ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 712 ความเศร้าใหญ่หลวง (2)
บทที่ 712 ความเศร้าใหญ่หลวง (2)
ในขณะนี้หลี่ฉางโซ่วเพ่งจิตสนใจครึ่งหนึ่งของเขาไปที่ห้องลับแห่งยอดเขาหยกน้อย เขากางกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งออกมาก่อนจะเริ่มจัดระเบียบความคิดของเขาด้วยวิธีการแบบเดิม
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าคำเตือนของจอมปราชญ์หนี่วานั้นสำคัญยิ่ง
ข้อได้เปรียบที่แท้จริงของเขาก็คือ ‘ความคิดแปลกประหลาด’ ที่สิ่งมีชีวิตในโลกบรรพกาลไม่มี
ในโลกบรรพกาลเวลานี้ ผู้ใดจะมีพลังเวทและพลังศักดิ์สิทธิ์เหนือไปกว่าจอมปราชญ์ได้?
หากพลังเวทและพลังศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยราชินีโฮ่วถู่ได้…
หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าพูดพล่ามว่าจอมปราชญ์คนอื่นๆ จะทำอะไร แต่จอมปราชญ์หนี่วาก็ได้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า หากนางสามารถลงมือได้ นางก็จะไม่ยืนนิ่งเฉยอยู่ข้างๆ โดยไม่ทำอะไรเลย
เพราะอย่างไรเสีย โฮ่วถู่ก็เคยเป็นคู่แข่งและเป็นสหายที่ดีของนาง
“เฮ้อ…”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจทันทีในขณะที่เขาเข้าใกล้เกาะเต่าทอง
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจึงเอ่ยถามอย่างอบอุ่นว่า “มีอันใดผิดไปหรือ?”
“จู่ๆ ก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “บ่อยครั้งที่ข้ามักได้ยินคนพูดกันว่าคนดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี.
ทว่าหลังจากที่ราชินีโฮ่วถู่เสียสละตัวเองเพื่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและกลายเป็นแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี นางก็ยังคงต้องอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับกลับมาจากหมู่มวลสิ่งมีชีวิต
ความสุขของผู้คนส่วนใหญ่ในสามอาณาจักรที่ดูเหมือนงดงามนั้น อาศัยสิ่งมีชีวิตน้อยนิดที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดทนทุกข์…
เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไรจริงๆ”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า “ไฉนจู่ๆ เจ้าถึงได้ลึกซึ้งเช่นนี้? ฉางโซ่ว แค่กๆ ฉางเกิง”
“ข้าอยู่นี่ขอรับ”
“นี่คือเต๋า”
หลี่ฉางโซ่วอดจะตะลึงงันไม่ได้ เขายืนอยู่ข้างปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ด้วยความรู้สึกงุนงงอยู่เป็นเวลานาน แล้วเขาก็หัวเราะออกมา
จากนั้นเขาก็แปลงร่างเป็นเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ที่มีเส้นผมสีขาว และสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมกับเผยรอยยิ้ม เขากล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีข้อกังขาขอรับ”
“ว่ามาเถิด”
“สิ่งที่เต๋าเผยให้เห็นนั้น มีถูกหรือผิดหรือไม่?
มีด้านดีและด้านร้ายหรือไม่?
มีดีมีชั่วหรือไม่ขอรับ?”
“แน่นอนว่าไม่” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เต๋าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเรา ทั้งเจ้าและข้า พวกเราเพียงกำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน พวกเรากำลังแสวงหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแห่งเต๋า”
“แต่ศิษย์พี่ สิ่งมีชีวิตก็เป็นได้ทั้งถูกและผิด ทั้งยังมีดีและชั่วเฉกเช่นเดียวกัน” หลี่ฉางโซ่วกล่าวเบาๆ
“แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นเต๋าเดียวกันได้หรือไม่ขอรับ?”
คราวนี้ เป็นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ตะลึงงัน
เขาเอามือไพล่หลังและครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้น เขาก็หัวเราะและกล่าวต่ออย่างอบอุ่นว่า “หากพูดถึงในด้านของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เจ็ดอารมณ์ และหกปรารถนานั้น แน่นอนว่า โดยธรรมชาติแล้ว ล้วนเป็นเต๋าใหญ่
แต่ในแง่ของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนั้น มันก็เป็นปรากฏการณ์สะท้อนการพัฒนา เปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวของเต๋าใหญ่และวิญญาณแท้ และไม่อาจพูดคุยในแง่ของเต๋าได้
ดังนั้น เจ้าและข้าต่างก็แสวงหาอิสรเสรีภาพและชีวิตที่สบายไร้กังวล แต่เราก็ไม่อาจไปไกลเกินกว่าเต๋าได้
มันก็เหมือนถ้อยคำที่มักกล่าวกันว่า เราทำอะไรตามแต่ใจปรารถนาได้ แต่ต้องไม่ออกนอกเหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ เพียงเพื่อสิ่งมีชีวิตสามารถติดตามอยู่กับเต๋า และรู้สึกผ่อนคลายหัวใจของพวกเขาได้
มันคือความแสนสุขอย่างไร้ที่สิ้นสุด”
หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็โค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แจง ไขข้อข้องใจให้กระจ่างแจ้ง ขอรับ”
“ดี” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าแย้มยิ้มพลางแอบปาดเหงื่อ
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้เข้าใจได้ในขอบเขตใดกัน?
นี่เพียงแค่สองสามร้อยปีเท่านั้นเองหรือ?
หากเขาฝึกบำเพ็ญต่อไปอีกสักสองสามร้อยปี ข้อสงสัยต่อไปที่เขาถามคงจะไม่ใช่เป็น…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หันศีรษะไปมองหลี่ฉางโซวซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความครุ่นคิดลึกซึ้งอีกครั้ง แล้วมุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
ได้เวลากลับไปเข้าปิดด่านที่เมืองเสวียนตูแล้ว
……
เมื่อหลี่ฉางโซ่ว และปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มาถึงเกาะเต่าทอง มันก็เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้เป็นเซียนบนเกาะเต่าทองกำลังเดินทางไปมาและหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง
เหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญที่ไม่มีธุระอะไรทำบนเกาะเต่าทองได้ช่วยจ้าวกงหมิงส่งสารออกไปทั่วทุกที่
จ้าวกงหมิงยังได้กล่าวชี้แจงล่วงหน้าอย่างชัดเจนด้วยว่า เขาได้เชิญสหายที่ดีของเขามาเป็นสักขีพยานที่เกาะเต่าทองในครั้งนี้เช่นกัน
เขาต้องการบอกเล่าถึงความทุ่มเทพยายามอย่างหนักของเขากับเทพธิดาจินกวงในระหว่างการก้าวเดินไปในวิถีแห่งการเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาทั้งสอง…
บัดนี้ได้คืนสถานะ กลายเป็นสหายศิษย์ธรรมดากันอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ยินหลี่ฉางโซ่วกล่าวถึงเรื่องนั้น เขาก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
นั่นนับเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่มีเรื่องแปลกใหม่เช่นนี้เกิดขึ้นในโลกบรรพกาล
แต่ก็จะไม่มีบุญแห่งเต๋าสวรรค์ใดๆ ลงมาอย่างแน่นอน
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และหลี่ฉางโซ่วไม่ได้ปรากฏตัวออกมาโดยตรง ทว่าพวกเขาแอบซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของเกาะเต่าทองแทน
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังเฝ้ามองดูการจัดเตรียมการต่างๆ หลากหลายของเหล่าเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ทว่าในขณะนั้นหลี่ฉางโซ่วกำลังจดจ่ออยู่กับการครุ่นคิดหาวิธีว่าจะกอบโกยเอาบุญมหาศาลแห่งแดนยมโลกไปได้อย่างไร
หลี่ฉางโซ่วไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ เลยแม้เขาจะคาดหวังได้รับร่างทองแห่งบุญก็ตาม
สำหรับหลี่ฉางโซ่วแล้ว ความยากลำบากในการช่วยราชินีโฮ่วถู่จัดการกับปัญหาของร่างจำแลงทั้งเจ็ดอารมณ์นั้นยิ่งใหญ่กว่าการสังหารเหล่าปีศาจใหญ่แห่งกรรมร้ายโบราณเป็นร้อยเท่า
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว นั่นเป็นปัญหายากลำบากที่แม้แต่เหล่าจอมปราชญ์เองก็ไม่อาจจัดการแก้ไขได้
หลี่ฉางโซ่วถือว่า สิ่งนี้เหมือนเป็นอาการเจ็บป่วย และรู้สึกว่าสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ การป้องกันไม่ให้สภาพอาการเลวร้ายลง
ทว่าเขาจะป้องกันมันได้อย่างไร?
ปล่อยให้เรื่องสังสารวัฏหกวิถีหยุดลงหรือ?
หากเต๋าสวรรค์ไม่ยินยอม บางทีราชินีโฮ่วถู่เองก็อาจจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา บรรดาเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยกว่าพันคนต่างก็มารวมตัวกันที่เกาะเต่าทอง…