ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 81.1 ขวดกระเบื้องเป็นเหตุ... (1)
“วางไว้ที่นี่?”
“เอาล่ะ ย้ายตำแหน่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกสามชุ่น ฐานของค่ายกลควรหันไปทางทิศใต้ และอยู่ใต้ดินหกฉื่อสามชุ่น”
“ข้าพบแล้ว…อ่า…เฮ้!”
และแล้ว สามเดือนหลังจากจิ่วจิ่วออกมาจากการปิดด่าน ขณะนี้ ก็มีร่างสามร่างกำลังยุ่งอยู่นอกหอโอสถบนยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วสั่ง ส่วนหลิงเอ๋อร์ส่งเสียงให้กำลังใจ
จิ่วจิ่วทำงานหลายอย่างพร้อมกัน นางรับผิดชอบระงับพลังวิญญาณในค่ายกล ควบคุมความผันผวนของค่ายกลในสถานที่ต่างๆ ตรวจสอบตำแหน่งของฐานค่ายกล และครอบคลุมส่วนที่ปรับแต่งด้วยพลังเซียน จากนั้นนางก็ค่อยๆ ฝังพวกมันไว้ใต้ดิน…
ไม่ควรมีอะไรผิดพลาดในระหว่างกระบวนการนี้
หลังจากวางรากฐานค่ายกลแล้ว จิ่วจิ่วก็ถอนหายใจยาว แล้วเอนกายพิงลำต้นของต้นไม้ในขณะที่หอบอย่างหนัก…
“เหลืออีกมากเท่าใดกัน”
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ถุงเก็บสมบัติของเขา ยังมีค่ายกลเหลืออยู่อีกราวหนึ่งในสาม ซึ่งมีจำนวนประมาณหกสิบค่ายกล
แต่…
เขาเพียงต้องการให้จิ่วจิ่วช่วยเขาในนามเท่านั้น และต้องการให้นางจดจำประสบการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้ต้องการให้นางสร้างฐานค่ายกลทั้งหมด…
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากนี้ เขายังต้องปรับเปลี่ยนฐานค่ายกลส่วนใหญ่ที่วางไว้แล้วในครั้งนี้อีกเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ยังเหลืออีกสาม ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ขอรับ”
ทันทีทีได้ยินว่าเหลืออีกแค่สามที่ต้องไป ดวงตาของจิ่วจิ่วก็เต็มไปด้วยความโล่งใจราวกับว่านางเพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติ
“ในที่สุด ใช้เวลาสองสามเดือน ข้าก็ทำเกือบเสร็จแล้ว”
เมื่อยืนอยู่ที่ด้านข้างและเห็นบางอย่างจากสีหน้าท่าทางของหลี่ฉางโซ่ว ทันใดนั้นหลิงเอ๋อร์ก็รู้ว่า ลึกๆ เขากำลังครุ่นคิดอยู่
ความจริงแล้ว ศิษย์พี่สามารถตั้งค่าค่ายกลเองได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์อาน้อย?
จิ่วจิ่วหยิบโอสถสุราวิญญาณออกมา พร้อมด้วยเสียงเคี้ยวเล็กน้อย จากนั้นนางก็กลับมาสดชื่นฟื้นพลังขึ้นมาอีกครั้ง!
“วางพวกมันให้เสร็จทั้งหมดในคราวเดียวเลย สู้โว้ย!”
จิ่วจิ่วกระโดดขึ้นมาอีกครั้งและรีบพุ่งไปยังสถานที่ที่ต้องวางค่ายกลต่อไป
หลิงเอ๋อร์เกล้าเส้นผมของนางพลางหัวเราะขณะหยิบตะกร้าไม้ไผ่แล้วเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์อาน้อย รับผลไม้และพักผ่อนสักหน่อยนะเจ้าคะ”
“หลิงเอ๋อร์น้อยยังคงมีน้ำใจนัก ไม่เหมือนศิษย์พี่ของเจ้าที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากสั่งข้าให้ทำงานแทนเขาเท่านั้น!”
“ศิษย์พี่ก็กำลังคิดเรื่องความมั่นคงของยอดเขาหยกน้อยของเราเช่นกัน ต้องขอบคุณท่านอาจารย์อาน้อยที่ช่วยเหลือเต็มที่ ข้านวดไหล่ให้ท่านนะเจ้าคะ…”
“อ่า ขยับมาทางซ้ายๆ…พวกเราทั้งคู่ต่างก็มีชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ”
ในขณะที่หลิงเอ๋อร์และจิ่วจิ่วกำลังหัวเราะกัน พวกนางก็เดินออกจากป่า
และในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ ตามพวกนางไป เขาไตร่ตรองเกี่ยวกับการเปิดค่ายกลและทำให้หลักการของค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการสมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำงานต่ออีกครึ่งวัน
ครั้นเมื่อถึงยามอาทิตย์อัสดง ในที่สุด สามฐานค่ายกลที่เหลือก็ได้รับการจัดวางเสร็จสิ้น
จู่ๆ จิ่วจิ่วก็ทำตัวเสมือนว่านางเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นางมีจิตใจที่สูงส่ง ดึงหลิงเอ๋อร์ไปด้วยแล้วเรียกหลี่ฉางโซ่วไปที่กระท่อมมุงจากเพื่อเล่นศึกสู้มหาเทพ!
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ ค่ายกลที่นี่ต้องถูกปรับแต่งอย่างระมัดระวังเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่เขาไม่รีบร้อน
ทว่าขณะเดินออกจากป่า หลี่ฉางโซ่วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมากะทันหัน
นี่คือ…
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็มองไปที่อาจารย์อาและศิษย์น้องหญิงที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างหน้าเขา แล้วสอดมือขวาของเขาเข้าไปในแขนเสื้อแล้วบีบนิ้วทำนายทันที และในไม่ช้าเขาก็เข้าใจบางอย่างอย่างรวดเร็ว
โอสถในขวดกระเบื้องที่ข้ามอบให้อาจารย์ลุงจิ่วอู ถูกนำออกไปใช้แล้ว!
แน่นอนว่า ขวดกระเบื้องนั้น ไม่ใช่ขวดกระเบื้องธรรมดา มันเป็นสมบัติขวดโอสถเวทที่สามารถเก็บโอสถเซียนและรักษาคุณสมบัติทางยาได้
หลี่ฉางโซ่วได้ดัดแปลงมันโดยเพิ่มกฎห้ามสองประการ และใส่เสี้ยวพลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาเข้าไปด้วย
หากเม็ดโอสถที่อยู่ข้างในขวดนั้นถูกดึงออกมา มันก็จะเหนี่ยวนำเชื่อมต่อใจให้เขาตรวจพบบางอย่างได้!
มีอันใดเกิดขึ้น…
อาจารย์ลุงจิ่วอูตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงใช้โอสถกร่อนวิญญาณเซียนบริสุทธิ์ใช่หรือไม่
หรืออาจารย์ลุงจิ่วอูหยิบโอสถเม็ดนี้ออกมาแสดงให้คนอื่นดู
นอกจากนี้ก็ยังไม่อาจตัดความเป็นได้ที่ขวดจะแตกเองด้วย…
แม้อาจารย์ลุงจิ่วอูจะไม่น่าเชื่อถือในบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ข้างนอกเขาก็ระวังรอบคอบอยู่เสมอ
หาไม่แล้ว สำนักคงไม่มอบหมายงานสำคัญในการจัดเตรียมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าให้กับอาจารย์ลุงจิ่วอู เพราะเขาต้องเป็นคนระวังรอบคอบและไม่ล่วงเกินผู้อื่น…
เช่นนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับอาจารย์ลุงจิ่วอู
แต่ดินแดนเทวะมัชฌิมาอยู่ไกลจากที่นี่มากเกินไป และข้ายังไม่อาจทำอะไรได้ในทันทีเช่นกัน
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ และฉับพลันนั้นเขาก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา…
จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปข้างหน้า “อาจารย์อาน้อยขอรับ!”
“หือ? ว่าอย่างไร มาสนุกด้วยกันสิ! ฮิฮิฮิฮิ!”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กระแอมไอ และกล่าวกับจิ่วจิ่วอย่างจริงจัง
หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว สีหน้าของจิ่วจิ่วและหลิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปกะทันหัน
แปลก…
จิ่วจิ่วถามด้วยไม่อยากเชื่อ “จริงๆ หรือ”
“แน่นอน เป็นเรื่องจริง” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“อืม” จิ่วจิ่วอดจะกะพริบตาไม่ได้ จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นบีบปลายใบหูบางของนางแล้วกล่าวว่า “เมื่อวานเจ้าฝันว่า ศิษย์พี่ห้าของข้าตกอยู่ในอันตรายหรือ เขาถูกคนรูปร่างคล้ายหมีเจ็ดหรือแปดคนไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งหรือ”
“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ในวันนี้ ศิษย์ก็อดจะกังวลไม่ได้ ในฐานะผู้บำเพ็ญ ประสาทสัมผัสของข้าน่าจะมีนัยบางอย่าง”
จิ่วจิ่วขมวดคิ้วและกล่าวเสียงเบาทันที “แต่เจ้า…”
“หากศิษย์พี่ห้ากำลังมีปัญหา คนที่ฝันถึงเขาก็น่าจะเป็นศิษย์พี่สี่ของข้า หรือมิฉะนั้น ก็อาจจะเป็นข้าก็ได้ หากข้าฝันถึงเขา…ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เพราะถึงยังไง ศิษย์พี่ห้าก็ปฏิบัติต่อข้าเป็นเสมือนทั้งพี่ชายและบิดา…”
“เหตุใด…เจ้าฝันถึงศิษย์พี่ของข้า เกิดอันใดขึ้นหรือ!”
“ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูกับข้าถือว่าเป็นสหายร่วมดื่มที่ดีและเป็นสหายสนิทกัน” หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่น “อย่าไปสนใจในรายละเอียดเหล่านี้ในยามนี้เลยขอรับ…น่าจะมีช่องทางติดต่ออาจารย์ลุงจิ่วอูได้บ้าง อาจารย์อา ท่านยินดีจะยอมเชื่อข้าสักครั้งได้หรือไม่ขอรับ”
“แน่นอน ข้าย่อมเชื่อเจ้า”
จิ่วจิ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ทำตามที่เจ้าบอกและไม่รับทุกสิ่งที่เจ้ามอบให้”
หลิงเอ๋อร์หันศีรษะไปทางด้านข้างกะทันหัน ด้วยรู้ว่าหลี่ฉางโซ่วกำลังพูดถึงเรื่องร้ายแรง นางจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้
“ท่านอาจารย์อา โปรดพิจารณาจริงจังด้วยเถิดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ข้าไม่ค่อยได้ฝัน และบางครั้ง มันก็แม่นยำมาก”
จิ่วจิ่วลังเลเล็กน้อยและกล่าวเสียงเบาว่า “แต่เพียงเพราะความฝันของเจ้า จะให้รบกวนการเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่หญิงสี่…ก็ได้ ข้าจะลองปลุกนางเอง”
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวเสริมอีกครั้งว่า “ในเรื่องนี้ โปรดบอกท่านอาจารย์ป้าว่ามันเป็นสิ่งที่ท่านเห็นในความฝันเถิดขอรับ”
“เหตุใดกัน เจ้ากลัวโดนดุหรือ”
“หาใช่เช่นนั้นไม่ขอรับ แต่แค่กลัวจะถูกเข้าใจผิด…และข้าก็ไม่อยากให้เป็นที่สนใจของสำนักอีกขอรับ”
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าทำเหมือนว่าทุกคนล้วนสนใจเจ้า! ตอนนี้ ข้าจะไปเรียกศิษย์พี่หญิงสี่ รอข้าที่นี่!”
“แล้วเมื่อข้ากลับมา เราค่อยมาเล่นศึกสู้มหาเทพกันต่อ!”
ทั้งหลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ตกลงพร้อมกันทันที จากนั้นจิ่วจิ่วก็อ้าปากหาวและบินจากไปด้วยน้ำเต้าใหญ่…
และทันทีที่จิ่วจิ่วจากไป หลิงเอ๋อร์ก็เดินเอามือไพล่หลัง แล้วกระแทกใส่หลี่ฉางโซ่วด้วยไหล่งามของนางเบาๆ
“ศิษย์พี่ จริงจังหรือเจ้าคะ”
“อันใดกัน”
“ที่ท่านฝันว่าอาจารย์ลุงจิ่วอูถูกคนร่างใหญ่ราวหมีสองสามคนไล่ตามฆ่าน่ะ”
“แน่นอนว่า ความฝันย่อมไม่ใช่เรื่องจริง”
หลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลัง แววตาของเขาดูอับจนหนทางในขณะที่กล่าวกระซิบว่า “แต่เขาอาจกำลังมีปัญหาจริงๆ ก็ได้”
“กลับไปเก็บกระเป๋าและพกของที่มีประโยชน์ทั้งหมดของเจ้าติดตัวไปด้วย”
หลิงเอ๋อร์พลันตื่นตกใจ “เกิดอันใดขึ้น ศิษย์พี่”
“เผื่อไว้ก่อน” ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาของเขาเกิดประกายแล้วกล่าวว่า “ทุกอย่างต้องเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าเสมอ”
หลันหลิงเอ๋อร์อ้าปากค้างพลางกะพริบตา ก่อนจะก้มศีรษะรับว่าเห็นด้วย แล้วรีบไปที่กระท่อมมุงจากของนางทันที
…
แล้วในขณะนั้น ข้อความที่หลี่ฉางโซ่วเปิดเผยออกมา ก็ก่อความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในสำนักตู้เซียนอย่างกะทันหัน
ในเวลานั้น จิ่วจิ่วก็รีบกลับไปที่ ยอดเขาพิชิตสวรรค์และบอกจิ่วซือถึงเรื่องที่นางฝันว่าเห็นจิ่วอูถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ไล่ล่าสังหาร
แม้จิ่วซือจะถูกรบกวนในระหว่างสภาวะเฉิงเต๋า แต่ก็ไม่มีโทสะแต่อย่างใด นางเพียงหยิบยันต์สื่อสารหมื่นลี้ที่จิ่วอูสร้างขึ้นเองออกมาต่อหน้าจิ่วจิ่ว…