ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 661 ชุนหยางไม้ที่เหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ผลิแรก (4)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- บทที่ 661 ชุนหยางไม้ที่เหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ผลิแรก (4)
บทที่ 661 ชุนหยางไม้ที่เหี่ยวเฉาในฤดูใบไม้ผลิแรก (4)
หลี่ฉางโซ่วอดจะบ่นอย่างสิ้นท่าออกมาไม่ได้และมันก็ทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเช่นกัน
ในยามนั้น ภาพของเทพธิดาริมสระที่เอามือทั้งสองข้างท้างคาง ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ และมองไปที่กระจกเมฆอย่างคาดหวังนั้น ก็ได้ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขา
มันทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหนักใจยิ่งนัก!
หลังจากอำลาเทพจันทราแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เพ่งจิตสนใจ กลับไปที่ยอดเขาหยกน้อย
ขณะนั้นเขายังไม่เชื่อว่า ราชินีจอมปราชญ์หนี่วาจะลงมือเข้ามาแทรกแซงเพียงเพราะต้องการอ่านเรื่องราว
นอกจากนี้ เขายังมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่า ราชินีจอมปราชญ์หนี่วามีแผนการอื่น
และในขณะนั้น ตัวเขาเองก็ไม่อาจต่อต้านจอมปราชญ์หนี่วาได้อย่างแน่นอน!
“ผู้อาวุโสหลาง[1]” ได้ถูกลดทอนลงจนกลายเป็นกากเดนในยุคก่อนที่จอมปราชญ์ทั้งหกจะปรากฏตัว
หลี่ฉางโซ่วไม่กล้ามีความคิดใดๆ ในเรื่องการเผชิญหน้ากับ “ผู้ชนะ” ทั้งหกคนนี้ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงในขณะนี้
บนยอดเขาหยกน้อย
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่อาจารย์ของเขาซึ่งกำลังเดินไปมาตลอดเวลาไม่หยุดและพึมพำกับตัวเอง…
“ท่านอาจารย์?”
“หือ?”
“ท่านไม่รู้สึกอะไรกับจิ้งจอกสาวตัวนี้จริงๆ หรือขอรับ?”
“แน่นอน” นักพรตเต๋าชราฉีหยวนกล่าวด้วยอารมณ์ว่า “เจ้าคิดว่า อาจารย์ของเจ้าเป็นปีศาจราคะชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ?
ข้าจะปล่อยให้ตัวเองเสียอารมณ์สงบเพราะความงามของสตรีได้อย่างไร?”
หลี่ฉางโซ่วอดจะเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากของเขาไม่ได้ และกล่าวว่า “เหตุใดท่านไม่…ลองดูก่อนเล่าขอรับ?”
“แล้วหากข้าลองเล่า”
จากนั้นฉีหยวนก็กวาดแส้หางม้าของเขาและขี่เมฆไปด้วยตัวเขาเอง เขามุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลเขาวงกตและได้เห็นป้ายนั้น
มันอ่านว่า “ท่านหลงทางหรือไม่”
ฉีหยวนแค่นเสียงเบาๆ และยืนนิ่ง เขาถือแส้หางม้าและหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความคิด
หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวหลานซึ่งกำลังเดินวนไปรอบๆ อยู่ในค่ายกลเวท นางเดินไปด้วยความงุนงง และรุกล้ำเข้าไปในค่ายกลเวทนี้…
“นักพรตเต๋า!”
เสียงนี้เป็นความจริง และเต็มไปด้วยความจริงใจมากจนทำให้ฉีหยวนตัวสั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เส้นขนทั่วร่างของเขาลุกชันและหัวใจเต๋าของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด
เขาหันกลับมาและเห็นสตรีโฉมงามในชุดโปร่งบาง รีบพุ่งเข้ามาหาในค่ายกล
ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ฉีหยวนก็ถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “สหายเต๋า โปรดหยุดเถิด”
นางจิ้งจอกรีบหยุดเท้าดอกบัวของนางและคลี่ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาของนางเปล่งประกายและผิวขาวผ่องใสของนางก็แดงระเรื่อ
นางกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “ในที่สุดเจ้าก็มองเห็นข้าแล้วใช่หรือไม่?”
“สหายเต๋า ขอกล่าวตามตรง ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าเลย…”
“แล้วไยเจ้าถึงต้องหลบตา และไม่กล้ามองข้าตรงๆ ด้วยเล่า?”
ฉีหยวนอดจะถอยหลังไปอีกสองก้าวไม่ได้ ในขณะนั้น หัวใจเต๋าของเขารู้สึกปั่นป่วนวุ่นวายและขุ่นมัวเล็กน้อยแล้ว
“สหายเต๋า เจ้า… โปรดเคารพตัวเองด้วย”
มาถึงเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยอมแพ้ต่อท่านอาจารย์ของเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เขาเริ่มคิดถึงวิธีที่จะทำให้จิ้งจอกสาวตัวนี้มั่นคงต่อไป และทำให้แน่ใจว่าท่านอาจารย์ของเขาจะไม่เปิดเผยส้นเท้า[2]ของเขา…
มีบางอย่างที่คู่สหายร่วมเรียงเคียงหมอนไม่อาจซ่อนเร้นกันได้อย่างแน่นอน
หลี่ฉางโซ่วตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า จิ้งจอกสาวผู้นี้ก็เตรียมพร้อมมาเช่นกัน…
ในขณะนั้น จิ่วจิ่ว หลิงเอ๋อร์ จิ่วอู และจิ่วอูซือได้กลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยด้วยกันแล้ว
หลังจากที่พวกเขาได้พบกับหลี่ฉางโซ่วแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เปิดกระจกเมฆ และพวกเขาก็เฝ้าสังเกตสถานการณ์ภายในค่ายกลเวทนั้นร่วมกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหลินเอ๋อร์ ก็พาจิ๋วอวี่ซือมาที่นี่พร้อมกัน และพวกนางก็เข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชมด้วยกัน
แล้วดูพฤติกรรมของจิ้งจอกสาวนั่นสิ นางยังแสดงขั้นตอนกลยุทธ์ชุดหนึ่งออกมาที่ทำให้เห็นว่า นางยังเยาว์วัยและไร้ประสบการณ์…
นางเอ่ยถามก่อนว่า “นักพรตเต๋า พวกเรามานั่งคุยกันได้หรือไม่?”
ฉีหยวนขมวดคิ้วและพยักหน้ารับ จากนั้น ทั้งสองคนก็นั่งห่างกันสามฉื่อ
หลังจากเงียบงันกันไปครู่หนึ่ง จิ้งจอกสาวก็เริ่มเล่าความในใจและความคิดของนางออกมา
นางบอกนักพรตเต๋าชราฉีหยวนเบาๆ ถึงความจริงที่ว่า นางคิดถึงโหยหาเขาทั้งวันทั้งคืน รวมถึงฉากในฝันที่นางฝันถึงทุกวัน
นางไม่ได้ใช้เวทอาคมวิชาเสน่ห์ใดๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา นางก็กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ถึงนักพรตเต๋าจะไม่อยากให้ข้าอยู่ แต่ข้าก็ยังอยากร่ายรำเพื่อนักพรตเต๋า”
ในขณะนั้น ฉีหยวนก็ทนปฏิเสธออกไปไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ
จากนั้นจิ้งจอกสาวก็ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนจะเริ่มร่ายรำเบาๆ ในป่า
นางปลดกระโปรงผ้าโปร่งบางชั้นนอกออกไปโดยไม่รู้ตัว และร่ายรำอย่างงดงามน่าทึ่งยิ่ง…
หลังจากร่ายรำแล้ว นางก็มองไปที่ฉีหยวนอีกครั้ง และเห็นว่านักพรตเต๋าชรามีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม
นักพรตเต๋าชราพยักหน้าอย่างสงบและกล่าวว่า “เพียงการร่ายรำนี้ใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ร้องตะโกนว่า “อาจารย์ จมูก ของท่าน!”
หือ?
ฉีหยวนกะพริบตาและยกมือขึ้นเพื่อแตะที่จมูกของเขา ทว่า… มือของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด
“นักพรตเต๋า! เกิดอันใดขึ้น?!”
จิ้งจอกสาวร้องตะโกนและกลายเป็นสายลมที่มีกลิ่นหอม เมื่อนางรีบบินไปที่ด้านหน้าฉีหยวน
ระดับฐานพลังของฉีหยวนนั้นไม่สูงเท่าใดนัก และก่อนที่เขาจะหลบหลีกได้ทัน มือเรียวก็กดปิดจมูกและปากของเขาเอาไว้แล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นจับมือเรียวนั้นเอาไว้แทนโดยไม่รู้ตัว
จู่ๆ ทั่วทั้งป่าก็เงียบลงกะทันหัน
ชั่วขณะนั้น ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน ทั้งนักพรตเต๋าชราและจิ้งจอกสาวต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ในเวลานั้น นักพรตเต๋าชราก็ขยับมือของเขาออกไปทันทีราวกับต้องหนาม
ทว่าดวงตาของจิ้งจอกสาวก็เต็มไปด้วยแววอ่อนโยน
จากนั้นนางก็กล่าวเบาๆ ว่า “นักพรตเต๋า ข้าจะช่วยรักษาบาดแผลของเจ้าให้เอง”
“อืม…ได้!”
ที่ด้านนอกค่ายกล นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่ว ปรมาจารย์ใหญ่ อาจารย์ลุง อาจารย์อา ศิษย์น้องหญิง และลูกพี่ลูกน้องของเขา ล้วนยืนขึ้นและแสดงท่าทางเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน และพวกเขาก็เอามือปิดหน้าผากของพวกเขาด้วยกันทั้งหมด
ข้ามองไม่ได้ ข้าทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้
………………………………………………………………..
[1] เสเพล ชั่วร้าย ร่อนเร่พเนจร ไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย
[2] ตัวตน ภูมิหลัง ร่องรอยที่อยู่
—————————–