ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 588 วิญญาณงดงาม (1)
บทที่ 588 วิญญาณงดงาม (1)
เหตุใดกัน…
เห็นได้ชัดเจนว่า ข้าเป็นคนเริ่มทำมันก่อน…
ในขณะนั้น บนเส้นทางเมฆใกล้กับหอสมบัติหลิงเซียว รองผู้บัญชาการแห่งกองทัพเรือเทียนเหอ เปี้ยนจวง ซึ่งกำลังถือคราดฟันเก้าซี่ ได้มองไปที่ร่างทั้งสองที่กำลังขี่เมฆมาในระยะไกล
เขายังได้ยินแม้กระทั่งบทสนทนาในสายลม…
“เทพวารี ข้าแต่งตัวเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
แม่ทัพสวรรค์ที่ไม่รู้จัก ปรากฏตัวออกมาจากที่ใดก็สุดรู้ เขาอยู่ในชุดเกราะสีม่วงขณะอ้าแขนออกด้วยรอยยิ้มและหมุนตัวไปรอบๆ เล็กน้อยอยู่บนก้อนเมฆนั้น
เทพวารีพยักหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
นี่ เสียงหัวเราะที่ภาคภูมิใจนี้… เปี้ยนจวงเต็มไปด้วยความคับแค้นและขุ่นเคืองใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด เขารู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มือและเท้าเย็นเฉียบในขณะที่น้ำตารินไหลอาบใบหน้า เขาปรารถนาจะพุ่งออกไปข้างหน้าแล้วร้องตะโกนออกไปจริงๆ
ข้าจะฉอเลาะเทพวารีด้วยได้หรือไม่?
เสียงทักทายมาจากด้านหลัง “ท่านผู้บัญชาการเปี้ยน? ฝ่าบาทเรียกเราแล้ว”
“ไปกัน!”
เปี้ยนจวงหดคอและแบกคราดฟันเก้าซี่ของเขาเอาไว้บนหลังราวกับว่ามันเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ จากนั้น เขารีบวิ่งเข้าไปในหอสมบัติหลิงเซียวพร้อมกับทหารสวรรค์มากกว่าสิบคนที่เป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการอย่างรวดเร็ว
ตามบัญชาที่หอทงหมิงแจ้งมาก่อนหน้านี้ ทั้งสิบสองกองกำลังแห่งศาลสวรรค์จะเปิดการเริ่มรับคัดเลือกเกณฑ์ทหารและแม่ทัพสวรรค์กลุ่มใหม่เข้ามาในไม่ช้านี้
องค์เง็กเซียนเรียกพวกเขามาในคราวนี้ บางทีก็น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้…
ในขณะนั้น สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วจับภาพเหตุการณ์นั้นได้ เขาได้พูดคุยถึงเรื่องรายละเอียดของเงื่อนไขข้อบังคับปลีกย่อยในการรับคัดเลือกเพิ่มจำนวนทหารสวรรค์กับร่างจำแลงที่สองขององค์เง็กเซียน จ้าวเต๋อจู้
เมื่อศาลสวรรค์ในยามนี้ได้ทำการคัดเลือกทหารสวรรค์ พวกเขาก็จะหลอกล่อให้บรรดาทหารสวรรค์เข้าร่วมในกองทหารต่างๆ และเหล่าแม่ทัพที่เป็นผู้บัญชาการกองทหารเหล่านั้นจะฝึกฝนพวกเขาด้วยตัวเอง
การปฏิรูปต่างๆ ที่หลี่ฉางโซ่วเสนอนั้นไม่ถือว่ารุนแรงสุดขั้วขนาดถึงรากถึงโคนฐาน พวกเขาจะเพียงเพิ่ม “กระบวนการขั้นตอน” ให้กับระบบอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งสวรรค์ในเวลานี้เท่านั้น
“สร้างหอคลังทหารกองหนุน ซึ่งทหารสวรรค์ทุกคนที่เข้าสู่ศาลสวรรค์จะได้รับการฝึกฝนจากหอคลังทหารกองหนุน และหลังจากที่พวกเขาเรียนรู้วิธีการสร้างค่ายกลแล้ว พวกเขาก็จะถูกเหล่าแม่ทัพสวรรค์ต่างๆ ที่อยู่ในสิบสองกองทหารแห่งศาลสวรรค์คัดเลือกไป”
ด้วยวิธีการเช่นนั้น วัฏจักรเวลาที่จะสร้างทหารสวรรค์ใหม่ให้กลายเป็นพลังรบก็จะร่นระยะเวลาลงได้มาก นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างสมดุลความแข็งแกร่งของกองทหารต่างๆ ได้อีกด้วย…
ในขณะนั้น ร่างจำแลงที่สองขององค์เง็กเซียน จ้าวเต๋อจู้ ก็ได้กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ขุนนางฉางเกิงของข้า ข้ากำลังคิดถึงเรื่องแหล่งที่มาของกองทหารที่เจ้ากล่าวถึงเมื่อก่อนหน้านี้
หากข้าต้องการเกณฑ์ทหารสวรรค์ให้เพียงพอในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจอาศัยเพียงเผ่ามนุษย์สวรรค์แห่งสวรรค์ต่ำกว่าชั้นที่สามเท่านั้นได้จริงๆ
แม้ว่ามันเป็นอย่างที่เจ้าพูดไปก่อนหน้านี้ มันก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างผู้ฝึกบำเพ็ญพเนจรที่ไร้สังกัดจากดินแดนเทวะทั้งห้าและตรีสหัสโลกธาตุ
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะตัดสินลักษณะตัวตนของผู้คนด้วยบุญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แม้จะมีทหารสวรรค์จำนวนมาก และพวกเขาก็ไม่ได้จัดอยู่ในตำแหน่งเทพ แต่ศาลสวรรค์ก็เป็นสถานที่สงบสุข ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องคัดเลือกผู้ที่มีลักษณะนิสัยดีมารวมอยู่ด้วย…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงไม่รับคัดเลือกบรรดาศิษย์จากสำนักเซียนต่างๆ ให้มารับใช้ศาลสวรรค์?”
“ข้าเคยลองพยายามทำเช่นนั้นมาก่อนแล้ว ทว่ามีน้อยคนนักที่ตอบกลับ” จ้าวเต๋อจู้ดูอับจนหนทางเล็กน้อยเมื่อกล่าวต่อว่า “แม้ศาลสวรรค์จะถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “หากเราใช้วิธีเอาผลประโยชน์เข้าล่อโดยใช้บุญและวัสดุล้ำค่าเพื่อเป็นตัวกระตุ้น และขับเคลื่อนพวกเขา ก็ยังยากที่จะรับรองได้ว่าทหารสวรรค์ที่เราเกณฑ์มานั้น จะจงรักภักดีต่อศาลสวรรค์ หากพวกเขาพบกับการต่อสู้ที่ยากลำบาก ก็เกรงว่า บางทีพวกเขาคงจะหนีไปกันหมด…”
“เจ้ามีความคิดใดหรือไม่?”
“มีสามวิธี เป็นกลยุทธ์ที่รวดเร็ว ปานกลาง และช้า” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางหยิบม้วนตำราออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้จ้าวเต๋อจู้
จากนั้นจ้าวเต๋อจู้ก็ต่อยๆ คลี่เปิดม้วนตำรานั้นออกด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมอย่างยิ่งแล้วกล่าวว่า “ให้ทหารสวรรค์สาบานตนร่วมกัน… โครงการสุดยอดทหารสวรรค์… ฐานฝึกทหารสวรรค์ตรีสหัสโลกธาตุ… ขุนนางของข้า ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “เทพน้อยพยายามคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรดูระหว่างทางได้ หากทรงไม่พอพระทัย หรือเทพน้อยคิดการณ์ไม่ละเอียดรอบคอบพอ ก็ขอให้พระองค์ทรงโปรดชี้แนะด้วย เทพน้อยจะปรับเปลี่ยนมันทันที”
จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษาหารือกันถึงเรื่องบันทึกเสนอแนะ[1]นั้นอย่างจริงจัง
จ้าวเต๋อจู้เอ่ยชื่นชมซ้ำๆ และไม่รู้สึกว่ามีอันใดผิดไปในม้วนตำรานั้น เขาถือม้วนตำรานั้นและอ่านมันอย่างระมัดระวัง แต่แล้ว เขาก็รีบเก็บมันไปอย่างรวดเร็ว…
เขาไม่มีทางเลือกเมื่อเขามาถึงตำหนักเทพวารีแล้ว
ในขณะนั้น องค์หญิงที่รอคอยมาเป็นเวลานานก็กระโดดขึ้นไปบนก้อนเมฆ แล้วโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่ว นางกะพริบตาและถามอย่างไม่มั่นใจว่า “เทพวารี… เวลานี้ท่านกำลังจะไปใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “แม่ทัพจ้าวผู้นี้จะไปที่แดนยมโลกกับข้าเพื่อทำภารกิจ และเราอาจจะเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดรในภายหลังด้วย ท่านอยากไปด้วยกันหรือไม่?”
“ไปสิ ไป!” ดวงตาของหลงจี๋เปล่งประกายและนางก็พยักหน้าหงึกหงักหนักแน่นทันที
หลี่ฉางโซ่วเตือนว่า “องค์หญิง ฝ่าบาทยังต้องปกปิดตัวตนหลังจากนี้ ในตอนนี้ โปรดเรียกเทพน้อยว่าศิษย์พี่ และอย่าบอกเรื่องตัวตนของพระองค์กับคนอื่น แม่ทัพจ้าวเป็นแม่ทัพคนสนิทที่ฝ่าบาทองค์เง็กเซียนทรงไว้วางพระทัย ดังนั้นห้ามเสียมารยาทกับเขาด้วย”
“หลงจี๋ขอคารวะท่านแม่ทัพจ้าว!”
“อืม” จ้าวเต๋อจู้พยักหน้ารับอย่างสงบ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาจึงทำได้เพียงมองไปที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งกำลังยิ้มพร้อมกับหรี่ตา จากนั้น เขาก็ถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เทพวารี พวกเราออกเดินทางกันเถิด”
“ตกลง”
หลี่ฉางโซ่วสะบัดแส้หางม้าและพาทั้งบิดาและบุตรสาวคู่หนึ่ง มุ่งหน้าตรงไปทางประตูสวรรค์บูรพา
ในขณะนั้น แดนยมโลกยังไม่ได้กลับมาอยู่ในการดูแลของศาลสวรรค์ และไม่มีเส้นทางตรงไปยังแดนยมโลก ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเดินทางอ้อมออกไปด้านนอกทะเลบูรพาเท่านั้นเพื่อรีบพุ่งไปยังแดนยมโลก
บางทีอาจเป็นเพราะการมีคนใหม่แปลกหน้าเพิ่มเข้ามา หลงจี๋จึงเงียบกว่าเมื่อก่อนมาก ชุดกระโปรงของนางพลิ้วกระพือและเส้นผมยาวของนางก็ปลิวไหวแกว่งไกวเบาๆ ในขณะที่เด็กสาวผู้เงียบขรึมเผยลักษณะท่าทางสุภาพอ่อนโยนและสง่างามออกมา…
หลี่ฉางโซ่วยิ้มให้จ้าวเต๋อจู้ และกล่าวว่า “องค์หญิง ทรงมีสิริโฉมงดงามและเฉลียวฉลาดยิ่ง แม้ในยามนี้ยังทรงพระเยาว์ แต่พระองค์ก็ย่อมจะสามารถช่วยฝ่าบาทแก้ปัญหาในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน ทว่าฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงไม่ประทานรางวัลให้แก่หลงจี๋และสถาปนาฐานันดรศักดิ์ให้นาง?”
จ้าวเต๋อจู้ส่ายศีรษะและหัวเราะเบาๆ เขาตอบกลับผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ไว้รอจนกว่าศาลสวรรค์จะผงาดขึ้นก่อน แล้วเราค่อยมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน ตอนนี้ศาลสวรรค์ยังไม่มั่นคง และระดับฐานพลังของนางก็ยังต่ำ ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ทว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น ขุนนางของข้า เจ้าไม่ประสงค์จะรับนางเป็นศิษย์จริงๆ หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กล่าวตามตรง เทพน้อยฝึกบำเพ็ญมาเพียงไม่กี่ร้อยปี ฝ่าบาทหลงจี๋…”
“อายุเป็นเพียงตัวเลขสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญ” จ้าวเต๋อจู้ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าบอกว่า จี๋เอ๋อร์เฉลียวฉลาดยิ่ง นอกจากนี้ จี๋เอ๋อร์ยังชื่นชมเจ้า ฉางเกิง ตามที่พระมารดาของนางกล่าวมา นางพูดถึงเทพวารีได้ทุกวัน แม้กระทั่งในยามหลับ นางก็ยังไม่หยุดพูดถึงเจ้าในยามฝัน
แม้ข้าจะเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์ แต่ข้าก็ไม่อาจบังคับเจ้าได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะต้องตัดสินใจเอง…ความจริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากนางไม่อาจกลายเป็นศิษย์ของเจ้าได้ การประทานสมรสให้เจ้ากับนาง ก็นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกัน เรื่องแต่งงานกับสตรีที่มีอายุมากกว่าเจ้าสามพันปีก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ประทานให้!
ทันใดนั้น ร่างชราของหลี่ฉางโซ่วก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปสบถก่นด่าและบริภาษออกไปได้ที่ใดกัน
หากนี่คือชีวิตในชาติก่อนของเขา หากองค์เง็กเซียนมีพฤติกรรมเป็นผู้ปกครองศักดินาที่ตัดสินใจในเรื่องอารมณ์ของบุตรสาวโดยพลการเช่นนี้ องค์เง็กเซียนก็คงถูกนักมวยซ้อมและชกต่อยทุบตีไปแล้ว!
เขามองไปที่จ้าวเต๋อจู้แล้วหันศีรษะไปมองหลงจี๋ที่อยู่ด้านข้างพลางเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลงจี๋ เจ้ายังยินดีจะเรียกข้าว่าอาจารย์อยู่หรือไม่?”
ทันใดนั้น หลงจี๋ซึ่งแอบซึ่งแอบจินตนาการถึงภาพฉากอุปรากรใหญ่เรื่อง “เทพวารีและจ้าวเต๋อจู้” ก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ แล้วนางก็โน้มตัวไปข้างหน้าและยืนเขย่งเท้าพลางกล่าวว่า
“ยินดีสิ! หลงจี๋ยินดียิ่ง!”
“ข้าไม่อาจชี้แนะการฝึกบำเพ็ญให้เจ้าได้เช่นกัน ข้าเพียงแค่สอนเต๋ากลยุทธ์และแผนการให้เจ้าเท่านั้น” หลี่ฉางโซ่วกล่าว
จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อพลางยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “นี่คือชุดกลยุทธ์พิชัยสงครามที่อ๋าวอี่ได้จัดการเรียบเรียงเอาไว้ มันถือเป็นของขวัญให้เจ้าเมื่อเจ้าแรกเข้าสู่สำนัก”
หลงจี๋ลิงโลดใจยิ่งนัก นางกอดยันต์หยกเอาไว้ด้วยทนปล่อยมันไปไม่ได้ และในท้ายที่สุด นางก็โค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วสามครั้ง
หลังจากที่นางยืนขึ้น นางก็ตะโกนเรียกเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์…”
“อืม เรามาดูกลยุทธ์พิชัยสงครามนี้ก่อน หากเจ้าไม่เข้าใจก็ถามมาได้ทันที”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่นแล้วหันไปมองจ้าวเต๋อจู้ที่อยู่ข้างๆ
ในขณะนั้น จ้าวเต๋อจู้ส่ายศีรษะเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววผิดหวังออกมาเล็กน้อย…
ผิดหวังหรือ?
ฝ่าบาททรงร้อนพระทัยเพียงใดที่จะให้หลงจี๋แต่งงานออกไปหรือ?
มันเป็นเหตุผลเดียวกับที่ตีให้สงหลิงลี่หมดสติลงหรือไม่?
นี่นางยังเยาว์อยู่นะ! กว่าจะถึงวัยแรกดรุณของนางอย่างน้อยก็อีกสองสามพันปี!
………………………………………………………………..
[1] หมายถึงม้วนตำราที่หลี่ฉางโซ่วนำออกมาจากแขนเสื้อ