ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 513 วันนี้ ข้า เทพแห่งท้องทะเล
ตอนที่ 513 วันนี้ ข้า เทพแห่งท้องทะเล จะรักษาใบหน้าของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิม! (3)
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจยาวอย่างทอดถอนใจ ดวงตาของเขาพร่ามัวไปด้วยอารมณ์พลางกล่าวว่า
“จู่ๆ ก็มีคนๆ หนึ่งปรากฏกายขึ้นบนก้อนเมฆท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆมงคล และมีเครื่องหมายมงคลเต็มไปทั่วทุกหนแห่ง และทั่วหล้าก็เต็มไปด้วยลำแสง
แท้จริงแล้ว คนผู้นั้นก็คือ ปรมาจารย์จอมปราชญ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและคุณธรรมยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญประจิม
เขาบอกว่าจักจั่นทองนั้นเคยโจมตีร่างทองแห่งบุญของปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิม ดังนั้นเขาจึงต้องตอบแทนกรรมคืนกลับให้สำนักบำเพ็ญประจิมและนำจั๊กจั่นสีทองกลับมาเพื่อให้ผู้คนได้ดูแลมันอย่างดี”
หลี่ฉางโซ่วชี้ไปนักพรตเต๋าชราทั้งหกและตวาดว่า “แต่ตอนนี้ ทั้งหกคนนี้กำลังพูดว่า จั๊กจั่นสีทองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญประจิม!
หากพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ เช่นนั้น พวกเขาก็คือ พวกต้มตุ๋นอย่างแน่นอน! และหากพวกเขารู้เรื่องนี้ แล้ว นั่นย่อมแสดงว่า พวกเขาจงใจเพิกเฉยปรมาจารย์จอมปราชญ์!
ปรมาจารย์จอมปราชญ์สองคนของสำนักบำเพ็ญประจิมเป็นผู้สดับฟังแห่งวังเมฆม่วง พวกเขามีร่างบุญแห่งสวรรค์และปฐพี
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงศิษย์ในนามของบรรพาจารย์เต๋า แต่พวกเขาก็น่าจะมาจากสำนักเดียวกันกับปรมาจารย์ทั้งสามแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเช่นกัน
ฝ่าบาท เทพน้อยมาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และเทพน้อยก็ไม่อาจทนได้จริงๆ ที่จะเห็นพวกเขาแสร้งปลอมตัวเป็นศิษย์ของปรมาจารย์จอมปราชญ์และทำให้ชื่อของปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมต้องเสื่อมเสีย!
ใบหน้า[1]ของปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมไม่เหมือนกับใบหน้าของปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักของเราหรือ? ผู้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์จอมปราชญ์ทุกคนควรปกปักรักษาเอาไว้!”
องค์เง็กเซียนพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
จากนั้น เขาขมวดคิ้วและมองไปที่นักพรตเต๋าชราทั้งหกคนด้วยความสับสน
ทันใดนั้น ใบหน้าของนักพรตเต๋าชราแห่งสำนักบำเพ็ญประจิมผู้หนึ่งพลันหน้าแดงก่ำ พลางก้มศีรษะลงและกระอักเลือดออกมาพร้อมกับเสียงดังพรึ่ด
นักพรตเต๋าชราอีกห้าคนล้วนมีสีหน้ามืดทะมึนยิ่งขึ้น บัดนี้ พวกเขาอยากจะกลืนหลี่ฉางโซ่วทั้งเป็น
ในขณะนั้น พลังสะกดข่มที่น่าตื่นตกใจทั้งสี่พลันปรากฏขึ้นบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับนักพรตเต๋าชราทั้งหก! ราชามังกรทะเลทั้งสี่คาบสมุทรลุกขึ้นยืนตามลำดับ พวกเขาไม่พูดหรือเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาทั้งหมดล้วนมีท่าทางคิ้วต่ำตาต่ำ[2]
ทว่าเบื้องหลังราชามังกรชราทั้งสี่ ก็ดูเหมือนจะมีเงาของมังกรครามสี่ตัวและหัวมังกร ซึ่งกำลังเฝ้าดูผู้มาเยือนจากสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งหกคน
พลังลมปราณมังกรนั้นทรงพลังแข็งแกร่งยิ่ง!
พวกเขาคือ ราชามังกร และบุตรหลานมังกรของบรรพชนมังกร!
ในขณะนั้น จุดยืนของราชามังกรมีความสำคัญอย่างยิ่ง พวกเขาสามารถหลบเลี่ยงไปเร้นกายอยู่ด้านข้างเงียบๆ แล้วปล่อยให้ศาลสวรรค์และสำนักบำเพ็ญประจิมต่อสู้ด้วยความสามารถของพวกเขาเอง และจากนั้นก็ทำการเลือกที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเผ่ามังกรให้มากที่สุด
แต่ในขณะนั้น พวกเขาก็ยืนขึ้นเพื่อร่วมกดดันผู้คนจากสำนักบำเพ็ญประจิม!
เห็นได้ว่าในสายตาของเผ่ามังกร หลี่ฉางโซ่ว เทพแห่งท้องทะเลได้เพิ่ม “พลังอำนาจ” มากมายให้ศาลสวรรค์แล้ว
“เทพแห่งท้องทะเล” นักพรตเต๋าชราทั้งหกในชุดเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งฝืนยิ้มและกล่าวว่า “รองเจ้าสำนักไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพวกเรา เทพแห่งท้องทะเล ได้โปรด…”
“ตอนนี้ข้ายังไม่ได้พูดถึงปรมาจารย์คนใดเลย แล้วสหายเต๋ารู้ได้อย่างไรว่า เป็นรองเจ้าสำนักของสำนักบำเพ็ญประจิม ปรมาจารย์จอมปราชญ์ ที่เอาจักจั่นทองไป?”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “หรือว่า พวกเจ้าทุกคนรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ยังคงคิดมาก่อกวนสร้างปัญหาต่อหน้าพระพักตร์องค์เง็กเซียนในสถานที่สำคัญของศาลสวรรค์แห่งนี้”
จู่ๆ คนจากสำนักบำเพ็ญประจิมทั้งหกไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร พวกเขาต่างก็สบตากันอย่างลนลาน
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็จงใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว และลดน้ำเสียงของเขาให้ฟังก้าวร้าวน้อยลง
เขากล่าวว่า “ศิษย์ของจอมปราชญ์ย่อมเป็นตัวแทนใบหน้าของจอมปราชญ์ ตัวตนนี้ย่อมไม่อาจปลอมแปลงได้ แล้วพวกเจ้าทั้งหกคนจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์จริงๆ?”
บัดนั้น นักพรตเต๋าชราทั้งหกคนที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก
หลี่ฉางโซ่วยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาส่งข้อความเสียงไปยังอาจารย์ลุงจ้าวก่อน หลังจากนั้น เขาก็กล่าวว่า “ทุกคน วิธีที่ง่ายที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองคือการให้ปฏิญญาต้าเต๋า พวกเจ้าทุกคน ต้องสาบานเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมจริงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก หาไม่แล้ว … ข้าจะไปที่วังดุสิตเพื่อขอวิธีจัดการกับพวกที่แอบอ้างปลอมเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์เดี๋ยวนี้!”
มอๆ…
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ เขาก็ได้ยินเสียงวัวร้องดัง มอๆ มาจากทางด้านข้าง
ห่างออกไปในระยะไกล นักพรตเต๋าชราผู้หนึ่งที่สวมเสื้อคลุมเต๋าสีน้ำตาลกำลังถือแส้หางม้าและนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังวัวตัวเขียว ไร้แสงสง่าเรืองรอง หรือสีสันงดงามใดๆ แต่อาจทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจได้
ยังมีแม้กระทั่งบางคนที่มองไปยังนักพรตเต๋าชราผู้นั้น และรู้สึกว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับโลก ราวกับว่าโลกและเต๋าใหญ่ได้รับความคิด ความรู้สึก และมีชีวิตขึ้นมา
ดูเหมือนว่า…
การใช้เสียงของขอบเขตเต๋าใหญ่คืออะไร? ไม่จำเป็นต้องสั่นคลอนความสูงส่งของร่างนี้
เขาสร้างพลังบริสุทธิ์ที่ไร้ขอบเขตขึ้นมา เขาเกิดหลังจากที่สวรรค์และปฐพีได้ถือกำเนิดขึ้น
คำพูดที่ไร้ความพยายามใดๆ ของเขาทำให้สัมผัสถึงได้ เขามองเห็นการมาถึงของเทพเซียน
มีเต๋าสูงสุดที่เรียกว่า เหล่าจื้อ ซึ่งทุกคนในสามอาณาจักรล้วนเรียกเช่นนั้น
เหล่าจื้อมาถึงด้วยตัวเองแล้ว!
หัวใจของหลี่ฉางโซ่วเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาในทันใด เขาย้อนรำลึกถึงอย่างรวดเร็วว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือไม่
บรรดาเทพเซียนแห่งศาลสวรรค์ล้วนตื่นตกใจ องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ต่างก็ลุกขึ้นยืนทันทีและกำลังจะออกไปต้อนรับ
ทว่าเหล่าจื้อเหวี่ยงแส้หางม้าในมือของเขา และวัวตัวเขียวก็ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว บัดนี้ร่างของเหล่าจื้อได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วในงานเลี้ยงเซียน
ในขณะนั้น เหล่าจื้อมองไปที่หลี่ฉางโซ่วและยกมือซ้ายขึ้น
หลี่ฉางโซ่วไม่มีเวลาพอที่จะตอบสนอง แต่หลี่ฉางโซ่วก็ฉวยโอกาสนั้นเอาไว้!
เขาก้าวออกไปข้างหน้าทันทีและพยุงแขนของเหล่าจื้อเพื่อช่วยเขาลงจากหลังวัว!
“ฉางเกิง” เหล่าจื้อกล่าวเบาๆ
“ศิษย์อยู่นี่แล้วขอรับ!”
เหล่าจื้อกล่าวว่า “ผูกวัวเอาไว้ข้างนอก อย่าให้มันไร้มารยาทต่อพระพักตร์ฝ่าบาท”
“ขอรับ!”
หลี่ฉางโซ่วรับคำและนำวัวออกไปข้างนอก ในขณะนั้นเขากำลังรีบเดินจนราวกับจะบินไปแล้ว
จากนั้น องค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่ก็โค้งคำนับและเชิญเหล่าจื้อนั่งลง พวกเขารีบเพิ่มเบาะนั่งสมาธิข้างบัลลังก์ และตำแหน่งที่วางเบาะนั้น อยู่ด้านหลังบัลลังก์ขององค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่เสียด้วยซ้ำ
เหล่าจื้อไม่เอ่ยอะไร เขาคำนับให้องค์เง็กเซียนและนั่งลงบนเบาะทำสมาธิ
ศิษย์ทั้งหกคนของสำนักบำเพ็ญประจิมต่างหุบปากเงียบไปแล้ว ในยามนี้ พวกเขาล้วนก้มศีรษะลงและไม่กล้ามองไปที่เหล่าจื้อแม้แต่น้อย
ราชามังกรแห่งสี่คาบสมุทรต่างก็เรียกเขาว่าเหล่าจื้อ เหล่าผู้เป็นเทพเซียนในทุกแขนง ล้วนออกมาโค้งคารวะให้ ในขณะที่จ้าวกงหมิงก็เดินออกไปข้างหน้าเพื่อแสดงความเคารพเช่นกัน เขาเพียงเรียกว่า เหล่าจื้อโดยไม่กล้าเรียกขานว่า ท่านอาจารย์ลุง
ที่ด้านนอกงานเลี้ยงเซียน หลี่ฉางโซ่วพาวัวตัวเขียวไปยังก้อนหินขนาดใหญ่ จากนั้นเขาก็หยิบเชือกอมตะออกมาผูกรอบแหวนจมูกของวัวตัวเขียวอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น วัวเขียวก็พูดภาษามนุษย์ออกมาเบาๆ
“ศิษย์พี่ฉางเกิง… ที่จริง ท่านไม่จำเป็นต้อง… ผูกข้าจริงๆ”
………………………………………………………………..
[1] ความภาคภูมิใจ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี
[2] ลักษณะคนที่ไม่กล้ามีปากเสียง ไม่ต่อต้าน ไม่มีอำนาจ ยอมจำนน และว่านอนสอนง่าย