ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 749 อารัมภบทสัตว์เทพ (3)
บทที่ 749 อารัมภบทสัตว์เทพ (3)
ความรู้สึกที่ไม่ต้องกังวลกับแผนการและสามารถควบคุมทุกอย่างได้เช่นนี้ ก็ไม่เลวจริงๆ
นั่นยังเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของฐานพลังของเขาเช่นกัน การเพิ่มพลังอำนาจของเขาในสำนักบำเพ็ญเต๋า จำนวนทรัพยากรที่เขามีในมือเพิ่มมาขึ้น และการสนับสนุนที่มั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นที่อยู่เบื้องหลังเขา
แต่หลี่ฉางโซ่วก็รู้ว่าเช่นกันเขาไม่ได้วางเฉยเลยจริงๆ
เช่นเดียวกับที่จอมปราชญ์ไท่ชิงซึ่งยอมรับเขาในฐานะเป็นศิษย์แล้ว นั่นก็คือการวางเฉยและความสงบสุขอย่างแท้จริง
เมื่อจอมปราชญ์ไท่ชิงพบบางสิ่งที่เขาไม่ชอบ เขาก็สามารถจัดเตรียมมนุษย์เครื่องมือเวทที่ยอดเยี่ยมนอย่างง่ายๆ เพื่อจัดการกับมันได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส อย่างมากที่สุด เขาก็เพียงเข้าไปแทรกแซงและจัดการมัน
เจดีย์เสวียนหวง แผนภาพไท่จี๋ หนึ่งลมปราณแปรสามวิสุทธิ์
ที่จุดสูงสุดของจอมปราชญ์ทั้งหก การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ก็ย่อมจะทำให้เทพและภูติผีปีศาจต่างตื่นตกใจ
ในเวลานี้ขอบเขตพลังเล็กๆ ที่เขาเพิ่งไปถึงนั้น ยังคงห่างไกลจากจุดนั้น
*วิ้งๆๆ*
หลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งทำสมาธิท่ามกลางแสงเพลิงในเตาหลอมโอสถ เขาหยุดฝันกลางวันของเขา และอัดฉีดพลังเซียนเข้าไปในนั้น เขาห่อโอสถเอาไว้ข้างใน และค่อยๆ บีบไล่พลังลมปราณที่เหลืออยู่ในนั้นออกมาช้าๆ
จากนั้น ด้านบนของเตาหลอมโอสถก็เปิดออก แล้วเม็ดโอสถกลมโตก็บินออกมาและลอยอยู่ในฝ่ามือของหลี่ฉางโซ่ว แล้วแสงสว่างเรืองรองก็ค่อยๆ จางลงและหายไปทีละน้อย
ในขณะนั้น กลิ่นหอมจางๆ ได้ตลบอบอวลไปทั่วทั้งหอโอสถ
หลี่ฉางโซ่วสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
การหลอมเม็ดโอสถวิญญาณระดับหก เป็นขีดจำกัดของเตาหลอมโอสถนี้หรือไม่?
ตอนนี้ นอกเหนือจากสมุนไพรล้ำค่าและสมุนไพรวิญญาณที่เป็นระดับสมบัติแห่งสวรรค์และปฐพีแล้ว สิ่งเดียวที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าในเต๋าหลอมโอสถของเขาอย่างมากก็คือ เครื่องมืออุปกรณ์เหล่านั้น
บัดนี้ เขาสามารถใช้เตาหลอมโอสถแปดรูปลักษณ์ของเหล่าจื้อได้แล้ว
ทว่าการไปขอยืมเตาหลอมโอสถแปดรูปลักษณ์ที่วังดุสิตเพื่อหลอมโอสถนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการขอเม็ดโอสถจากเหล่าจื้อทางอ้อมเท่านั้นหรอกหรือ?
หากเหล่าจื้อไม่พอใจและปรมาจารย์จอมปราชญ์ไม่พอใจ แล้วนั่นจะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกหรือ?
“เสี่ยวโซ่วโซ่ว?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากประตูหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วหันกลับมาและเห็นศีรษะที่มีเส้นผมสั้นพอประมาณโผล่เข้ามาจากประตู
“เจ้ากำลังหลอมของดีๆ อันใดอีก? ให้อาจารย์อาชิมดูสักหน่อยสิ!”
“นี่” หลี่ฉางโซ่วโบกมือขวาแล้วสะบัดนิ้วดีดเม็ดโอสถออกไป
ทันใดนั้นเจ้าของศีรษะที่ประตูพลันอ้าปากออก แล้วกลืนเม็ดโอสถเข้าไปพร้อมกับเปล่งเสียงเบาๆ ทันที และก่อนที่จะทันได้เคี้ยว โอสถก็กลายเป็นของเหลวใสและเลื่อนไถลเข้าไปในลำคอแล้ว
“ว้าว… เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันมีรสขมๆ?”
คนผู้นั้นพึมพำและร่างที่ซ่อนอยู่ที่ข้างประตูก็พุ่งกระโดดเข้ามาพร้อมด้วยรังสีแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่า นั่นก็คือ จิ่วจิ่ว
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มันถูกหลอมเอาไว้ให้หลิงลี่ ผลคือ มันจะมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายของนางแข็งแกร่งขึ้น และนางจะได้รับประโยชน์จากการกินมัน”
“อะไรนะ?” จิ่วจิ่วอดจะตกใจไม่ได้ “มันจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น?”
“มีอันใดผิดไปหรือ?”
“อาจารย์อาของเจ้าคนนี้ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป! ไม่เช่นนั้น มันจะไม่กลมกลืนกับร่างกายส่วนที่เหลือของข้า!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างใหญ่หลวงที่โลกบรรพกาล … แค่กๆ ไม่ต้องห่วง
ท่านอาจารย์อา ท่านมาที่นี่เพื่อเอาสุราใช่หรือไม่? ข้าวางมันไว้ที่เดิมขอรับ”
“ฮิฮิ” ดวงตาของจิ่วจิ่ว เปล่งประกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางพลันกระโดดไปที่ชั้นวางตำราข้างๆ นาง และหยิบไหสุราขนาดเล็กสองไหออกไปทันที
“ขอบใจเจ้า เสี่ยวโซ่วโซ่ว!
เหอะ! อาจารย์อาจะกลับไปเข่นฆ่าให้หมดต่อไป!”
หลี่ฉางโซ่วเฝ้ามองดูด้านหลังของอาจารย์อาจิ่วจิ่วขณะที่นางขี่เมฆจากไปด้วยความพึงพอใจ
เขาหัวเราะเบาๆ และถอนหายใจ ดวงตาของเขาฉายแววสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย
นี่ไม่ใช่รูปแบบของการวางเฉยหรอกหรือ?
ทว่าอาจารย์อาจิ่วจิ่วก็ไม่ได้สนใจเรื่องของโลกนี้ นางมุ่งเน้นไปที่การฝึกบำเพ็ญบนภูเขาเท่านั้น
แต่ในทางกลับกันนั้น นางก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ซับซ้อนทุกประเภทในระหว่างสำนักใหญ่
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เก็บโอสถไป และใช้สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเพื่อมองไปที่สงหลิงลี่ ซึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ในป่า เขาไม่รีบร้อนที่จะมอบพวกมันให้นาง
ในขณะนั้น สงหลิงลี่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเป็นสองเท่าแล้ว ร่างกายของนางกำลังแผ่พุ่งกลิ่นอายที่ดุร้ายออกมา และสายโลหิตเผ่าเวทในร่างของนางก็ได้รับการกระตุ้นขึ้นอย่างสมบูรณ์เต็มที่
หลี่ฉางโซ่วได้รับสำเนาของวิชาลับแปดเก้าแล้ว แต่มันไม่เหมาะที่เขาจะสอนให้กับสงหลิงลี่ในเวลานี้
วิชาลับแปดเก้าเป็นเวทลึกลับที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายที่ทรงพลังแข็งแกร่ง ยิ่งร่างกายแข็งแกร่งมากเท่าใด มันก็ยิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ฝึกฝนได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วเพียงอยู่ในระยะเริ่มต้นของวิชาลับแปดเก้าเท่านั้น
หลังจากนั้น เขาก็ค้นพบว่า วิชาลับที่ราชินีโฮ่วถู่เขียนขึ้นมานั้น ไม่ใช่วิชาฝึกฝนทางร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดของมันก็คือ การเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและเพิ่มพลังปราณวิญญาณ
หลี่ฉางโซ่วตัดสินใจที่จะลองฝึกฝนวิชาลับนี้เพื่อเสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถเพิ่มปัจจัยด้านความปลอดภัยให้กับตัวเขาเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มความรู้สึกของเส้นสายต่างๆ และความแข็งแกร่งของร่างกาย ทั้งยังเพิ่มเสน่ห์และเพิ่มความมั่นใจในตนเองแห่งบุรุษเพศได้อีกด้วย
มันเป็นเพียงวิธีการฝึกฝนที่หาได้ยากและมีประสิทธิผลมากมายของเผ่าเวท
ราชินีโฮ่วถู่กล่าวว่า ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับตำราลับของเผ่าเวทที่ใครบางคนมอบให้นาง
หากใช้มันร่วมกับตำราลับของเผ่าเวทที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของนางได้ชั่วคราว…
ลองนึกถึงภาพสถานการณ์นี้:
ในสักวันหนึ่ง หลี่ฉางโซ่วจะมีท่านปู่เจดีย์อยู่เหนือศีรษะของเขา
เมื่อเขาเผชิญกับการถูกศัตรูที่ทรงพลังแข็งแกร่งปิดล้อม และฝ่ายตรงข้ามได้ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อกำราบ ปิดผนึก หรือส่งเขาปลิวกระเด็นออกไปชั่วคราว
ศัตรูที่ทรงพลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งย่อมจะร้องไห้ด้วยน้ำตาแห่งความยินดี พวกเขารู้สึกว่ารุ่งอรุณแห่งชัยชนะอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็เปิดฉากโจมตีหลี่ฉางโซ่วอย่างทรงพลัง
ในขณะนั้น สมบัติเวทที่ถูกซัดใส่และโยนออกไป เต็มไปทั่วท้องฟ้าแตกสลาย แต่ก็ทำให้เกิดเสียงและแสงดัง “ตึ้ง ตึ้ง” ขึ้นเป็นชุดๆ
กระบี่หัก ไม้หัก อิฐแตก…
ในยามนั้น หลี่ฉางโซ่วเปิดปกเสื้อคลุมเต๋าของเขาอย่างสงบ เผยให้เห็นผิวสีทองซีดของเขา
ในวันที่ฝนตก ร่างทองแห่งบุญ และวิชาลับแปดเก้าย่อมจะเข้ากันได้ดียิ่งขึ้น