาที่ยังหลงเหลืออยู่ และรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่ไม่อาจอธิบายได้
ร่างกายของเขาเกิดปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลัน มันเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่บริสุทธิ์
เขาหลงใหลรักใคร่อย่างลึกซึ้งศิษย์พี่สี่มาโดยตลอด ทั้งยังยิ่งรักมั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่า เขาไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เลย!
จากนั้นจิ่วอูก็หวนนึกถึงการแสดงที่กล้าหาญของเขาในช่วงเวลานี้และเผยรอยยิ้มรู้ดีออกมา…
ตั้งแต่เขาดื่มสุรามังกรพิษที่ศิษย์หลานฉางโซ่วทำขึ้นมา แม้ว่าเอวของเขาจะอ่อนลงมากขึ้น แต่เขาก็รู้สึกมั่นใจต่อหน้าศิษย์พี่หญิงของเขามาก ทั้งยังรู้สึกเข้ากันได้อย่างกลมกลืนมากขึ้นในการเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของเขา และการฝึกบำเพ็ญเต๋าเพื่อให้มีอายุยืนยาวก็ยิ่งมีสีสัน สนุกสนานและกลายเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจและน่าสนใจยิ่งขึ้น
และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาถูกล้อเล่น และเขาก็ยังไม่พอใจที่เจ้าเด็กเหลือขอนั่นเล่นตลกกับเขา
จิ่วอูคิดในใจและจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดขณะนั่งลงที่หลังโต๊ะ
ข้าต้องแก้เผ็ดคืนด้วยวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง[1] นี่ย่อมเป็นกฎของเขาด้วย
ปรับปรุงโอสถให้คล้ายกับสุราชนิดนั้นและล่อเขาให้ติดหลุมพราง?
แต่เจ้าเด็กนี่อาจจะทนอดกลั้นได้จริง ๆ และยังไร้ยางอายอีกด้วย…เช่นนั้นข้าจะขอให้เสี่ยวจิ่วช่วยเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟสักหน่อยดีหรือไม่
เอ่อ…ไม่ ไม่ ไม่ได้ นั่นจะไม่ได้ผล กลายเป็นว่าข้ากำลังจะให้ประโยชน์หรือเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับเขาเล่า? หากศิษย์น้องหญิงเกิดดื้อรั้นไม่ยอมทำ ข้าก็จะต้องฝ่ายแพ้อย่างหนักเลยใช่หรือไม่!
การต่อสู้ด้วยไหวพริบและความกล้าหาญกับเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ ถูกจำกัดด้วยคำสัตย์สาบานในขณะนี้ ทำให้มีหนทางน้อยลงมากมาย แต่ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจมากขึ้น
“รอก่อนเถิด เจ้าหัวขโมยน้อย! ในที่สุดข้าย่อมหาช่องโหว่ของเจ้าได้แน่!”
……
ขณะที่จิ่วจิ่วบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือยอดเขาหยกน้อย นางก็เม้มปากและพึมพำกับตัวเองว่า “เหตุใดคนสองสามคนที่ข้าพบมาระหว่างทางนี้จึงมองข้าด้วยสายตาแปลกๆ ไม่กลัวถูกข้าทำร้ายหรืออย่างไรกัน”
เมื่อน้ำเต้าใหญ่ค่อยๆ ร่อนลงมา นางก็แผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปสำรวจทั่วยอดเขาหยกน้อย และพบว่าหลี่ฉางโซ่วกำลังสั่งสอนหลันหลิงเอ๋อร์อยู่
จิ่วจิ่วกะพริบตาและจงใจปกปิดความผันผวนของลมปราณของนางเพื่อดูว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อจู่ๆ นางก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
ข้าจะไม่ทำให้พวกเขากลัวใช่หรือไม่
จิ่วจิ่วขมวดคิ้วและรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
ในขณะที่นางแอบเข้าไปใกล้กระท่อมมุงจาก นางก็ได้ยินเสียงกระจ่างชัดดังมาจากภายในนั้นแม้จะอยู่ในระยะไกล
“จิตนั้นคลุมเครือ เต๋าปรากฏอยู่ในนั้น ลมปราณกลับคืนสู่ทะเล และควบแน่นในปราณวิญญาณ…
ในประโยคนี้ สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดคือ ‘ลมปราณกลับคืนสู่ทะเล’ ลมปราณในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพลังเวทที่เจ้าได้ฝึกบำเพ็ญ ลมปราณที่ชัดเจนหรือขุ่นมัวนั้น หมายถึงพลังปราณต้นกำเนิดที่เจ้ามีในร่างกาย…
นี่เป็นสมบัติที่นำมาจากครรภ์มารดาของเจ้า และสำคัญมากสำหรับผู้บำเพ็ญ…”
ภายในกระท่อมนั้น หลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีเบาะพิงกลมในท่าที่ดูผ่อนคลายมาก ในขณะที่หลันหลิงเอ๋อร์นั่งบนเบาะนั่งสมาธิและกำลังตั้งใจฟังเขาอย่างระมัดระวัง
จิ่วจิ่วเดินย่องเข้าไปในกระท่อมอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันไปยกแขนขึ้นแล้วทำท่ารูปกรงเล็บเสือขณะที่วิ่งตรงเข้าไปข้างในแล้วร้องตะโกนว่า “อูล่า!”
หลิงเอ๋อร์น้อยที่กำลังนั่งหลับตาอยู่นั้นพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ในขณะที่หลี่ฉางโซ่ววางพระสูตรในมือลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจและมองไปพร้อมกับยิ้มให้จิ่วจิ่วที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนการแต่งกายของนาง…
ชั่วขณะนั้นจิ่วจิ่วก็เบิกตากว้างขึ้นแล้วถามว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่กลัวกันเล่า”
“อ๋าย ข้ากลัวแล้ว ท่านอาจารย์อาจิ่ว!” ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ร้องตะโกนออกมาเบาๆ พลางแสร้งทำเป็นตื่นตระหนกเล็กน้อย
แต่ทันทีที่นางหันศีรษะไป นางก็อดจะร้องอุทานออกมาไม่ได้ว่า “ท่านอาจารย์อา เหตุใดจู่ๆ ท่าน…จู่ๆ ท่านก็สวมชุดกระโปรงเจ้าคะ”
“เป็นอะไรไป มีอันใดผิดปกติเล่า ข้าใส่ไม่ได้หรือ”
จิ่วจิ่วแอบสังเกตปฏิกิริยาของหลี่ฉางโซ่ว พลางหมุนตัวตรงหน้าหลันหลิงเอ๋อร์ ชุดกระโปรงและเส้นผมสวยงามของนางพลิ้วไหวเบาๆ ทำให้กระท่อมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมเบาบาง
ในขณะนั้นหลันหลิงเอ๋อร์เองก็แอบดูปฏิกิริยาของศิษย์พี่นาง และเมื่อพบว่าเขาเพียงแค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางก็โล่งใจเล็กน้อย
ยังดีที่ศิษย์พี่ไม่แปลกใจ
หลันหลิงเอ๋อร์ ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าท่านใส่ได้เจ้าค่ะ ปกติแล้วท่านอาจารย์อาก็งดงามมากอยู่แล้ว แต่ยามนี้ท่านก็ยิ่งเจิดจรัสมากขึ้นไปอีก จนข้าไม่กล้าที่จะขึ้นขี่เมฆขาวไปกับท่านเลยเจ้าค่ะ!”
จิ่วจิ่วกะพริบตาแล้วมองไปที่หลี่ฉางโซ่วพลางถามว่า “เสี่ยวฉางโซ่ว แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร…”
“งามมากขอรับ” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าชื่นชม
เมื่อสตรีผู้หนึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เฉกเช่นคนตรงหน้าเขา ทั้งศิษย์น้องหญิงและท่านอาจารย์อา หากจู่ๆ พวกนางทั้งสองเปลี่ยนชุดใหม่หรือเครื่องประดับศีรษะชิ้นใหม่ และอยากได้คำชม เขาก็ไม่ควรตระหนี่ให้ความชื่นชมนาง ในฐานะบุรุษผู้สง่างาม
แต่เมื่อเขาคิดว่าอาจมีความเข้าใจผิดในวันก่อนนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวเสริมว่า “เพียงแต่ข้าอาจจะไม่ชินกับมันเล็กน้อยหลังจากที่ได้เห็นอย่างกะทันหันเช่นนี้ขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จิ่วจิ่วมองลงไปยังสิ่งที่นางจับคู่เลือกอย่างระมัดระวังอยู่เป็นเวลานานกว่าครึ่งวัน และเผยสีหน้าท่าทีที่ดูค่อนข้างผิดหวัง
ส่วนหลันหลิงเอ๋อร์ก็ถอนหายใจภายในใจ เมื่อเห็นเช่นนั้น
ศิษย์พี่ก็ยังคงเป็นคนที่มีตัวตนเข้าถึงยากเช่นนี้…
มันยากเกินไปจริงๆ ที่จะเข้าใกล้คนอย่างศิษย์พี่ที่คอยแต่จะปฏิเสธกรรมทุกอย่าง
ทำให้ผู้อื่นลำบากจริงๆ
หลังจากนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ก็เผยรอยยิ้มบางออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระซิบถามที่หูจิ่วจิ่วว่า “ท่านอาจารย์อา นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านแต่งตัวเช่นนี้หรือไม่เจ้าคะ”
จิ่วจิ่วรีบกล่าวตอบว่า “ใช่ จู่ๆ ข้าก็อยากเปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวก็เท่านั้นเอง”
“หากแต่งตัวในชุดแบบนี้ แต่งหน้าบางๆ จะเหมาะกว่าเจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์กระซิบบางอย่างที่ข้างๆ หูของจิ่วจิ่ว แล้วดวงตาของจิ่วจิ่วก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีก่อนจะดึงหลันหลิงเอ๋อร์ไปที่ด้านหลังฉากกั้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยและหยิบม้วนตำราขึ้นมาอ่านต่อไป เมื่อเขาได้ยินพวกนางกระซิบพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาคิดถึงบางสิ่งในใจโดยไม่มีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนแปลงใดๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ท่ามกลางเสียงอุทานชื่นชมอย่างต่อเนื่องของหลันหลิงเอ๋อร์ จิ่วจิ่วก็ออกมาจากด้านหลังฉากกั้นและมองไปที่หลี่ฉางโซ่วด้วยความรู้สึกพอใจในตัวเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ่งเผยรอยยิ้มกว้างมากขึ้นทันที
ในขณะนั้นดูเหมือนว่าท่านอาจารย์อาของเขาจะกลายเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว นางทาแป้งแต่งหน้า วาดปลายคิ้วโดยไล่ไปตามมุมคิ้วของนางบางๆ อย่างระมัดระวัง ทาสีแก้มแดงเล็กน้อย ให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากสีแดงสดของนาง ในขณะที่สวมกระโปรงผ้าไหมบาง สวมเสื้อคลุมที่มีซับใน และถักผมเปียหางหงส์ นางดูงดงามกว่าเมื่อก่อนและมีเสน่ห์สตรีมากขึ้น
“ไม่เลวเลย” หลี่ฉางโซ่วยกนิ้วหัวแม่มือให้ “ในบรรดาสตรีที่ข้าเคยพานพบมา ท่านเป็นสตรีผู้งดงามในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน!”
“จริงหรือ”
จิ่วจิ่วกะพริบตาและด้วยเหตุผลบางอย่างในใจ บัดนี้ความรู้สึกแปลกประหลาดและละเอียดอ่อนที่โอบล้อมหัวใจของนางในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ก็ค่อยๆ หายไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่นางรู้สึกมีความสุขและผ่อนคลาย
“แน่นอน ต้องจริงสิ ท่านเข้าใจเสน่ห์ของตัวเองผิดหรือไม่” หลี่ฉางโซ่วตอบด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อา ในยามปกติที่ท่านไม่ได้แต่งตัวแต่งหน้า ท่านก็เป็นผู้ที่บรรดาศิษย์ชายหลายคนในสำนักชื่นชมอยู่แล้วขอรับ”
“เฮ้ย! ไม่น่า! จะเป็นไปได้อย่างไร” จิ่วจิ่วกลอกตา แต่ดวงตาของนางยังฉายแววกระหยิ่มในขณะที่ปากหยักยิ้มและกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “จริงๆ แล้ว ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เพราะข้าฝึกฝนเพื่อให้มีอายุยืนยาว…เราอย่าพูดเรื่องนี้เลย เจ้ายังต้องบรรยายบทเรียนอีกหรือไม่…หากไม่เช่นนั้น เราก็มาร่วมเล่นศึกสู้มหาเทพกัน!”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “การบรรยายบทเรียนเป็นเรื่องที่ข้าต้องกระทำ…”
“แต่นานๆ ท่านอาจารย์อาจะมาเยี่ยมทั้งที!” หลันหลิงเอ๋อร์กอดแขนของจิ่วจิ่วเอาไว้ทันที “มาเล่นศึกสู้มหาเทพกันเจ้าค่ะ!”
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ จะเรียกว่า ‘นานๆ จะมา’ ไปได้อย่างไรกัน นางมาเจ็ดถึงแปดครั้งต่อเดือนเลยไม่ใช่หรือ
จิ่วจิ่วจึงรีบตอบตกลงหนักแน่นทันที “ศึกสู้มหาเทพ!”
“ในเมื่อกระตือรือร้นกันมากเช่นนี้ ก็เอาเป็นว่าค่อยหาโอกาสสอนสั่งหลิงเอ๋อร์ในภายหลัง”
หลี่ฉางโซ่วส่ายหน้า ทันใดนั้นทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างต่างก็ส่งเสียงไชโยโห่ร้องแล้วรีบจัดโต๊ะเตี้ยและเบาะรองนั่งกันอย่างชำนาญ
ทว่าเมื่อนั่งลง จิ่วจิ่วก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงยืมใช้กระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่วที่อยู่ติดกันเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับไปเป็นชุดเสื้อผ้าป่านที่ใส่สบายที่สุด และเปลี่ยนรองเท้าปักเป็นรองเท้าฟางพิเศษที่นุ่มสบาย พร้อมกับลบเครื่องสำอางบางๆ บนใบหน้าของนางออกด้วยเช่นกัน
ฟางนี้ไม่ใช่หญ้าฟางธรรมดา แต่เป็นหญ้าเซียนที่จิ่วอูบ่มเพาะเลี้ยงดูมาอย่างดี…
มันใส่สบายมากจริงๆ
และก่อนออกจากกระท่อมมุงจาก จู่ๆ หัวใจของจิ่วจิ่วก็นึกถึงกับคำพูดของหลี่ฉางโซ่วก่อนหน้านี้…
‘สตรีผู้งดงามในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน!’
จิ่วจิ่วแย้มยิ้มและพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ช่างน่าไม่อายจริงๆ เขาถึงกับกล้าพูดเยี่ยงนั้นด้วยซ้ำ”
ครั้นเมื่อเปิดประตูออกมา จิ่วจิ่วก็รีบปรี่กลับไปที่กระท่อมมุงจากข้างๆ ราวกับสายลม และสักพักก็ได้ยินเสียงคู่แข่งแย่งชิงกันมาจากที่นั่น…
“ศึกสู้มหาเทพ!”
“สองเท่า!”
“สองเท่าทวีคูณ!”
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าได้เป็นมหาเทพในรอบนี้ ส่วนข้าเป็นเซียนน้อย สองเท่าทวีคูณ ตอนนี้ข้ามีศิลาวิญญาณสิบสองก้อนแล้ว”
“เหอะๆ! เดินเลย หลิงเอ๋อร์!”
“ข้ามีไพ่สิบเจ็ดใบ วันนี้เจ้ายังจะเอาชนะข้าได้หรือ”
…….
ท่ามกลางยามราตรีที่เงียบสงัด หลี่ฉางโซ่วก็ได้ออกมาจากกระท่อมมุงจาก
ทั้งอาจารย์อาและศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาต่างดื่มสุราแล้วเมามายเล็กน้อย ในขณะนี้พวกนางกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาจึงมีหน้าที่รับผิดชอบในการปิดประตูและเปิดค่ายกลเพื่อไม่ให้ผู้ใดมาเห็นท่าทางน่าอับอายของพวกนางในเช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อกลับไปที่หอโอสถ หลี่ฉางโซ่วก็เข้าไปในห้องลับใต้ดินก่อนจะนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่มุมห้องแล้วหลับตาลงทำสมาธิ จากนั้นก็จดจ่ออยู่กับการควบแน่นพลังลมปราณของเขาเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง
มีลูกไฟสีส้มแดงค่อยๆ ควบแน่นขึ้นมาในระหว่างฝ่ามือของเขา และถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายของเขาในเวลาต่อมาก่อนที่มันจะเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วอย่างช้าๆ และสร้างปราณวิญญาณและร่างเต๋าของเขา
จากนั้นก็มีบงกชเก้ากลีบจำนวนมากค่อยๆ หมุนวนเวียนอยู่รอบกายเขา ในเวลานี้บงกชเหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น และลวดลายบนบงกชนั้นชัดเจนอย่างหาที่เปรียบมิได้ พวกมันสมบูรณ์แบบมากขึ้นและอักขระเต๋าลึกลับที่บรรจุอยู่ในนั้นก็เข้าใกล้กับความสมบูรณ์มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ทว่าหลี่ฉางโซ่วยังคงรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงลังเลที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้า
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง หมายถึง การแก้แค้นคืนด้วยวิธีเดียวกันกับที่เคยถูกกระทำเอาไว้