ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 542 ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าข้า (ถ่วงเวลา) (2)
บทที่ 542 ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าข้า (ถ่วงเวลา) (2)
เมื่อเผ่าเวททั้งสองเดินไปที่มุม พวกเขาก็หันกลับมาและยกเท้าขึ้นพร้อมๆ กันเพื่อทำท่าทางปล่อยให้ทำได้ “เริ่มการต่อสู้ของพวกเจ้าได้ ม่อ~”
“พวกเรา เจ้าหน้าที่แดนยมโลกและทูตเกี่ยววิญญาณยินดีให้บริการหลังสงครามที่ยอดเยี่ยมแก่พวกเจ้าอย่างจริงใจ ฮี้~”
กล่าวจบ หัววัวก็หยิบมะพร้าวสองลูกออกมาจากอกของเขา ส่วนหน้าม้าก็หยิบไม้อ้อสองท่อนออกจากแขนเสื้อ และต่างคนต่างก็มอบสิ่งของของตนให้คนละอย่าง
จากนั้นพวกเขาแยกกะลามะพร้าวแล้วเสียบใส่ไม้อ้อเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วเอนร่างสง่างามของพวกเขาพิงกำแพงห้องโถงใหญ่
คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่กองทัพกบฏเท่านั้น ทว่าแม้แต่ปรมาจารย์เผ่ามังกรทุกคนที่อยู่ต่อหน้าราชามังกรแห่งทะเลประจิมก็ยังเงียบงัน
ทูตเกี่ยววิญญาณแห่งแดนยมโลกรำคาญขนาดนั้นเลยหรือ? หัววัวและหน้าม้าล้วนมองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขาสองพี่น้องต่างเต็มไปด้วยอารมณ์…
ประสบการณ์เช่นนี้ ความรู้สึกสบายๆ เช่นนี้ที่ได้เดินแกว่งกร่างไปมาต่อหน้าเหล่าปรมาจารย์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังจะระเบิดโทสะ แต่ไม่อาจโจมตีพวกเขาตรงๆ ได้… เขาอยู่ที่จุดสูงสุดของเผ่าเวท!
ทันใดนั้น ฝ่ายกบฏก็หมดความอดทน ในขณะที่อ๋าวฉื้อก็ร้องคำรามลั่น “ฆ่าพวกมัน!”
ผู้อาวุโสหัวมังกรถามเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาท ท่านจะสังหารเจ้าหน้าที่ของแดนยมโลกหรือ…”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกเขา วันนี้พวกเราจะฟื้นฟูเผ่ามังกร!” ดวงตาของอ๋าวฉื้อเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
จากนั้นเขาก็ชูกระบี่ขึ้นและพุ่งออกไปข้างหน้าพร้อมด้วยเหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรหลายร้อยคนติดตามหลังเขาไป ในขณะนั้น ปรมาจารย์เผ่ามังกรหลายสิบคนที่อยู่ด้านหน้าราชามังกรแห่งทะเลประจิมก็ระเบิดพลังของพวกเขาแผ่พุ่งออกมาและต้องการสู้ตาย
ทว่า… เสียงทุ้มลึกก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถงหลัก สั่นสะเทือนเมฆหมอก ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังไปทั่วทุกที่ มีอักขระเต๋าไหลเวียนอยู่ในน้ำทะเล และอักขระเต๋าลึกลับก็หลั่งไหลออกมาพร้อมกับลำแสงสีทองที่ปรากฏขึ้นกลางห้องโถงหลัก
ปรากฏการณ์นั้นทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลงอีกครั้ง…
ในแสงสีทองนั้น สายปราณวารีหลั่งไหลและก่อตัวขึ้นเป็นสีเขียวมรกตงดงาม… เถาน้ำเต้า
มีน้ำเต้าอยู่เจ็ดผลบนเถาน้ำเต้านั้น น้ำเต้าทั้งเจ็ดผลนั้นได้รวบรวมอักขระเต๋าที่แตกต่างกันเจ็ดแบบและแกว่งไกวไปมาช้าๆ
ในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากอากาศ ใต้เถาน้ำเต้านั้น เหล่ามังกรต่างมองไปและเห็นผู้ที่มาถึง เขามีคิ้วขาว ผมขาว และใบหน้าซูบผอม เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวแขนกว้างและถือแส้หางม้าเอาไว้ในมือ คนผู้นั้นจะเป็นใครไปได้อีก นอกจาก หลี่ฉางเกิง เทพวารีแห่งศาลสวรรค์?
อ๋าวฉื้อมีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปทันที บรรดาปรมาจารย์เผ่ามังกรยิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดเทพวารีแห่งศาลสวรรค์จึงมาปรากฏที่นี่ เห็นได้ชัดว่า พวกเขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบเข้มงวดยิ่ง และก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยค้นหาทุกซอกทุกมุมของวังมังกรทะเลประจิมมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
หลี่ฉางโซ่วสงบและผ่อนคลาย เขาถือแส้หางม้า และกวาดสายตาออกไปด้านนอกห้องโถง จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ราชามังกร ท่านโปรดพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะจัดการเรื่องนี้ที่นี่ให้เอง”
ราชามังกรแห่งทะเลประจิมพลันถอนหายใจและประสานมือโค้งคารวะให้หลี่ฉางโซ่วก่อนจะกลับไปที่บัลลังก์ของเขา
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนกหวีดแหลม แล้วลูกศรสีม่วงก็พุ่งมาจากด้านนอกห้องโถง ยิงตรงไปที่หัวใจของหลี่ฉางโซ่ว!
ลูกศรนั้นดุจดั่งแมงป่องพิษ มันแผ่อักขระลึกลับออกมา!
พิษ?
หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วขึ้น แสงสีทองเปล่งประกายรอบร่างของเขา แต่เขาไม่ได้หลบหลีกหรือเคลื่อนไหวใดๆ เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ และยืนหยัดต้านทานลูกศรดอกนั้น!
ทว่าเมื่อลูกศรสีม่วงนั้นถูกสกัดกั้น ก็มีเสียง ตึ้ง เบาๆ ดังขึ้น
ไม่มีแม้แต่รอยยับใดๆ ปรากฏขึ้นบนเสื้อคลุมยาวของหลี่ฉางโซ่วเลย และมีพลังลมปราณสีเหลืองลึกลับแผ่กระจายไปทั่วร่างรอบกายของเขา ซึ่งหายไปในร่างของเขาหลังจากนั้น
ลูกศรสีม่วงนั้นแตกหัก และถูกเปลวเพลิงสมาธิแท้ที่หลี่ฉางโซ่วพ่นออกมาเต็มปากแผดเผาจนมอดไหม้หมดสิ้น
เจดีย์เสวียนหวงเทียนตี้!
หมื่นกฎไม่กล้ำกราย เครื่องมือเวททั้งหมดล้วนไม่อาจทำลายมันได้ นอกจากสมบัติเซียนเทียนขั้นสูงสุดชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
หลี่ฉางโซ่วไม่เข้าใจจริงๆ ว่า เหตุใดสมบัติสายป้องกันเช่นนี้ถึงถูกต้องวางเอาไว้บนศีรษะของเขาเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าสมบัติป้องกันที่แท้จริงนั้นคืออะไร
นั่นจะไม่เป็นการเปิดเผยไพ่ตายของเขาโดยไร้เหตุผลใช่หรือไม่?
ในความเห็นของหลี่ฉางโซ่ว สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การเปิดเผยก็คือ ร่างทองแห่งบุญ นั่นเป็นเพราะร่างทองแห่งบุญเป็นรูปแบบตัวสกัดกั้นที่แม้แต่จอมปราชญ์ก็ยังต้องระวังเมื่อโจมตีเขา
ในขณะนั้น เจดีย์เสวียนหวงถูกซ่อนไว้และไม่ปรากฏตัว มันกำลังซ่อนตัวอยู่ในจุดที่ปราณวิญญาณของหลี่ฉางโซ่วอยู่
เหล่ามังกรสองห้า[1]ที่อยู่ด้านล่างล้วนพากันตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่า หลี่ฉางโซ่วสกัดกั้นลูกศรลอบโจมตีดอกนั้นได้อย่างไร เป็นเหตุให้พวกเขายิ่งกลัวหลี่ฉางโซ่ว มากขึ้นไปอีก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “สหายเต๋า เหตุใดถึงไม่เข้ามาพูดคุยด้วยกันเล่า? อย่าซ่อน ตัวเลย คิดว่าว่าไม่รู้ภูมิหลังของเจ้าหรือ?”
ทันทีที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ ก็มีเสียงคำรามเย็นชาดังขึ้นมาจากด้านนอกห้องโถง จากนั้นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในชุดเสื้อคลุมพร้อมกับแผ่พุ่งลมปราณดุร้ายก็พุ่งเข้ามาในห้องโถงและปะปนไปกับเหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกร
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องชุดหนึ่ง
หลี่ฉางโซ่วหันกลับมาด้วยสีหน้าสดใสและดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น เขายิ้มและกล่าวว่า “โอ้ ท่านทูตแห่งแดนยมโลกทั้งสองก็อยู่ที่นี่ด้วย”
หัววัวและหน้าม้าหัวเราะเบาๆ
หัววัวคาบไม้อ้อเอาไว้ในปากแล้วกล่าวว่า “พวกเรามาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยววิญญาณ ขอเทพวารีโปรดอย่าได้ใส่ใจพวกเราเลย ม่อ~”
หน้าม้าส่ายแผงคอเรียบของเขาเบาๆ และกล่าวอย่างสงบว่า “เมื่อเทพวารีโจมตีหลังจากนี้ ขอท่านได้โปรดทิ้งวิญญาณบางส่วนเอาไว้ด้วย พวกเราจะรอรายงานกลับ มีตัวบ่งชี้บางอย่างอยู่ วิญญาณมังกรก็ยังหายากเช่นกัน ฮี้ -”
“เเน่นอน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการกับพวกวายร้ายเหล่านี้ด้วยตัวเอง ขอท่านทั้งสองโปรดช่วยดูสมบัติชิ้นนี้ด้วย!”
หลี่ฉางโซ่วกวาดแส้หางม้า แล้วเถาน้ำเต้าเหนือศีรษะของเขาก็ค่อยๆ ลอยลงมา มันร่อนลงมาต่อหน้าเหล่ามังกรและสัตว์ร้ายของสำนักบำเพ็ญประจิม
มีอักขระเต๋าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเจ็ดตัวหมุนวนเวียนอยู่บนน้ำเต้านั้น เห็นได้ชัดว่า ห้าในบรรดาเจ็ดอักขระเต๋าเหล่านั้น คือ พลังแห่งธาตุทั้งห้า
ตัวตนของหลี่ฉางโซ่ว พลังที่เขาสะสมเอาไว้ก่อนหน้านี้ และความแข็งแกร่งของร่างกายยามเมื่อเขาสกัดกั้นลูกศรเมื่อครู่นี้…
ทันทีที่สมบัติปรากฏขึ้น ลูกกระเดือกของอ๋าวฉื้อก็สั่นระริก
นี่คือสมบัติอันใดกัน?
ปรมาจารย์ผู้หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เทพวารี เจ้าคิดว่านี่คือเถาน้ำเต้าเซียนโบราณที่จะหยุดพวกเราได้เช่นนั้นหรือ?”
“ทุกคน พวกเจ้าอาจไม่รู้ แต่เถาน้ำเต้าเซียนของข้านี้ มีต้นกำเนิดพิเศษเหนือสามัญ”
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กวาดแส้หางม้า เขาเพียงแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น แล้วเหตุใดเขาต้องต่อสู้และเข่นฆ่าด้วยเล่า? เขาอาจเพียงใช้ถ้อยคำลึกลับล่อหลอกสุดๆ เท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยเอาไว้
จู่ๆ ก็เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบภายใต้แส้หางม้า และสายฟ้าสายเล็กๆ ก็ฟาดลงไปที่น้ำเต้าทางด้านซ้ายสุดของเถาน้ำเต้า ทันใดนั้น น้ำเต้าก็ระเบิดออกและแสงสีทองก็พุ่งเข้าไปภายใน
จากนั้นเด็กชายในเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นก็กระโดดตีลังกาออกมา เด็กชายผู้นั้นสวมน้ำเต้าสีแดงอยู่บนศีรษะ ร่างของเขาพลุ่งพล่านไปด้วยลมปราณเซียนจิน ให้ความรู้สึกถึงลมปราณที่ทรงพลังแกร่งกล้า
หลังจากที่เขากระโดดลงไปที่พื้น เขาก็ตีลังกากลับหลังติดต่อกันหลายสิบครั้งทันที จากนั้นเขาก็จัดวางท่าทางเรียบง่ายและอ้าปากร้องตะโกนว่า “ข้า ต้าหวา[2] แกร่งกล้าเกรียงไกรไร้ต้าน!”
พวกกบฏจากวังมังกรล้วนขมวดคิ้ว มังกรลุกขึ้นทันทีและกำลังจะกล่าวว่าเขาจะต่อสู้ ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น แล้วสายฟ้าอีกสายหนึ่งก็ฟาดลงมาที่น้ำเต้าลูกที่สองบนเถาน้ำเต้า ทันใดนั้น น้ำเต้าก็ระเบิดออกและเด็กอีกคนหนึ่งก็กระโดดออกมา…
หลังจากจงใจเสียเวลาโอ้อวดแล้ว เด็กชายก็วางท่าอยู่ข้างๆ เด็กคนโต
“ข้า เอ้อร์หวา[3]! ลู่ลมพันลี้[4]!”
จากนั้น…
“ข้า ซันหวา[5] กายาเหล็กกล้า!”
“ข้า ซื่อหวา[6]! บัญชาไฟสวรรค์!”
“ข้า อู่หวา[7] กลืนกินสิ้นหล้า!”
“ข้า ลิ่วหวา[8]!”
เหล่ามังกรทั้งหมดล้วนมองดูอย่างสนใจ แต่พวกเขาก็ได้ยินเพียงเสียงและมองไม่เห็น พวกเขาเงยศีรษะขึ้นมองดูเถาน้ำเต้าโดยไม่รู้ตัว และพบว่าน้ำเต้าลูกที่หกบนเถาน้ำเต้านั้นแตกร้าวแล้วจริงๆ
หลี่ฉางโซ่วจงใจเก็บพวกมันไว้อย่างใจจดใจจ่อและไม่สะบัดหางม้า
จากที่ที่เสียงเหล่านั้นดังมาเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น มา
“เคลื่อนไหวไร้ร่องรอย!”
จากนั้น เผ่ามังกรส่วนใหญ่ก็มองไปที่น้ำเต้าผลที่เจ็ด ทว่าหลี่ฉางโซ่วทิ้งช่วงเวลาเอาไว้ให้พวกเขาสงสัยใคร่รู้ และไม่ได้สะบัดแส้หางม้าเป็นเวลานาน
บรรยากาศในห้องโถงขณะนั้น เคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้ำเต้าทั้งหกที่ลงมาก่อนหน้านี้ นอกจากคนที่หกที่ดูสับสนเล็กน้อยแล้ว เด็กน้ำเต้าที่เหลือก็ได้รวบรวมลมปราณของพวกเขาแล้วก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลหนึ่งที่ลึกลับ…
ทว่าพวกเขาจะต้านทานเหล่าปรมาจารย์จำนวนมากได้อย่างไรกัน?
อ๋าวฉื้อหรี่ตาและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เทพวารี นี่คือวิธีของเจ้าใช่หรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและคำนวณร่องรอยของปรมาจารย์ทั้งสามในใจ และตระหนักว่าบัดนี้เขาได้เสร็จสิ้นภารกิจส่วนใหญ่แล้ว
จากนั้นเขาก็ตวัดแส้หางม้าอีกครั้ง และสายฟ้าอีกสายก็ฟาดลงมาที่น้ำเต้าผลที่เจ็ด น้ำเต้าแตกออก และร่างที่สง่างามก็ลอยออกมาจากภายในนั้น กลายเป็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างเด็กๆ ทั้งหกคน
นางหน้าแดงและโบกผ้าเช็ดหน้าขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงสะบัดสะบิ้งว่า “ข้า ชีหวา เกลียดมัน”
ทันใดนั้น ปรมาจารย์เผ่ามังกรรุ่นเยาว์หลายคนก็ลื่นเถลือกไถล ล้มกลิ้งลงไปกับพื้น
………………………………………………………………..
[1] มังกรกบฏ
[2] เด็กคนโต
[3] เด็กคนที่สอง
[4] แฝงนัยความหมายว่า เดินทางหรือทำอะไรก็ราบรื่น
[5] เด็กคนที่สาม
[6] เด็กคนที่สี่
[7] เด็กคนที่ห้า
[8] เด็กคนที่หก