ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 7.1 งานชุมนุมเพื่อหาประสบการณ์ครั้งใหญ่ (1)
เมื่อหลี่ฉางโซ่วนำหลิงเอ๋อร์มาลงตรงหน้าหอไป่ฝาน ผู้คนมากมายหลายร้อยคนก็ได้มารวมตัวกันที่นี่แล้ว
จากระยะไกลนั้น หลี่ฉางโซ่วเห็นบุรุษหนุ่มและสตรีสาวสวมชุดคลุมเต๋าและกระโปรงยาวกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนดูดีในขณะที่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ดูย่ำแย่
ที่แห่งนี้ก็มีผู้บำเพ็ญหญิงพอๆ กับผู้บำเพ็ญชาย ส่วนใหญ่ล้วนดูงดงามและมีรูปร่างเพรียวบางซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนงดงามในรูปแบบแตกต่างกันไป ทว่าก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษดุจกระเรียนในฝูงไก่ ดั่งดวงจันทร์ที่ส่องสว่างไสวท่ามกลางเหล่าดวงดาราธรรมดา
ตัวอย่างเช่น หลันหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ หลี่ฉางโซ่วผู้นี้…
“นั่นหลิงเอ๋อร์แห่งยอดเขาหยกน้อยใช่หรือไม่ นางยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่านางมีคุณสมบัติที่ดีมากเช่นกัน นางเพิ่งเข้าร่วมสำนักของเราได้สิบปี แต่ก็อยู่ในระดับหลอมรวมปราณขั้นแปดแล้ว และกำลังจะทะลวงฝ่าเข้าสู่ขอบเขตสร้างปราณวิญญาณเทพในไม่ช้านี้”
“ข้าได้ยินมาว่ามีผู้อาวุโสที่ต้องการจะรับนางเข้ามา ในขณะที่พวกเราที่เหลือหาได้โชคดีเช่นนั้นไม่”
“แล้วคนที่อยู่ข้างๆ นางเป็นผู้ใดกัน”
“อ้อ ศิษย์พี่ของนาง ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่มากนักบนยอดเขาหยกน้อย คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในสามร้อยอันดับแรกของสำนัก ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจเขาสักเท่าใด”
“ข้าจำได้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีนามเต๋าว่าหลี่ฉางโซ่ว”
“ความจริงแล้วนามเต๋านี้…ก็ดูเรียบง่าย ธรรมดาและมีเอกลักษณ์อย่างยิ่ง”
“อย่าเที่ยวพูดถึงศิษย์จากยอดเขาอื่นลับหลัง! จงประพฤติตัวให้ดี! หากผู้อาวุโสของสำนักได้ยินเช่นนี้ พวกเขาจะคิดว่าคนจากยอดเขาของเราอ่อนด้อยการอบรม!”
ทว่าความจริงแล้วเสียงกระซิบพูดคุยกันเหล่านั้นดังก้องเข้าไปในหูของหลี่ฉางโซ่ว แต่เขาทำเสมือนไม่ได้ยินใดๆ ในขณะที่มุมปากของเขาหยักยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ใส่ใจส่งพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปตรวจจับรอบๆ ในกลุ่มเหล่านั้น แต่พาหลันหลิงเอ๋อร์ไปที่ห้องโถงเพื่อรายงานการเข้าร่วมของพวกเขา จากนั้นก็ไปที่มุมหนึ่งเพื่อรอคอย
เสียงระฆังยังคงดังกังวานอยู่ ในขณะที่จำนวนของเหล่าผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์ที่บินมาจากยอดเขาต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้เป็นงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่สำนักตู้เซียนจัดขึ้นในทุกๆ ห้าปีเพื่อให้บรรดาศิษย์ออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอันเป็นการให้พวกเขาได้ปรับปรุงการฝึกบำเพ็ญและเพิ่มพูนการหยั่งรู้ในเต๋าของพวกเขา
ศิษย์ทุกคนของสำนักสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเช่นนี้ได้ตามต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีจุดหมายปลายทางให้เลือกได้มากถึงสิบสองแห่ง ซึ่งเหมาะสำหรับศิษย์ในระดับขอบเขตพลังต่างๆ กันไป
โดยปกติแล้วสำนักตู้เซียนจะรับสมัครศิษย์ใหม่จำนวนมากในทุกๆ สองร้อยปี นั่นย่อมหมายความว่าแต่ละรุ่นจะมีเวลาต่างกันสองร้อยปี
กล่าวกันว่าศิษย์ที่ก้าวหน้ารวดเร็วที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นนี้อยู่ในระดับคืนกลับอนัตตาขั้นหกแล้ว เขาได้ตามทัน ‘พวกรุ่นเก่า’ อีกหลายคนที่ใช้เวลาฝึกบำเพ็ญมานับพันปี ทว่ามีศักยภาพเพียงแค่ปานกลางเท่านั้น
ขอบเขตหลอมรวมปราณ สร้างปราณวิญญาณเทพ คืนกลับอนัตตาและคืนกลับเต๋าวิถี นี่คือสี่ขอบเขตก่อนที่จะกลายเป็นเซียน พวกเขายังกำหนดความแข็งแกร่งและวิชาเวทของตัวเอง เช่นเดียวกับขีดจำกัดสูงสุดของการฝึกบำเพ็ญ รวมถึงวิถีแห่งเซียนหลังจากกลายเป็นเซียนแล้ว
หลันหลิงเอ๋อร์เพิ่งเข้าร่วมสำนักมาได้เมื่อสิบปีก่อน แม้ผู้ที่นางกราบเป็นอาจารย์จะเป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสำนักมากนักและยังไม่ได้ทะยานขึ้นสู่เซียน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังสามารถบรรลุไปถึงขอบเขตหลอมรวมปราณขั้นแปดได้ ซึ่งแน่นอนว่า นางย่อมได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
บัดนี้ทั้งสองศิษย์พี่ศิษย์น้อง หลี่ฉางโซ่วและหลันหลิงเอ๋อร์ต่างก็กำลังนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้โดยอยู่ห่างกันสามฉื่อ ในขณะนั้นก็มีผู้คนหลายคนต่างพากันมองดูพวกเขา ส่วนใหญ่ล้วนคิดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองนั้นไม่น่าจะดีเท่าใดนัก
หลันหลิงเอ๋อร์หักกิ่งหลิวแล้วหมุนมันไปมาระหว่างนิ้วของนางเบาๆ ความจริงแล้ว นางอยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาหลายครั้ง แต่ก็ยังเหนี่ยวรั้งตนเองเอาไว้ทุกครั้งเช่นกัน
มีสามด้านในปฏิญญาต้าเต๋าของพวกเขา อย่างแรกก็คือ พวกเขาจะต้องรักษาระยะห่างกันสามฉื่อเมื่ออยู่ต่อหน้าคนภายนอก
อย่างที่สองคือ ห้ามสนทนากันต่อหน้าคนภายนอกหากการสนทนานั้นไม่มีความหมายใดๆ
“ศิษย์พี่ ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ลองเดาดูสิ”
“หน็อยแน่ ท่านไม่บอกข้าเลย ข้าถามท่านมาหลายวันแล้ว” หลิงเอ๋อร์บ่นกระปอดกระแปดเบาๆ จากนั้นนางก็ยังพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วว่า “แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะติดตามท่านไปทุกที่ที่ท่านไป ข้าอยากจับตาดูอยู่ใกล้ๆ ท่าน”
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่เขาเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เขาก็กล่าวกับหลันหลิงเอ๋อร์โดยผ่านการส่งข้อความเสียงเข้าไปในหูของนางโดยตรง
“ศิษย์น้องหญิง บัดนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญที่ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยในขอบเขตหลอมรวมปราณ ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง”
หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวโต้แย้งอย่างชอบธรรมว่า “แต่ท่านอาจารย์สั่งให้ข้าคอยจับตาดูท่าน อาจารย์บอกว่าอย่าปล่อยให้ศิษย์พี่ออกไปสร้างปัญหา และเสียชื่อเสียงของยอดเขาหยกน้อยของเรา!”
หลี่ฉางโซ่วเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่เอ่ยตอบโต้อันใดอีก
หลังจากที่ระฆังดังหกครั้ง ก็มีเงาร่างพุ่งออกมาจากห้องโถงของหอไป่ฝาน แล้วศิษย์ผู้บำเพ็ญทั้งหมดราวกว่าหกสิบคนก็ยืนเรียงกันอยู่ในอากาศ
พวกเขาล้วนแตกต่างกัน บางคนมีเส้นผมสีขาวและมีรอยเหี่ยวย่น บางคนก็ยังดูเยาว์วัยดุจมีอายุราวยี่สิบแปดปี อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ดูเป็นผู้ใหญ่และดูมั่นคง
พวกเขาทั้งหกสิบสามคน ดูเหมือนแต่ละคนจะแผ่พุ่งลมปราณออกมาเล็กน้อย บัดนี้ด้านหน้าของหอไป่ฝานเงียบกริบในขณะที่มีแสงแห่งเซียนสาดประกายออกไปทั่วท้องนภา
นี่คือบรรดาเซียนผู้เป็นอมตะจากยอดเขาต่างๆ พวกเขาล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในระหว่างงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้
เมื่อได้ยินเสียงกระเรียนกู่ร้องพร้อมกับร่างกระเรียนขาวหงอนแดงปรากฏออกมาจากหมู่เมฆา และมีชายชราร่างผอมบางนั่งขัดสมาธิอยู่บนลำตัวของมัน
หากมองชายชราผู้นี้ใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามีเมฆมงคลจางๆ อยู่ทางด้านหลังของเขาและมีบงกชสีเขียวครามสองดอกลอยขนาบอยู่ด้านข้าง การปรากฏกายของเขาดูไม่ธรรมดา แม้เขาจะไม่แผ่กลิ่นอายลมปราณใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ทว่าผู้คนรอบข้างต่างก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขา
นี่คือปรมาจารย์จ้งอวี่ รองเจ้าสำนักตู้เซียน ว่ากันว่าเขาเป็นปรมาจารย์ระดับเซียนเทียนอยู่ในสิบอันดับสูงสุดของผู้บำเพ็ญแห่งสำนักตู้เซียน
ปรมาจารย์จ้งอวี่ไม่ได้กล่าวสุนทรพจน์นาน เปลือกตาของเขาหรี่ลงกึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากส่งเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วทั้งยอดเขาหลัก
“พวกเจ้าทุกคนต้องจำกฎของสำนักเมื่อออกไปเผชิญโลกภายนอกในครั้งนี้เอาไว้ให้ดี จงส่งเสริมและปกป้องชื่อเสียงของสำนัก ห้ามทำเรื่องอัปยศที่ทำให้สำนักของเราต้องอับอาย…
มีสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางทั้งหมดสิบสองแห่งในระหว่างงานชุมนุมครั้งนี้ เมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่า มีหลายสำนักตามชายฝั่งทะเลบูรพาถูกปีศาจโจมตี ข้าจึงหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเอาชนะปีศาจเหล่านี้และปกป้องเต๋ารวมถึงสหายร่วมเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา…
ผู้อาวุโสเก่อ ข้าขอส่งมอบภารกิจต่อให้พวกเจ้า เริ่มภารกิจได้ ณ บัดนี้”
ทันทีที่กล่าวจบ ปรมาจารย์จ้งอวี่ก็บินจากไปพร้อมกับกระเรียน เขาไม่ได้อยู่นานเกินจำเป็น ในขณะนั้น บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็โค้งคารวะเพื่อแสดงความเคารพขณะที่เขาจากไป
จากนั้นก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าหอซึ่งทำการคารวะเมื่อน้อมรับคำสั่งต่อ และทันทีหลังจากนั้นเขาก็ตะโกนก้องออกมาว่า “บรรดาผู้ที่จะมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งทะเลบูรพาเพื่อเข่นฆ่าปีศาจ จงออกมายืนทางด้านซ้ายสุด อย่างน้อย พวกเจ้าต้องอยู่ในขอบเขตหลอมรวมปราณขั้นหก! และผู้ที่มุ่งหน้าไปที่นั่นจะได้รับรางวัลตามจำนวนปีศาจที่พวกเจ้าสังหารได้”
บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน มีศิษย์เกือบครึ่งมุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายตรงหน้าหอ แล้วทันใดนั้นพื้นที่ตรงนั้นก็มีจำนวนคนคึกคักหนาแน่นขึ้นมาทันที
นี่คือการฝึกฝนปกติเพื่อให้ศิษย์สั่งสมประสบการณ์แต่ละอย่าง ในบรรดาจุดหมายปลายทางทั้งสิบสองแห่ง หนึ่งในนั้นจะต้องมีอันตรายและความยากค่อนข้างน้อยกว่า ทว่าก็ให้รางวัลมากมายเช่นกัน
………………………………