ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 57 การทำบุญ (2)
คราวนี้หลี่ฉางโซ่วได้เสียสละใช้ผงยาเซียนระทวยระดับพิเศษสูงสุดสองขวดสุดท้าย
แม้ปีศาจใหญ่รายนี้จะมีขอบเขตพลังบำเพ็ญเต๋าที่สูงกว่า แต่ก็ต้านทานฤทธิ์ยาได้น้อยกว่าองค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลบูรพาที่เขาเคยพบมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด และการกระทำของมันก็เชื่องช้าลงมากอย่างกะทันหัน
ในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งหกตัวโปรยผงพิษในมือของพวกมันเสร็จแล้ว แต่ละตัวก็ถือกระบี่พุ่งไปข้างหน้าในลักษณะกากบาท นอกจากนี้ยังมียันต์ที่เชื่อมต่อกันด้วยแสงเซียนในทะเลอีกด้วย
บัดนี้ ค่ายกล กระบี่ และเพลิงสมาธิแท้ กำลังสำแดงอานุภาพของพวกมันออกมาพร้อมกัน!
ค่ายกลยันต์เป็นเสมือนโซ่ตรวนที่ตรึงปีศาจใหญ่ตัวนี้เอาไว้ทั่วทุกทิศทาง พลังเวทของยันต์ทั้งแถวระเบิดออก ปิดผนึก เผาไหม้ แข็งค้าง ย่างเกรียม และอื่นๆ…
เวลานี้ร่างปีศาจส่วนใหญ่ถูกผงพิษกัดกร่อนจนสูญเสียพลังป้องกันของมันไปมากแล้ว
กระบี่เซียนทั้งหกเล่มที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงสมาธิแท้ได้กรีดเฉือนมัน และยังผ่าแยกตัดผ่านกันลงไปอีกหกรอยบนร่างของปีศาจใหญ่ในทันที!
เปลวเพลิงสมาธิแท้ก็บุกทะลวงเข้าแทรกซึมไปในรอยแยกทุกที่และจุดไฟลุกโชนขึ้นโดยใช้แก่นร่าง ปราณ และวิญญาณของปีศาจเป็นเชื้อเพลิง
ไฟมหึมาก็ลุกโหมโอบล้อมรอบปีศาจใหญ่ในทะเลตัวนี้โดยที่มันส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย
ภายในต้นไม้ริมชายฝั่ง หลี่ฉางโซ่วกำหมัดซ้ายของเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับที่ตุ๊กตากระดาษทั้งหกตัวต่างก็ถือกระบี่เพลิงและพุ่งเข้าไปในแต่ละส่วนของร่างปีศาจตัวนี้
ภายในกำแพงค่ายกล ก็มีเปลวเพลิงลุกโชนโชติช่วงอยู่ในน้ำทะเล!
ในพริบตานั้นพื้นผิวทะเลก็ระเบิดขึ้นสูงราวกับน้ำพวยพุ่งออกมาเป็นลำขึ้นไปในอากาศ และเศษซากศพจำนวนมากที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสมาธิแท้ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยที่วิญญาณปีศาจซึ่งอยู่ภายในนั้นก็ถูกขังตรึงอยู่กลางอากาศด้วยค่ายกลสายโซ่ยันต์ที่ยาวเหยียดในขณะที่ถูกเปลวเพลิงสมาธิแท้เข้าลุกโหมครอบคลุมจนท่วมทั่ว!
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ใช้เวทหลบหนีแห่งเบญจธาตุ นับตั้งแต่หลีกรุกข์เร้นกาย ย้ายไปสู่หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายและใช้หลีกลี้วารีเร้นกายต่อเนื่องในคราวเดียว แล้วร่างของเขาก็พุ่งตรงไปยังจุดที่เขาวางค่ายกลกับดักเอาไว้
เมื่อมาถึงค่ายกลแล้ว ตุ๊กตากระดาษสามตัวก็นั่งอยู่ในท่าดอกบัวบนผิวทะเล สวดพระสูตรแห่งการหลุดพ้น มนตราสังสารวัฏ และมนตราขจัดภัยพิบัติ
จากนั้นตุ๊กตากระดาษอีกสามตัวก็กำจัดผงพิษที่หลงเหลืออยู่ในน้ำทะเลและอ้าปากดูดน้ำทะเลที่ปนเปื้อนและเปลวไฟที่ไม่อาจมอดดับได้เข้าไปในท้องของพวกมัน เพื่อนำไปปรับแล้วเอากลับมาใช้ใหม่ในภายหลัง
เพลิงสมาธิแท้นั้นช่างดุร้ายรุนแรงจริงๆ ในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ร่างมหึมาของปีศาจใหญ่ตัวนี้ก็กลายเป็นเพียงเถ้าธุลีบนพื้นผิวทะเล
เมื่อหลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นจากน้ำ จู่ๆ ก็มีคำถามผุดขึ้นมาในใจของเขา
พลังเพลิงสมาธิแท้นั้นแข็งแกร่งเกินไป หากจำเป็นต้องใช้มันเพื่อหลอมโอสถภายในสำนักและจู่ๆ ก็มีผู้ที่ยืนดูอยู่เอ่ยถามเขาว่าฝึกฝนเพลิงสมาธิแท้ได้อย่างไร แล้วจะไม่เป็นไรหรือ…
ถึงเวลาที่จะคิดหาวิธีลดพลังเพลิงสมาธิแท้นี้แล้ว หากสามารถควบคุมพลังนั้นและสามารถปรับได้ตามต้องการย่อมจะเป็นการดีที่สุด
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ขว้างไข่มุกสะกดวิญญาณออกไป และเมื่อเขาโบกแขนเสื้อขึ้น กองขี้เถ้าพร้อมน้ำทะเลก็ถูกดูดเข้าไปในฝ่ามือของเขา แล้วจับตัวเป็นก้อนกลายเป็นลูกทรงกลมน้ำ ก่อนจะถูกโยนขึ้นไปในอากาศแล้วระเบิดอย่างนุ่มนวลมลายไปสิ้น
น่าแปลก ที่มันทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาไปหน่อย…
ขณะที่ยังสวดมนต์ต่อไป หลี่ฉางโซ่วก็ถือไข่มุกสะกดวิญญาณและตรวจสอบชิ้นส่วนความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ภายในนั้น
ปีศาจใหญ่ตัวนี้ไม่ได้มาจากทะเลทักษิณ แต่เดิมมันอาศัยอยู่ในทะเลประจิม…
บรรพบุรุษของพวกมันไม่มีผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่มากนัก และเผ่าปีศาจที่อยู่ใต้ท้องทะเลลึกก็ไม่อาจช่วยสนับสนุนได้เพราะขาดโชควาสนา
ปีศาจปลาตัวนี้เข่นฆ่าคนมานับไม่ถ้วนในขณะที่มีชาวประมงในทะเลมากมายถูกมันสังหาร และเขาก็สังหารมันในนามของสวรรค์
ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีทองพุ่งผ่านไปบนทะเล และเข้าไปที่ลำแขนของหลี่ฉางโซ่ว
ฉับพลันนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ท่วมท้นไปด้วยการรู้แจ้งระดับเล็กที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขารู้สึกว่า เต๋าของเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองเพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าการแสวงหาอายุขัยยืนยาวของเขาจะราบรื่นขึ้นอีกเล็กน้อย
และนี่ก็คือบุญ
ครั้นเมื่อคาดคะเนคร่าวๆ เขาก็พบว่า บางทีด้วยการสังหารปีศาจเหล่านี้สองสามล้านตัว เขาจึงจะสามารถสร้างร่างทองแห่งบุญได้ เช่นนั้นแล้วก็ช่างมันเถิด อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะอยู่บนภูเขาในสำนักโดยไม่ต้องออกไปที่ใดอีก
“หือ?”
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วพลันขมวดคิ้วเมื่อเห็นบางสิ่งแปลกประหลาดในเศษเสี้ยวความทรงจำนี้
ปีศาจใหญ่ตนนี้ได้ลอบโจมตีหมู่บ้าน แล้วแกล้งทำเป็นว่าถูกรูปปั้นดินเหนียวขับไล่จนกลับไปแฝงตัวอยู่ในทะเล…
จากนั้นมันก็โจมตีหมู่บ้านอื่น แล้วแกล้งทำเป็นถูกรูปปั้นดินเหนียวขับไล่และกลับไปซ่อนตัวอยู่ในทะเลอีก…
มุมปากของหลี่ฉางโซ่วสั่นเทาขึ้นฉับพลัน และเมื่อเพิ่งสวดจบ เขาก็เก็บตุ๊กตากระดาษ อาวุธเวทรวมถึงถุงเก็บสมบัติของเขาไปในทันที
เขาไม่กู้คืนฐานค่ายกลกลับคืนมา แต่รีบทำลายค่ายกลในบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้เคล็ดวิชาลวงตา และเวทลวงตา ก่อนจะใช้หลีกลี้วารีเร้นกายพุ่งไปทางทิศตะวันออกอย่างตื่นตระหนก
ปีศาจใหญ่ตัวนี้มาจากสำนักบำเพ็ญประจิม!
มันอยู่กับผู้แสดงธรรมกถาเหล่านั้นในหมู่บ้านสง!
ในคราแรกพวกเขาจะส่งเสริมการเผยแผ่แก่นคำสอนของสำนักบำเพ็ญประจิมที่นั่น และรอให้ปีศาจใหญ่แอบโจมตี ก่อนจะใช้รูปปั้นดินเหนียวนั้นมาหลอกล่อ แกล้งทำเป็นขับไล่ปีศาจใหญ่เพื่อแสดง ‘ปาฏิหาริย์’ แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากกลุ่มผู้ศรัทธาที่ถวายเครื่องสักการะต่างๆ ให้แก่สำนักบำเพ็ญประจิมอย่างหลงเชื่องมงาย!
อุบายร้ายเช่นนี้ต่ำช้าน่ารังเกียจยิ่ง แต่หลี่ฉางโซ่วก็หาใช่คนชอบธรรมที่จะไปหักล้างและเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ประสงค์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญประจิมจริงๆ
บัดนี้สองปราชญ์เทพแห่งแดนประจิมชอบช่วยเหลือผู้คนในแดนประจิมและยังวางแผนที่จะตั้งตนขึ้นเป็นเทพเจ้าอีกด้วย
ปราชญ์เทพแห่งแดนประจิมสองคนนี้วางแผนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งก่อนและหลังทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ!
หลังจากปราบดาตนขึ้นเป็นเทพแล้ว เหล่าจื้อก็ได้เปลี่ยนคนป่าเถื่อนให้เป็นพุทธและบีบบังคับให้สำนักบำเพ็ญเต๋าประจิมกลายเป็นสำนักพุทธมหายาน
มันเป็นเรื่องของการเผยแผ่คำสอน และห้าปราชญ์เทพล้วนมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องด้วย!
ในหมากกระดานนี้ แม้แต่เซียนต้าหลัวจินก็ยังเป็นเพียงเบี้ยที่เหล่าปราชญ์เทพเล่นกันตามต้องการ แล้วจะนับประสาอะไรกับเซียนน้อยเช่นเขาที่เพิ่งผ่านทัณฑ์สวรรค์เล่า!
ข้าไม่อาจยั่วยุให้พวกเขาขุ่นเคืองได้ จึงต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุด
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็พุ่งไปข้างหน้าเร็วรี่โดยใช้หลีกลี้วารีเร้นกายสลับไปกับหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายเพื่อมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
เดิมทีเขาคิดว่าขีดจำกัดในการเดินทางของเขาอยู่ที่หนึ่งแสนลี้ต่อวัน แต่ไม่คาดว่าเขาจะไปได้เกินกว่านั้นภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
นี่คือศักยภาพที่พุ่งพรวดขึ้นเมื่อตื่นกลัว
หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วขึ้นฝั่งได้แล้ว เขาก็หาสถานที่หลบซ่อนเพื่อเตรียมการแต่งหน้าและปลอมตัวทั้งด้วยวิธีทางกายภาพและการใช้เวทให้พร้อม
คราวนี้หลี่ฉางโซ่วกลายร่างเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอและรีบมุ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
มือขวาของเขาถือไข่มุกสะกดวิญญาณเอาไว้และซ่อนมันอยู่ในแขนเสื้อในขณะที่เขาตรวจสอบความทรงจำที่กระจัดกระจายของปีศาจใหญ่ตัวนี้อย่างรอบคอบ
และไม่นานหลังจากนั้น เขาก็พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้น
หลี่ฉางโซ่วยังได้ยินการสนทนาถึงเรื่องสำนักเซียนของสามสำนักบำเพ็ญเต๋า ซึ่งในระหว่างการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ก็มีใครบางคนพูดถึงปีศาจใหญ่ตัวนี้
……
เมื่อหลี่ฉางโซ่วหลบหนีไปได้ห้าหมื่นถึงหกหมื่นลี้…
ที่หมู่บ้านสง ในขณะนี้กลุ่มชายและหญิงผู้แข็งแกร่งกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายและหาว ขณะที่ดูผู้คนเหล่านี้กระโดดไปรอบๆ บนเวที
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ยังคงงุนงงอยู่เล็กน้อยขณะที่ยังคงมองสบตาของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
ตามหลักการแล้ว นายท่านของพวกเขาควรจะปรากฏตัว ทว่าเหตุใดจึงไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ เลย
หรือนายท่านของพวกเขาจะนอนหลับเพลินไปสักหน่อย เขาเข้าใจสถานที่ผิดหรือไม่
มีการร่ายรำสวดขอพรนี้มาสามครั้งแล้ว และชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างก็รู้สึกรำคาญจนเบื่อที่จะดูแล้ว
“แค่กๆ!”
นักพรตเต๋าชรากระแอมไอเบาๆ แล้วหยุดสวดมนต์ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “หากพวกเจ้าศรัทธาในเทพเจ้า พวกเจ้าก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเหล่าทวยเทพ! และจะอยู่ยงคงกระพัน!…หวังไฉ เจ้ามาแสดงให้ทุกคนดูสักหน่อยสิ”
ชายหนุ่มผู้ที่ได้รับเลือกก็ตกลงตามนั้นทันที เขาได้แอบแปะยันต์ไว้บนร่างของเขาและคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นดินเหนียวเพื่อถวายเครื่องสักการะ จากนั้นก็มีแสงสีทองปรากฏขึ้นที่หน้าอกและด้านหลังของเขา
ยันต์นี้เรียกว่ายันต์วัชระ ซึ่งถือว่าเป็นยันต์พื้นฐานขั้นต้น ซึ่งสามารถต้านอาวุธในดินแดนมนุษย์ได้อย่างไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ศิษย์หนุ่มคนนี้ก็ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวและกำลังจะทำตาม ‘กระบวนการ’ ที่จะเรียกคนเพิ่มอีกหนึ่งหรือสองคนให้ขึ้นมาแล้วใช้มีดดาบฟันร่างของเขา
แต่เท่าที่ตาของเขามองเห็น เขาก็รวบรวมความคิดของเขา แล้วจู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นรัวแรงในขณะที่มีสัญญาณกระตุ้นเตือนปรากฏขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อมองไปทั่วทั้งลานที่แออัด เขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ซึ่งดูแข็งแรงมากอย่างเหลือเชื่อ ร่างของหวังไฉค่อยๆ กลืนไปกับเงา ขณะที่มุมปากของเขากระตุกขึ้นสองสามครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อพบเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งที่มีดวงตาบวมและแดงก่ำอยู่ข้างหลังฝูงชน จึงชี้ไปที่นางอย่างยินดีแล้วกล่าวว่า “แม่นาง เจ้าขึ้นมาลองฟันข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
“หือ? เอ๋”
สงหลิงลี่เงยหน้าขึ้นมองพลางเช็ดน้ำตาของนาง ใบหน้าเล็กๆ ของนางช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
ทว่าขณะที่นางเบียดเสียดร่างออกมาจากฝูงชนนั้น ขาของหวังไฉก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นี่…นี่…
โอ…นี่เป็นลักษณะเฉพาะของชาวบ้านที่นี่ซึ่งสามารถเข้าใจได้
สงหลิงลี่ก็ถามเสียงเบาว่า “จะให้ข้าฟันเจ้าจริงๆ หรือ”
“ใช่ ใช่แล้ว”
หวังไฉหันศีรษะและมองไปเหมือนขอปรึกษากับคนสำคัญอีกคนในกลุ่มของเขา นักพรตเต๋าชราก็จ้องเขม็งกลับมาที่เขา หวังไฉจึงทำได้เพียงยอมรับ ในขณะที่เฝ้าบอกตัวเองในใจตลอดเวลาว่า…
เด็กสาวคนนี้ก็แค่แข็งแรงกว่านิดหน่อย
นางเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่ง
ใช่แล้ว นางเป็นเพียงมนุษย์
ส่วนพวกเราเป็นถึงผู้บำเพ็ญ พวกเรา…จะไม่หวาดกลัว
……………………………………………………………