ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 503 สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยดูแลตัวเองดี (3)
ตอนที่ 503 สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยดูแลตัวเองดี (3)
หลี่ฉางโซ่วถามตัวเองโดยที่ยังไม่ได้กล่าวถึงกระบี่สังหารเซียนทั้งสี่เล่มที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาและใบมีดที่ซ่อนอยู่ใต้เท้าของเขา แล้วเขาจะปฏิเสธสตรีผู้นี้ไปได้อย่างไร
เมื่ออวิ๋นเซียวกล่าวว่า เหตุใดหลี่ฉางโซ่วจึงไม่วาดภาพต่อหน้านาง นางจะได้เห็นว่าเขามีทักษะเก่งกาจปานใด
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและเห็นด้วยพลางหยิบกระดาษเปล่าออกมาหนึ่งแผ่น…
“อา?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนอย่างประหลาดใจดังมาจากฟากฟ้า จากนั้นก็มีเมฆสีขาวก้อนหนึ่งรีบพุ่งมาจากทางทิศตะวันตก และนักพรตเต๋ารูปงามที่ไว้เคราและสวมชุดเกราะงดงามก็กระโดดออกมาจากเมฆก้อนนั้น
“หือ?”
“น้องรอง น้องชาย พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันที่นี่? เจ้ายังอยากจะวาดภาพหรือ? เหตุใดกัน?”
ขั้นตอนที่สามคือ การขอความช่วยเหลือเพื่อทำลายสถานการณ์แล้วลงอย่างราบรื่น
ในขณะนั้นมีเหล่าเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจำนวนหลายสิบคนมารวมตัวกันที่นั่น
หากพวกเขาถูกเปิดเผยตัว วันนี้ย่อมจะอึดอัดใจอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายจะไม่อาจหาทางออกได้ และเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะถูกไล่ให้เป็นเป็ดขึ้นคอน[1]!
ในขณะนั้น จำเป็นต้องทำลายสถานการณ์ให้ทันเวลา และเขาก็ต้องการผู้ทำลายล้างที่จะมาปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม!
หลี่ฉางโซ่วจึงแอบใช้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักพรตเต๋าให้ไปเชิญอาจารย์ลุงจ้าวโดยให้พูดง่ายๆ เพียงว่าเพราะอาจารย์ลุงจ้าวทรงพลังน่าทึ่งนัก
ครั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จ้าวกงหมิงผู้ครองฉายา อี้ป๋ออวิ๋นเทียน[2]ย่อมอยากจะเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูงเสียดฟ้า เขาจึงรีบพุ่งมาที่นี่ทันทีโดยไม่หยุด
“พี่ชาย” อวิ๋นเซียวโค้งคำนับ
หลี่ฉางโซ่วทำการคารวะเต๋าให้ด้วยความเคารพ และกล่าวว่า “ผู้อาวุโส”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวกงหมิงลูบเคราพลางแย้มยิ้ม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย “เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าไม่ได้มารบกวนเจ้าใช่หรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากนั้นอวิ๋นเซียวก็กล่าวว่า “ถึงเวลาที่ข้าควรกลับไปที่เกาะได้แล้ว” ในขณะนั้นนางมองหลี่ฉางโซ่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยพันคำพูดหมื่นวาจา[3]
ไม่ว่านางจะสงบนิ่งเพียงใด มุมมองด้านหลังที่ดูไร้ตัวตนของนาง หรือนางจะเดินเร็วเพียงใด แต่ยามที่จากไป นางก็ไม่อาจซ่อนเร้นพวงแก้มแดงระเรื่อบนใบหน้าของนางเอาไว้ได้…
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ทะเลบูรพาด้วยความรู้สึกโศกเศร้าที่ปะทุขึ้นมาในใจ
เขาเฝ้ามองอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อเขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ และกรรมของเขากับอวิ๋นเซียวก็ถูกขมวดปมติดกันแน่นจนเป็นเงื่อนตาย ทว่าเขาก็ปฏิเสธมันไม่ได้ และยิ่งไม่อาจเปิดเผยมันได้โดยตรงว่า…
มันเป็นแผนการของจอมปราชญ์
มันจะต้องมีความหมายลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังการกระทำของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียน!
สิ่งที่ดีที่สุดที่หลี่ฉางโซ่วทำได้ในตอนนี้คือ ใช้วิธี “การแบ่งขั้นตอน” เพื่อให้อวิ๋นเซียวเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างชัดเจนและชะลอเรื่องนี้เอาไว้ กรรมของการแต่งงานนั้น ยากจะคาดคำนวณได้จริงๆ
ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่คว้าไหล่ของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้ จ้าวกงหมิงหัวเราะเบาๆ และเดินเข้าไปหาแล้วต่อยที่ซี่โครงของหลี่ฉางโซ่ว แต่แน่นอนว่า เขาไม่ได้ออกแรงกำลังมากนัก
“อา เจ้าสารเลว เจ้าจัดการน้องรองของข้าเงียบๆ เพื่อ… หือ หือ?”
ในขณะนั้น หน้าผากของหลี่ฉางโซ่วเต็มไปด้วยเหงื่อ เขารีบแย้มยิ้มอย่างขออภัย ทว่าจู่ๆ ก็มีไอสังหารปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
หลี่ฉางโซ่วพลันหันกลับมามองและพูดไม่ออกกะทันหัน…
บัดนั้น มีบรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยจำนวนมากปรากฏขึ้นในป่าดอกท้อ พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกำปั้นและถือกระบี่ของพวกเขา
เทพธิดาจินหลิงหยิบสัญลักษณ์พยัคฆ์มังกรสมปรารถนาขึ้นมา และนักพรตเต๋าตั๋วเป่าก็หยิบกระเป๋าออกมา…
“ทุกคน!” หลี่ฉางโซ่วถอยกลับ
นักพรตเต๋าตั๋วเป่าแลบลิ้นเลียปากแล้วหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “แม้เจ้าจะทำตามประสงค์ของท่านอาจารย์ แต่ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า เจ้ามันสมควรถูกเฆี่ยนตีมากเพียงนี้”
บรรดากลุ่มคนตรงนั้นล้วนหัวเราะออกมาอย่างดุร้าย ในขณะที่จ้าวกงหมิง ซึ่งไม่รู้รายละเอียดของเรื่องนี้มาก่อน ได้ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและวาดเส้นแบ่ง[4]ที่ชัดเจนให้ทันเวลาอย่างชาญฉลาด
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ยกมือขึ้นและร้องตะโกนว่า “ทุกคน พวกท่านไม่อยากรู้หรือว่าขอบเขตหลังการแต่งงานคืออะไร?”
บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยต่างตะลึงงันทันที
หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบและไม่เอ่ยอะไรอีก เขาใช้มือซ้าย สร้างตราผนึกง่ายๆ ชิ้นหนึ่ง แล้วเส้นเพลิงสายหนึ่งก็จุดประกายไฟขึ้นที่หน้าอกของเขา และพร้อมด้วยเสียงดังฟู่ ร่างของเขาก็ลุกโชนขึ้นทันทีก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไปกับสายลมในชั่วพริบตา
เซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยร้องอุทานว่า “เขาแทนที่ตัวเองด้วยร่างจำแลงตั้งแต่เมื่อใดกัน?!”
บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยต่างมองหน้ากัน มีเพียงเทพธิดาจินหลิง เทพธิดากุ่ยหลิง , นักพรตเต๋าตั๋วเป่าและจ้าวกงหมิง ซึ่งอยู่ด้านหลังฝูงชนหัวเราะออกมาเบาๆ หรือเม้มปาก
ในตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วใช้ร่างหลักของเขา มันคล้ายคลึงกันมากกับสถานการณ์ที่เทพแห่งท้องทะเลทำลายร่างของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทว่าความจริงแล้ว มันคือการใช้เวทหลบหนีที่ลึกซึ้ง
ห่างออกไปหลายพันลี้ เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นในถ้ำใต้ดินในขณะที่หลี่ฉางโซ่วเดินออกมาจากถ้ำ ทว่าขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น จู่ๆ ก็มีอักขระเต๋าปรากฏขึ้นมาจากอากาศเบาบาง แล้วรวมตัวกันเข้าล้อมรอบตัวเขา
หลี่ฉางโซ่วก้มมองลงไป ก็เห็นภาพเงาของแผนภาพไท่จี๋ที่มีขนาดเท่าชามได้ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเขา จากนั้น แผนภาพไท่จี๋ก็หมุนเบาๆ แล้วแทรกซึมเข้าสู่ร่างของเขา…
พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!
หลี่ฉางโซ่วทำการคารวะเต๋าให้ด้วยความเคารพทันทีขณะที่ยิ้มขื่นในใจ
แน่นอนว่า ความจริงแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ ปรมาจารย์จอมปราชญ์ของเขาก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ เขาได้ดึงพลังของแผนภาพไท่จี๋ออกไปชั่วคราวในช่วงสุดท้าย ทว่าตอนนี้เขาได้เพิ่มพลังเป็นสองเท่า
อวิ๋นเซียว…
ปราบดาเทพ…
จอมปราชญ์ตาขาว…
“ช่างมันเถิด” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ เขาไม่อาจปล่อยให้ความอ่อนโยนของเทพธิดาเข้ามาในหัวของเขาได้ เขาต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดรอบคอบ
บัดนี้ บรรยากาศในป่าดอกท้อค่อนข้างเงียบเหงา
บัดนี้ บรรยากาศในป่าดอกท้อดูครึ้มๆ ผิดปกติไป
ที่มุมหนึ่ง เซียนสตรีผู้หนึ่งมองไปที่เซียนบุรุษที่อยู่ต่อหน้านางและถามเบาๆ ว่า “ศิษย์น้อง ตอนนี้เราอยู่ที่ขอบเขตใดกันแล้ว?”
ใต้ต้นท้อ เทพธิดาจินกวงบีบมุมกระโปรงของนาง ใบหน้าน่ารักของนางเผยความเขินอายออกมา
นางมองไปที่ศิษย์พี่กงหมิงที่นางเรียกมาหาและตัวสั่นเทาขณะที่กล่าวประโยคตะกุกตะกักออกมา
“ข้า ข้า ข้าอาจจะ… ศิษย์พี่ ข้า… อาจจะ… รู้สึกมี… ความรุ่มร้อนบางอย่าง… ต่อท่านแล้ว … ”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสกงหมิงก็ตกตะลึง หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามโดยไม่รู้จริงๆ ว่าด้วยเหตุใด
นักพรตเต๋าชราเฒ่าอีกผู้หนึ่งก็มองไปที่นักพรตเต๋าผู้ซึ่งฝึกบำเพ็ญมากับเขาเป็นเวลานานหลายหมื่นปี
เขายิ้มและกล่าวว่า “สหายเต๋า ท่านและข้าถือว่า เราได้มาถึงขอบเขตอุ่นรักแล้วหรือไม่?”
ทันใดนั้นดวงตาของนักพรตเต๋าชราเฒ่าอีกผู้หนึ่ง ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
………………………………………………………………..
[1] เปรียบกับการบีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถไม่ถึง หรือบังคับให้ทำอะไรบางอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถนัด
[2] คุณธรรมสูงเสียดฟ้า
[3] ใช้เปรียบดั่งคนร้อยเล่ห์
[4] แยกตัวออกจากกลุ่ม หรือสลัดทิ้งความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้อง ในที่นี้จะมีความหมายคล้ายเอาตัวรอดคือ ทิ้งหลี่ฉางโซ่ว