ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 646 สหายเต๋าตี้จั้งไม่ได้หลอกลวงข้า (2)
บทที่ 646 สหายเต๋าตี้จั้งไม่ได้หลอกลวงข้า (2)
จี้อู๋โหย่วรู้สึกสับสนเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า “เรามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับศึกสู้ที่ภูเขาเหยาเซิงอย่างไร?”
“ภูเขาเหยาเซิงถูกปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินทำลาย และศาลสวรรค์ก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมาโดยตลอด”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ต่อจากนี้ ก็ขอให้ท่านเจ้าสำนักรวบรวมปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาต่างๆ ในสำนักมา อย่าได้ละเลยผู้ใดเอาไว้ ให้พวกเขานำสมบัติล้ำค่าและวัสดุต่างๆ มา แล้วรีบไปที่ค่ายกลใหญ่เคลื่อนย้ายเส้นชีพจรปฐพีที่อยู่ใต้ดิน”
จี้อู๋โหย่วกล่าวว่า “หากเราหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ ก็คงจะไม่ใช่…”
“นี่ไม่ใช่การหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ เป็นเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็นเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วยื่นมือออกไปทางด้านหลังของเขา จากนั้นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กระโดดออกมาจากมุมหนึ่ง แล้วยันต์หยกก็ลอยออกมาจากถุงเก็บสมบัติของเขา และลอยไปที่ฝ่ามือของหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “โปรดยกโทษให้ศิษย์ ที่ทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ ศิษย์ คือปรมาจารย์เต๋าน้อยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ท่านเจ้าสำนัก โปรดอย่าลังเล รีบดำเนินการเร็วเข้าเถิดขอรับ!”
จี้อู๋โหย่วขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ลังเลและพยักหน้ารับทันที
ทว่าเจ้าสำนัก ก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้แล้วยิ้มขื่นออกมาพลางกล่าวว่า “ค่ายกลใหญ่เคลื่อนย้ายใต้ดินได้ถูกทำลายไปนานแล้ว จะต้องใช้เวลาซ่อมแซมอย่างน้อยครึ่งเดือน!”
“ไม่เป็นไร ศิษย์ได้เตรียมไว้ให้สำนักแล้วขอรับ”
ไม่เป็นไร!
จี้อู๋โหย่วเบิกตากว้างและจ้องมองไปที่ศิษย์แห่งยอดเขาหยกน้อยที่อยู่ข้างหน้าเขา ซึ่งกำลังพูดอย่างสบายๆ…
“แค่กๆ! ไยเจ้าถึงได้เตรียมเอาไว้?”
“เตรียมตัวไว้ก็ไม่เสียหายอันใดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วยิ้ม
ความจริงแล้ว เขาเพิ่งเริ่มสร้างมันขึ้นมาในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี่เอง
“ท่านเจ้าสำนัก มันอยู่ลึกลงไปอีกหนึ่งพันหกร้อยจั้งจากค่ายกลใหญ่เดิมขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วหยิบยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้จี้อู๋โหย่วด้วยมือทั้งสองข้างพลางกล่าวว่า
“นอกจากนี้ ยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายใต้ดินอยู่ที่นั่น ค่ายกลนี้เป็นความลับยิ่งกว่าและจะไม่มีผู้ใดตามหาพบขอรับ
เส้นชีพจรปฐพีเชื่อมต่อกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนเทวะทักษิณ หากท่านออกไป ท่านก็จะไปอยู่ข้างๆ เมืองใหญ่ในแดนมนุษย์ และท่านก็สามารถให้ศิษย์ของท่านซ่อนตัวอยู่ในเมืองได้ชั่วคราว”
จี้อู๋โหย่วพูดไม่ออก
หลี่ฉางโซ่วยังเร่งเร้าว่า “มีเวลาอย่างมากสุดเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม เมื่อการต่อสู้ของสำนักเซียนเซียวเหยาได้เริ่มต้นขึ้น ฝ่ายตรงข้ามก็จะโจมตีสำนักตู้เซียนของเรา
ท่านเจ้าสำนักไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีที่จะช่วยสำนักเซียนเซียวเหยาแล้วขอรับ”
“เฮ้อ! ฉางโช่ว ครั้งนี้ ข้าหวังพึ่งเจ้าแล้ว!”
“ท่านเจ้าสำนัก โปรดอย่าลืมเก็บเรื่องนี้เอาไว้อย่างเคร่งครัดให้ศิษย์ด้วยขอรับ”
“วางใจเถิด ข้าจะไม่บอกอะไรกับท่านอาจารย์ของข้าแม้สักคำอย่างแน่นอน!”
กล่าวจบ จี้อู๋โหย่วก็คว้ายันต์หยกแล้วหันกลับไป จากนั้นก็รีบพุ่งไปยังยอดเขาที่ใกล้ที่สุด
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับให้และถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การจัดการกับส่วนที่เหลือก็จะง่ายกว่ามาก
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็พบว่ากองทัพปีศาจทั้งสี่ที่พุ่งมายังสำนักตู้เซียนกำลังแอบซุ่มซ่อนตัวอยู่ในที่ใดสักแห่งในช่วงระหว่างหนึ่งหมื่นห้าพันลี้ถึงหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ ห่างจากสำนักตู้เซียน พวกมันไม่ได้โจมตีโดยตรง
มันเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้
ปู่เจดีย์ถามด้วยความฉงนสงสัยในใจว่า “เจ้าศิษย์น้อย แล้วเราจะช่วยสำนักเซียนเซียวเหยาได้อย่างไร? พวกเราควรปล่อยให้ทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ไปหรือไม่?”
“ต่อให้มีทหารสวรรค์ที่ได้รับการฝึกฝนมาดีเพียงพอ แต่ก็ยังมีเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่เหนือขอบเขตเซียนเทียนน้อยเกินไป” หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “สำหรับแผนในยามนี้ เราทำได้เพียงขอความช่วยเหลืออย่างเดียวเท่านั้น”
หาได้ยากนักที่ปู่เจดีย์จะมีเหตุผล เมื่อเขาพึมพำว่า “ขอความช่วยเหลือหรือ? เจ้าพวกสารเลวจากสำนักบำเพ็ญประจิมน่าจะคาดว่าสำนักอื่นๆ จะรีบไปที่สำนักเซียนเซียวเหยาและพวกเขาจะทำการซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน”
“แผนการของอีกฝ่ายลึกซึ้งซับซ้อนยิ่ง พวกเขาน่าจะตรวจสอบภูมิหลังและรู้รายละเอียดของสำนักเซียนแห่งบำเพ็ญเต๋าหยิน ในเมื่อเขากล้าที่จะเข้าสู่ดินแดนเทวะมัชฌิมา พวกเขาย่อมต้องเตรียมแผนสำรองเป็นทางหนีทีไล่เอาไว้เช่นกัน”
หลี่ฉางโซ่วหยิบยันต์หยกออกมาพลางยิ้มและกล่าวว่า “หากอยากผ่าทางตัน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การดึงกองกำลังภายนอกมา
พวกปีศาจที่ได้ปรากฏตัวขึ้นในดินแดนเทวะมัชฌิมาแล้วเหล่านั้น จะไม่กลับไปในวันนี้”
ในขณะนั้น เขารีบเคาะนิ้วอย่างรวดเร็วเพื่อเปิดใช้งานกฎห้ามของยันต์หยก จากนั้นก็มีเสียงดังแกร๊งๆ มาจากปลายทาง ราวกับว่า จะมีสมบัติมากมายมากองรวมกัน และพวกมันก็ปะทะกันและกัน…
“ฉางเกิง?”
……
หลังจากที่เจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วส่งข้อความมาด้วยตัวเองแล้ว บรรดาคนของยอดเขาต่างๆ แห่งสำนักตู้เซียนก็เคลื่อนไหวทันที
ผู้คนที่เข้าปิดด่านกันอยู่ทั้งหมด ล้วนถูกเรียกให้ตื่นขึ้น โชคดีที่ไม่มีผู้ใดอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการฝ่าทะลวงด่าน
ผู้ฝึกบำเพ็ญส่วนใหญ่พกพาสินทรัพย์มั่งคั่งติดตัวไปด้วย และด้วยความช่วยเหลือของเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก พวกเขาจึงใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับสมบัติในหอสมบัติเต๋า และคลังสมบัติของหอไป่ฝาน
ปรมาจารย์ผู้นำยอดเขาและผู้อาวุโสแต่ละคน ต่างสำแดงพลังเวทของพวกเขาออกมาเพื่อพาบรรดาศิษย์ลงไปใต้ดิน
พวกเขาคลานไปในใต้ดินหลายพันจั้งด้วยความยากลำบากและเข้าไปใน “ห้องโถงใหญ่” ที่ว่างเปล่า และเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายเส้นชีพจรปฐพีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยจั้ง…
เมื่อได้ยินบรรดาเซียนในสำนักยกย่องเจ้าสำนักว่าเป็นคนช่างคิดลึกซึ้งและมองการณ์ไกล จี้อู๋โหย่วก็รู้สึกกระดากเล็กน้อย
หวังฟู่กุ้ย ซึ่งรู้จักกันในนามปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง และเจียงหลินเอ๋อร์ผู้ดุร้ายได้ดำเนินการร่วมกับเหล่าจิ่วเซียนทั้งเก้าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วทุกที่
ในขณะนั้น จิ่วอูและจิ่วซือก็รีบค้นหาที่อยู่ของจิ่วจิ่ว ซค่งไม่รู้ว่าหายไปที่ใด
ทว่าในไม่ช้า พวกเขาก็ได้รับข้อความเสียงจากเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วและปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง โดยบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวล
หลี่จิ้งซึ่งบัดนี้ เติบโตเป็นชายหนุ่มแล้ว กำลังได้รับการปกป้องจากเซียนเสิ่นชราสองคนในหมู่ฝูงชน ในขณะนั้น เขาค่อนข้างงุนงงเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ต่อสู้เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวใดๆ แม้แต่น้อย
ดวงตาของหลี่จิ้งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เมื่อเขาได้ยินจากอาจารย์ลุงและอาจารย์อาที่อยู่ข้างๆ ว่ามีปีศาจอีกตัวกำลังโจมตี
ทว่าในขณะนั้นสำนักไม่ยอมให้เขาชักกระบี่และก้าวออกไปข้างหน้า เขาต้องกำจัดเหล่าปีศาจ หากเขารีบออกไปในตอนนี้ เขาย่อมจะเป็นดั่งสุดยอดเทพสวรรค์ที่ทะยานลงมายังโลกอย่างสมบูรณ์แบบ…
เทพสวรรค์มาส่งอาหาร
เขายังได้ยินเสียงของเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่วกระจายไปทั่วทุกที่
“แค่กๆ แค่กๆ!
ยอดเขาพิชิตสวรรค์จะคอยคุ้มกันด้านหลังในขณะที่ยอดเขาอู้หลิง ยอดเขาตันติ่ง และยอดเขา เซียนหลิง ทั้งสามยอดเขาจะเป็นผู้นำเปิดทางไปข้างหน้าในการตรวจสอบ
บรรดาผู้อาวุโส ผู้คนในสำนัก และศิษย์ของยอดเขาทั้งหลาย ต่างก็เฝ้าดูแลดูกันและกัน ผู้ใดก็ตามที่ใช้ยันต์หยกส่งสารและค่ายกลเวทเพื่อปิดผนึกฐานพลังโดยไม่ได้รับอนุญาต จะต้องถูกจัดการในภายหลัง! ไม่ต้องถามอะไรอีก”
บรรดาเซียนทั้งหมดตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน และเมื่อค่ายกลใหญ่ถูกเปิดใช้งาน กลุ่มของผู้ฝึกบำเพ็ญในขอบเขตหลอมรวมปราณก็ได้เข้าไปในค่ายกลใหญ่อย่างเป็นระเบียบและรวดเร็ว จากนั้นก็เคลื่อนย้ายออกไปโดยใช้พลังของเส้นชีพจรปฐพี
หลังจากนั้นไม่นาน โหย่วฉินเสวียนหย่าก็รีบไปพบจี้อู๋โหย่ว ดวงตาของนางฉายแววลังเลใจ นางก้มศีรษะลงพร้อมกับประสานมือคารวะให้และเอ่ยถาม
“ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดท่านถึงไม่รวมยอดเขาหยกน้อยด้วยเจ้าคะ?”
จี้อู๋โหย่วถอนหายใจเบาๆ
ในขณะที่เขากำลังจะขอให้โหย่วฉินเสวียนหย่าไม่ต้องเอ่ยถามอันใดอีก จู่ๆ เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวว่า “พวกเขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ”
“เช่นนั้น ศิษย์ก็ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยเจ้าค่ะ!”
โหย่วฉินเสวียนหย่าเงยหน้าขึ้นมองท่านอาจารย์ของนาง ดวงตางดงามของนางเต็มไปด้วยแสงสว่างวาบขึ้น
“ท่านเจ้าสำนัก โปรดให้เป็นไปตามความปรารถนาของศิษย์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ศิษย์ผู้นี้ก็ไม่เสียใจและจะไม่พร่ำบ่นใดๆ เลยเจ้าค่ะ!”
“ไปเถิด”
จี้อู๋โหย่วโบกมือ และก่อนที่บรรดาศิษย์ของยอดเขาพิชิตสวรรค์จะได้ตอบสนอง โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ได้โค้งคำนับแล้วหันหลัง บินจากไป
“เสี่ยวหยา!”
………………………………………………………………..