ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 9 โปรดรักษาความยับยั้งชั่งใจที่สตรีน้ำแข็งควรมีไว้
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 9 โปรดรักษาความยับยั้งชั่งใจที่สตรีน้ำแข็งควรมีไว้
“ฝ่าบาท ข้ามาที่นี่ตามบัญชาของท่านจ้าว หากข้ากลับไปก่อนเช่นนี้…ย่อมยากที่จะชี้แจงต่อท่านจ้าวได้”
“เมื่อเร็วๆ นี้ อริของพวกเราได้สร้างปัญหาให้พวกเราแล้ว ท่านจ้าวจึงกังวลว่าพวกเขาจะลอบสังหารท่าน องค์หญิง โปรดอนุญาตให้ข้าได้ร่วมเดินทางไปกับท่านในครั้งนี้เถิด และเมื่อท่านกลับไปที่สำนักตู้เซียนแล้ว ข้าก็จะกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้างดงามที่แต่เดิมไร้อารมณ์เผยร่องรอยแห่งความคับข้องใจออกมา
ทันใดนั้น หยวนชิงก็เริ่มเกลี้ยกล่อมนางว่า “ศิษย์น้องหญิงเสวียนหย่า พวกเรากำลังจะไปดินแดนเทวะอุดร นั่นเป็นสถานที่ที่อันตราย หากแม่ทัพอวี่เหวินอยู่กับเรา ก็จะมีคนคอยดูแลเจ้าเพิ่มมากขึ้นนะ”
ชั่วขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวออกมาอย่างสงบตามความเป็นจริงที่เขาสังเกตเห็นว่า “ศิษย์น้องหยวนชิงรู้จักแม่ทัพคนนี้มาก่อนหรือ ข้าแค่ไม่ได้ยินว่าแม่ทัพคนนี้ได้เอ่ยนามของตัวเองออกมาก่อนหน้านี้”
“อืม ใช่ขอรับ” หยวนชิงเหลือบมองหลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าโตมากับศิษย์น้องหญิงเสวียนหย่า และกราบเข้าเป็นศิษย์สำนักตู้เซียนด้วยกัน…แม่ทัพคนนี้มีนามว่า อวี่เหวินหลิง เขาเป็นแม่ทัพที่พระบิดาของศิษย์น้องหญิงเสวียนหย่าไว้วางใจมากที่สุด โดยปกติแล้ว เขามีหน้าที่ดูแลพระบิดาของนาง แต่คราวนี้เขาถูกส่งให้รีบมาที่นี่เพื่อปกป้องนางด้วยตัวเอง นั่นย่อมเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ต้องร้ายแรงจริงๆ”
ปรากฏว่าสตรีน้ำแข็งกับบุรุษอบอุ่นยังเป็นคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1]…
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “ข้ากล่าวมากความแล้ว”
“ฝ่าบาท” อวี่เหวินหลิงขมวดคิ้วแล้วตะโกนออกมา
ขณะนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่า ก็มองไปที่จิ่วจิ่วซึ่งกำลังนอนอยู่ตรงปากน้ำเต้าด้วยแววตาขอร้อง
“ไม่เป็นปัญหา ไม่เป็นปัญหา” เซียนจิ่วจิ่วนอนอยู่บนปากน้ำเต้าพลางโบกมือแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักร เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด ไม่ว่าอย่างไรบุรุษร่างใหญ่ที่เพิ่งกลายเป็นเซียนย่อมไม่สร้างปัญหาให้พวกเราอย่างแน่นอน…นี่ เจ้าตัวใหญ่ ไปนั่งด้านหลังน้ำเต้าสิ…ห้ามส่งเสียงดังนะ ความจริงแล้ว มันไม่เหมาะที่จะให้เจ้ามากับพวกเราด้วย โชคยังดีที่กฎของสำนักไม่ได้ห้ามให้องครักษ์ของศิษย์ของเราติดตามพวกเราในการเดินทางได้”
ทันใดนั้นอวี่เหวินหลิงก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณ ท่านเซียนอาวุโสขอรับ”
เมื่อกล่าวจบ บุรุษร่างกำยำที่สะพายขวานยักษ์อยู่ด้านหลังของเขาก็ลอยร่างไปทางด้านหลังของน้ำเต้าตรงบริเวณที่จิ่วจิ่วชี้ไปและมีช่องว่างปรากฏขึ้นในลำแสงเซียนรอบๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงก้าวไปทางด้านข้างสองก้าวอย่างสงบก่อนจะเดินไปทางด้านหน้าน้ำเต้าจากทางด้านข้างนั้น แล้วประสานมือคารวะพลางถามจิ่วจิ่วว่า “ท่านอาจารย์อาจิ่ว ศิษย์ขอนั่งข้างหลังท่านได้หรือไม่ขอรับ”
ฉับพลันนั้น จิ่วจิ่วก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไม่ออกไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวออกมาว่า “เหตุใดกัน เจ้ามีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว ยังจะกลัวตายอีกหรือ…มา นั่งลงสิ อาจารย์ของเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนอารมณ์ร้าย เขาพูดถูกจริงๆ”
“ศิษย์พี่หลี่ มานั่งที่นี่เถิดเจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่าลุกขึ้นยืนอย่างยินดี นางยิ้มอย่างขอโทษให้หลี่ฉางโซ่วแล้วก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว
“ขอบใจนะ” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าโดยไม่สนใจสายตาแหลมคมสองคู่ทางด้านหลังของเขา แต่นั่งลงอย่างสงบนิ่งในจุดที่โหย่วฉินเสวียนหย่าเคยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้
และเป็นอีกครั้งที่ทั้งหลิวเยี่ยนเอ๋อร์และหวางฉี ยังคงส่งสายตาจับจ้องมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่พอใจกับ ‘ท่าทีบ้านๆ’ ของหลี่ฉางโซ่ว พวกเขาคงคิดว่า เขาไม่ได้ประพฤติตนที่ดูสูงส่งสง่างามตามที่ถูกคาดหวังไว้ในฐานะศิษย์สำนักตู้เซียน
แต่แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วเลือกที่จะไม่ใส่ใจพวกเขา
เซียนจิ่วจิ่วยังคงขับเคลื่อนน้ำเต้าพุ่งทะยานตรงไปทางเหนือราวกับจะกลั่นแกล้งหลี่ฉางโซ่ว ในขณะที่หลิวเยี่ยนเอ๋อร์ และหวางฉีเริ่มสนทนากับอวี่เหวินหลิงอย่างตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม อวี่เหวินหลิง บุรุษร่างกำยำผู้นี้ค่อนข้างเงียบขรึม การสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสามจึงอึดอัดประดักประเดิดอยู่หลายครั้งจนพวกเขาหมดเรื่องคุยกันอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนหยวนชิงจะไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปเช่นกัน เขาจึงเริ่มเข้าร่วมวงสนทนาเพื่อทำให้บรรยากาศการสนทนามีชีวิตชีวาและราบรื่นขึ้น
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วไม่แม้แต่จะสนใจหันไปมองทางด้านหลัง เขายังคงเอามือขวาซุกแนบในแขนเสื้อเอาไว้แน่นและยังคงปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ออกไปเพื่อตรวจจับสรรพสิ่งรอบกาย
ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางไปทางเขตแดนอาคเนย์แห่งดินแดนเทวะอุดรด้วยตนเอง หลี่ฉางโซ่วก็ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งในเรื่องนี้แล้ว เขาได้พูดคุยสอบถามจนเข้าใจสถานการณ์กับนักพรตสองสามคนที่เขาคุ้นเคยในหอไป่ฝานเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว และพบว่าในครั้งนี้ เซียนที่จะคอยดูแลปกป้องบรรดาศิษย์ในการเดินทางมายังทิศทางนี้คือคนเดียวกับที่เคยรับผิดชอบการเดินทางในหลายครั้งก่อนที่ผ่านมา นั่นคือ เซียนจิ่วจิ่ว
แม้จิ่วจิ่วจะฝึกบำเพ็ญมาไม่ถึงพันปี แต่ก็ไม่อาจมองข้ามทักษะของนางไปได้ นางมีพลังเวทที่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัว และยังมีอาวุธเวทที่ทรงพลานุภาพอีกสองสามชิ้นที่ปรมาจารย์เจ้าสำนักมอบให้นาง ว่ากันว่า ฐานพลังของนางเข้าใกล้ขอบเขตเซียนเทียนแล้ว
นับจากขอบเขตหลอมรวมปราณจนทะยานขึ้นสู่เซียน ซึ่งโดยปกติ เมื่อขึ้นสู่เซียนแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนจะข้ามผ่านขอบเขตต่อไปนี้ตามลำดับ คือ เซียนหยวน เซียนเสิ่น เซียนเทียน เซียนจิน เซียนต้าหลัวจิน และเซียนฮุ่นหยวนอู๋จี่ ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่า เต๋าเซียนสวรรค์
และที่สำคัญกว่านั้นคือ จิ่วจิ่วเป็นหนึ่งในเซียนไม่กี่คนที่คุ้นเคยกับอาจารย์ของเขา
เดิมทีหลี่ฉางโซ่วคิดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่มุ่งหน้าไปสัมผัสประสบการณ์นี้ที่ดินแดนเทวะอุดร และด้วยการปกป้องของเซียนผู้พิทักษ์คนนี้ เขาย่อมจะปลอดภัยมากกว่าการไปที่ดินแดนเทวะอุดรคนเดียว
แต่ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ จะมีสถานการณ์เยี่ยงนี้ปรากฏขึ้นมาในระหว่างทาง…
บัดนี้หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองไปที่หยวนชิง และอวี่เหวินหลิง แล้วค่อยๆ หลับตาลงพลางเริ่มครุ่นคิดกับตัวเองเงียบๆ เวลานี้เขายังไม่มีอารมณ์จะฝึกบำเพ็ญ แต่เขายังคงต้องระมัดระวังในการใช้เวทหลีกลมเร้นกาย
โชคยังดีที่เขาได้นั่งใกล้กับอาจารย์อาจิ่ว ซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
เอ่อ
“เหอะๆๆ…แค่จิบเล็กน้อยเท่านั้น พวกเรายังห่างไกลจากจุดหมายของเรา ย่อมไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไปได้ ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดได้อย่างแน่นอน…”
เวลานี้เซียนจิ่วที่ยังนั่งอยู่ตรงปากน้ำเต้ายิ้มอย่างแปลกประหลาดออกมาขณะที่ถือน้ำเต้าที่เต็มไปด้วยสุราเอาไว้ และแอบจิบมันอย่างลับๆ และทันใดนั้น แก้มของนางก็แดงก่ำยิ่งขึ้นทันทีในขณะที่ยังเลียริมฝีปากกวาดรสสุรา
และบัดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เงียบงันอย่างกะทันหัน เขาเอ่ยอันใดไม่ออกฉับพลัน…
อันที่จริงเขาควรหาเหตุผลที่จะออกจากกลุ่มแล้วก้าวต่อไปด้วยตัวเองคนเดียวน่าจะดีกว่า
ข้านี่แหละสุดยอดแล้ว
……
ผ่านไปครึ่งวัน เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
และเวลานั้นอาทิตย์กำลังอัสดงพร้อมกับดวงดาวที่เริ่มปรากฏขึ้นกลางแผ่นฟ้า
บัดนี้หลี่ฉางโซ่วนั่งบนน้ำเต้าสุราซึ่งวัดขนาดได้มากกว่าหนึ่งร้อยฉื่อและล้อมรอบไปด้วยแสงเซียนบางๆ ในขณะที่มีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปในอากาศจนปลายจมูกของเขาสัมผัสได้ เขากำลังถือม้วนตำราไม้ไผ่และอ่านมันอยู่ที่นั่นเงียบๆ
ในขณะที่คนอื่นๆ อีกหลายคนรวมถึงอวี่เหวินหลิงซึ่งนั่งอยู่ทางด้านหลังต่างก็เข้าสู่การทำสมาธิฝึกบำเพ็ญแล้ว
หลี่ฉางโซ่วชื่นชมเคล็ดวิชาเต๋าที่บันทึกเอาไว้ในตำราอย่างเงียบๆ และคาดเดาว่าเคล็ดวิชาเต๋าจะทำงานอย่างไร อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงปล่อยพลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปตรวจจับสรรพสิ่งรอบกายอยู่ตลอดเวลาและยังคงเฝ้าระวังอันตรายทั้งหมดในระยะรัศมีสิบจั้งรอบกายของเขาเอง
เพราะเขาตั้งใจฝึกบำเพ็ญอย่างระมัดระวังรอบคอบมาก่อน มันจึงไม่เป็นภาระสำหรับเขามากนัก
และทันใดนั้น ก็มีน้ำเต้าสุรามาปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา หลี่ฉางโซ่วส่ายหน้าจริงจังแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณ ท่านอาจารย์อา แต่ศิษย์ดื่มไม่เก่งขอรับ”
“น่าเบื่อ” จิ่วจิ่วกลอกตาก่อนจะกระโดดขึ้นจาก ‘จุก’ ของน้ำเต้า แล้วนั่งที่ขอบปากน้ำเต้าพลางแกว่งไกวส่วนที่สะอาดที่สุดของร่างกาย นั่นคือลำขาเรียวของนางนั่นเอง
หลังจากนั้นนางก็เรอแล้วถามออกมาอย่างไม่ตั้งใจว่า “ฉางโซ่ว อาจารย์ของเจ้ากำลังจะทะยานขึ้นสู่เซียนในไม่ช้านี้ใช่หรือไม่”
จิ่วจิ่วลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่ง เวลานี้นางนอนอยู่ที่ปลายน้ำเต้าขนาดใหญ่ และปล่อยให้ลมพัดเส้นผมสั้นที่ค่อนข้างยุ่งเหยิง ความจริงแล้ว รูปลักษณ์ของนางแตกต่างจากเซียนอื่นๆ ทั่วไปมาก แต่เรียกได้ว่านางมีลักษณะโดดเด่นและเต็มไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง
“น่าจะอีกสักสามหรือห้าปีที่จะต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบพลางวางตำราไว้บนตักของเขาแล้วหันไปมองเพื่อให้ความสนใจอาจารย์อาจิ่วที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา
ความจริงแล้ว จิ่วจิ่วเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เคยไปเยือนยอดเขาหยกน้อยหลังจากที่หลี่ฉางโซ่วมาเข้าร่วมสำนักราวหนึ่งร้อยปีก่อน
“โอ้” จิ่วจิ่วถอนหายใจ จากนั้นนางก็เริ่มตั้งใจให้คำชี้แนะแก่หลี่ฉางโซ่วด้วยน้ำเสียงแหบปร่า
“ยามนั้นเราเข้ากันได้ดี ช่างน่าเห็นใจอาจารย์เจ้านัก ศักยภาพของเขาไม่ได้เลวร้าย แต่หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ ฐานเต๋าของเขาก็ได้รับความเสียหาย จนถึงเวลานี้ก็ยังยากที่จะแก้ไขและเสริมสร้างขึ้นมาใหม่…ฉางโซ่ว จงอย่าได้ดูถูกอาจารย์ของเจ้า เพียงเพราะเขายังไม่ได้ทะยานขึ้นสู่เซียน ความจริงแล้ว ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับเคล็ดวิชาเต๋าของสำนักตู้เซียนไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนที่มีอายุถึงหนึ่งพันปีเลยด้วยซ้ำ…”
“ท่านอาจารย์อาจิ่วกล่าวอันใดกัน” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มเล็กน้อยขณะที่ดวงตาของเขาหรี่ลงเช่นกัน เขาไม่ค่อยแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นนอกจากอาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขาเท่านั้น
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “อาจารย์ของข้าทุ่มเททุกอย่างเต็มที่เพื่อสั่งสอนข้าและศิษย์น้องหญิงของข้ามาโดยตลอด สำหรับข้าแล้ว ท่านอาจารย์เปรียบดั่งบิดามารดาของข้าขอรับ”
“เมื่อพูดถึงฐานพลังของเจ้า มันเป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เจ้าก็ยังอยู่ในขั้นที่เก้าขอบเขตสร้างปราณวิญญาณ และยังไม่อาจทะลวงผ่านขอบเขตคืนกลับอนัตตาต่อไปได้อีกหรือ”
จิ่วจิ่วหันศีรษะไปจ้องมองหลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวว่า “เมื่ออาจารย์อาของเจ้าเข้าร่วมสำนักมา ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า ยอดเขาหยกน้อยของเจ้าเต็มไปด้วยโชคร้าย บัดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างเป็นจริง…เอามือของเจ้าออกมาให้ข้า ข้าจะได้มองดูศักยภาพของเจ้า…เมื่อยามที่เจ้ามาเข้าร่วมสำนักในตอนแรก ข้าจำได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติดีทีเดียวใช่หรือไม่ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะอาจารย์ที่โง่เขลาของเจ้า จึงทำให้เจ้าสับสนเกินไปจริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วกะทันหัน แม้ท่านอาจารย์อาจิ่วที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะมีเจตนาดี ทว่า…
หากนางได้สัมผัสกับร่างกายของหลี่ฉางโซ่วและตรวจสอบดู ด้วยทักษะอันน่าทึ่งของนางในฐานะเซียนแท้ นางย่อมจะรู้ถึงขอบเขตพลังที่แท้จริงของหลี่ฉางโซ่วได้อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะใช้เวทปกปิดเพื่อซ่อนเร้นเอาไว้ แต่มันจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น จิ่วจิ่วก็ยื่นมือขวาซึ่งมีกลิ่นหอมของสุราติดอยู่ออกไปหาหลี่ฉางโซ่ว เขารีบขยับบั้นท้ายถอยไปทางด้านหลังทันทีพลางยิ้มอย่างกระดากอายแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาขอรับชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไป เกรงว่าจะไม่เหมาะสมได้นะขอรับ”
“ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไปหรือ ผู้ใดกล่าวเยี่ยงนั้นกัน ข้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
ฉับพลันนั้น จิ่วจิ่วก็มองหลี่ฉางโซ่วอย่างไม่พอใจทันทีแล้วกล่าวออกมาว่า “ผู้บำเพ็ญในรุ่นของข้าล้วนกระทำการใดๆ อย่างอิสระ พวกเราล้วนปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างเสรี แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาใส่ใจเรื่องขนบธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ที่วุ่นวายในโลกนี้ด้วยเล่า…เร็วเข้า ยื่นมือของเจ้าออกมาให้ข้า…มีอันใดผิดปกติในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าหรือไม่ ข้าจำได้ว่าศักยภาพของเจ้านั้นดีทีเดียว”
“ท่านอาจารย์อา มันไม่เหมาะสมนักขอรับ…ศิษย์เพิ่งรู้ตัวเมื่อสองสามปีก่อน ศิษย์พบว่าจะมีอาการชักกระตุกทุกครั้งที่สัมผัสกับสตรีขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วลุกยืนขึ้นทันทีแล้วรีบหันหนีไปอย่างรวดเร็วและราบรื่นจนร่างของเขากลายเป็นดั่งภาพติดตาสองภาพ จากนั้นก็มาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของโหย่วฉินเสวียนหย่า แล้วมองจิ่วจิ่วด้วยรอยยิ้มแหยๆ
จิ่วจิ่วกะพริบตาและจู่ๆ ก็ดูเหมือนว่านางจะพบอะไรบางอย่าง
ฝีเท้าที่เจ้าหนุ่มผู้นี้ใช้เคลื่อนไหวร่างกาย…
“มังกรโผนผ่านเมฆาหรือ ก็ไม่เลวนี่นะเจ้าหนู เจ้าได้เรียนรู้ฝึกฝนฝีเท้าที่ยากลำบากเช่นนี้แล้วหรือ” สีหน้าท่าทีของจิ่วจิ่วดูแปลกไป “อาจารย์ของเจ้าบอกว่า เจ้าสนใจแค่เวทหลบหนีเท่านั้น เจ้าคงไม่ได้ใช้เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาทั้งหมดไปกับสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
“ศิษย์ของท่านฝึกฝนอย่างหนักมาตลอด ไม่เคยย่อท้อขอรับ…หือ…อันใดกัน”
สัมผัสที่นุ่มนวลเช่นนี้
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ก้มศีรษะมองลงไปและเห็นนิ้วเรียวยาวกำลังลูบไล้ต้นขาด้านในของเขาเบาๆ และฉับพลันนั้นเส้นโลหิตดำสองสามเส้นก็ปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเขาทันที
เขามองไปตามนิ้วเรียวแล้วไล่ตามลงไปยังลำแขนขาวที่เรียบเนียนปานรูปปั้นอันวิจิตรที่ทำจากหยกขาวมันแพะ จากนั้นก็ไล่ตามลำแขนไปเรื่อยๆ จนเห็นสายสะพายไหล่สีแดงเพลิง คอเสื้อ และในที่สุดก็เป็นใบหน้างดงามน่าหลงใหลที่เอนเอียงด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย
โหย่วฉินเสวียนหย่า
‘เมื่อสองสามปีก่อน ศิษย์พบว่าจะมีอาการชักกระตุกทุกครั้งที่สัมผัสกับสตรี’
แล้วทันใดนั้น มุมปากของหลี่ฉางโซ่วก็พลันกระตุกขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาก็ตัดสินใจเกือบจะในทันที
นี่ก็เป็นคนโหดเหี้ยมเช่นกัน ในเวลานี้เขาไม่สนใจสิ่งใด ไม่ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของเขาจะเป็นอย่างไร บัดนี้ทั่วทั้งร่างของเขาเริ่มสั่นเทา เขากัดฟันในขณะที่ควบคุมให้กล้ามเนื้อของเขาบิดและหมุนจนใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด และทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงและกลอกกลับไปมาทันทีพร้อมกับที่มีฟองสีขาวเริ่มก่อตัวฟูฟ่องจนท่วมท้นล้นปากของเขา…
มารดามันเถิด โหย่วฉินเสวียนหย่า ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นสตรีน้ำแข็งหรืออย่างไรเล่า นางมารต่ำช้า
[1] คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง คู่รักที่รู้จักและเล่นสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเยาว์