ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 750 สัตว์เทพ ข้ารู้จักเทพวารีมานานแล้ว (1)
บทที่ 750 สัตว์เทพ ข้ารู้จักเทพวารีมานานแล้ว (1)
นอกเหนือจากความจริงที่ว่า หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ทำอะไรเลยในระหว่างการทดสอบครั้งแรก เขาใช้เวลาอยู่บนภูเขาเพื่อใคร่ครวญถึงวิชาลับแปดเก้า และการเปลี่ยนแปลงของเหล่ามนุษย์เวทบนภูเขาและรอให้พวกเผ่าปีศาจตอบสนอง
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนเทวะทักษิณ ในเมืองมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ขณะนี้ มีร่างสองร่างซึ่งมีอักขระเต๋าลึกลับคลุมเครืออยู่บนร่างของพวกเขา กำลังเดินเล่นอยู่ข้างสระบัวในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ขนาดมหึมาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล
นักพรตเต๋าลู่หยาได้คืนรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา ซึ่งเป็นนักพรตเต๋าหนุ่มที่แต่งกายดีและรูปงามแล้ว
“พ่อครัว” ที่อยู่ข้างๆ เขา บัดนี้ ได้เปลี่ยนเป็นสวมชุดเสื้อคลุมยาว เขาแย้มยิ้มในขณะที่แนะนำทิวทัศน์อันงดงามของคฤหาสน์ที่เขาจัดสร้างขึ้นให้นักพรตเต๋าลู่หยา และยังได้พูดคุยถึงการออกแบบเล็กๆ น้อยๆ ที่โดดเด่นเป็นเอกเหล่านั้นด้วยตัวเอง
ลู่หยาอดจะถามไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านจึงไปเป็นพ่อครัวที่ร้านขายสุรา? เหตุใดท่านไม่…”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนถามว่า “แล้วเหตุใด ข้าถึงเป็นพ่อครัวไม่ได้เล่า?”
“นี่…”
“เป็นเพราะเมื่อยามที่ข้ารับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน ข้าได้ใช้การทำนายและได้เป็นที่รู้จักของบรรดาสิ่งมีชีวิต และตอนนี้ข้าก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษที่นี่ ข้าจึงต้องเป็นหมอดูถึงจะเข้าคู่กับเขาได้ไม่ใช่หรือ?
ฮ่าฮ่าฮ่า!”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนลูบเคราแพะแล้วยิ้ม
“นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเององค์เดียวของฝ่าบาท ความจริงแล้ว ข้าความสนใจที่หลากหลายมากกว่าการทำนาย การสังเกต การสร้างค่ายกลเวท และอื่นๆ”
ลู่หยาถอนหายใจและกล่าวว่า “ผู้เยาว์รู้เพียงว่า ท่านผู้อาวุโสอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่นี่ เมื่อได้พบหมอดูที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ก็คิดว่าเป็นร่างจำแลงกายของผู้อาวุโส
ผู้อาวุโส ท่านยินดีจะพบผู้เยาว์หรือไม่? ท่านเต็มใจจะออกมาช่วยผู้เยาว์อีกครั้งหรือไม่?”
“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าไม่อาจรับได้ โปรดประทานอภัยให้ข้าด้วย” นักพรตเต๋าวัยกลางคนส่ายศีรษะอย่างเด็ดขาด ดวงตาของเขาฉายแววเสียใจ
“ข้ายังคิดว่า วันนี้ ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่เพื่อถามถึงวิถีทางรอดชีวิต แต่ไม่คิดเลยว่า ฝ่าบาทจะทรงมีดำริเช่นนี้
หากเป็นเช่นนั้น แล้วไยฝ่าบาทไม่ทรงเสด็จจากไปเสียแต่ตอนนี้? ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรต่อไปมากเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์ต่อฝ่าบาท”
ลู่หยาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า ผู้เยาว์กำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตใช่หรือไม่?”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนมองดูลู่หยาอย่างจริงจัง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดและมีประกายแสงวาบขึ้นมาในม่านตาของเขา
“ภัยพิบัตินั้นอยู่ไม่ไกล”
หัวใจเต๋าของลู่หยาพลันสั่นไหวเล็กน้อย ในสายตาของนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้นี้ เขาเห็นภาพเหตุการณ์หนึ่งที่หายวับไป…
ในภาพนั้น เขานอนอยู่บนทะเลสาบที่อาบไปด้วยเลือด เขาไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ หรือตายไปแล้ว แต่เขาอยู่ในสภาพที่น่าอนาถอย่างยิ่ง
หากเป็นผู้อื่นกล่าวเรื่องเหล่านี้กับลู่หยา และปล่อยให้เขาได้พบกับเรื่องเหล่านี้ ลู่หยาก็อาจพูดว่า เป่าเป้ย โปรดหันกลับมาสักหน่อย และก่นด่าสาปแช่งอีกครั้ง
“กล้าดีอย่างไรถึงมาทำให้ข้าสับสน!”
ทว่านักพรตเต๋าวัยกลางคนที่อยู่ต่อหน้าเขา ก็เป็นคนเพียงคนเดียวที่ลู่หยาอดจะเคารพนับถือไม่ได้ และยังไม่กล้าหมิ่นแคลน
ย้อนกลับไปเมื่อศาลปีศาจถูกทำลาย เขา ลู่หยาสามารถรอดชีวิตมาได้ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้นี้
นอกจากนี้ ในบรรดาแม่ทัพปีศาจสิบอันดับแรกของเผ่าพันธุ์ปีศาจโบราณนั้น ผู้เดียวที่สามารถลบล้างกรรมของตัวเองได้ และหลบหนีไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ เสียหายใดๆ จากมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจ ก็คือ นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้
หนึ่งในบรรดาแม่ทัพปีศาจชั้นยอดสิบอันดับแรกแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจโบราณนั้นก็คือ ไป๋เจ๋อ
ไป๋เจ๋อเป็นสัตว์ปีศาจวิญญาณเซียนเทียน มันเก่งกาจเรื่องการหยั่งรู้และการทำนาย มันรู้จักหยินหยาง เข้าใจชีวิตและความตาย และการประจบสอพลอเป็นยอด และหลบหลีกอันตรายเป็นเยี่ยมที่สุด
มันเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด รู้การปรากฏของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และเป็นผู้ใต้บัญชาที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิปีศาจแห่งศาลปีศาจเป็นอย่างสูง
นอกจากนี้ ในตอนนั้น มันยังเป็นกุนซือคนสำคัญของจักรพรรดิปีศาจในการถ่วงดุลอำนาจของปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงอีกด้วย
“ภาพวิญญาณไป๋เจ๋อ” ที่ไป๋เจ๋อวาดขึ้นมานั้น กลายเป็นรากฐานพลังอำนาจที่สำคัญสำหรับจักรพรรดิปีศาจในการปกครองเผ่าพันธุ์ปีศาจในสมัยโบราณ
ในขณะนั้น หน้าผากของลู่หยาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาถอนหายใจเบาๆ และโค้งคำนับให้ไป๋เจ๋อ
เขากล่าวว่า “ผู้อาวุโส โปรดช่วยข้าด้วยเถิด!”
“ทั้งหมดเป็นเพียงเท่านั้นเอง” ไป๋เจ๋อส่ายศีรษะและหัวเราะเบาๆ
“แม้ฝ่าบาทยังคงมีแววต่อสู้ดึงดันอยู่ในดวงตา และข้าก็ยังเป็นหนี้บุญคุณของอดีตจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้ว ข้าก็ต้องทดแทนบุญคุณนั้นคืนให้ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงรู้หรือไม่ว่าผู้ใดต้องการสังหารพระองค์?”
“เทพวารีแห่งศาลสวรรค์!”
ลู่หยาโพล่งคำพูดเหล่านั้นออกมา แต่หลังจากตะโกนออกไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ไป๋เจ๋อยิ้มและกล่าวว่า “ถูกต้อง เป็นเทพวารี
จักรพรรดิแห่งสวรรค์ต้องการสังหารพระองค์เพราะพระองค์เป็นองค์รัชทายาทแห่งศาลปีศาจ
และที่เทพวารีผู้นี้ต้องการสังหารพระองค์ก็เพราะพระองค์คือ นักพรตเต๋าลู่หยา”
ลู่หยารีบถามว่า “เพราะเหตุใดกัน? ข้ามีความบาดหมางลึกล้ำกับเทพวารีหรือ?”
“ข้าเองก็สุดรู้เช่นกัน”
ในขณะนั้นไป๋เจ๋อก็หยุดเดินและยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างสระบัว เขามองไปที่ใบบัวที่ติดต่อเนื่องกันอยู่บนผิวน้ำและสายตาของเขาก็มองห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ…
“ข้าพยายามหยั่งรู้เทพวารีมานานแล้ว ทว่าในท้ายที่สุด ข้าก็ไม่อาจหยั่งรู้เขาได้
ฝ่าบาท พระองค์ย่อมทรงรู้เช่นกันว่า แม้ข้าจะพอมีพลังเวทอยู่บ้าง และรู้การปรากฏของทุกสรรพสิ่ง แต่ข้าก็ไม่อาจหยั่งรู้ถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้จริงๆ หาไม่แล้ว หัวใจเต๋าของข้าก็จะถูกทำลายในทันที
เวลานี้ ข้าอยู่เฉยๆ และใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ดั่งกระเรียนป่าอยู่ในเมฆอย่างสันโดษ ข้าจะเพียงเฝ้าสังเกตดูสิ่งมีชีวิตที่ข้าสนใจเท่านั้น
เมื่อข้าสังเกตเห็นเทพวารีผู้นี้เป็นครั้งแรก ในยามนั้น เขายังมีวิหารเทพทะเลเพียงห้าหรือหกแห่งเท่านั้น ทว่าในเวลานั้น ข้าก็ไม่อาจมองเห็นรูปร่างหน้าตาและส้นเท้าที่แท้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นในขณะนั้น เขาจึงได้ใช้มาตรการป้องกันแล้ว และไม่ได้ผ่อนคลายการป้องกันของเขาเลยแม้แต่วันเดียว
ข้าแอบเฝ้าดูเทพวารีอย่างลับๆ มาจนถึงทุกวันนี้ และข้าก็ยังไม่อาจมองทะลุผ่านเขาได้…”
ไป๋เจ๋อหยุดไปชั่วคราวพลางถอนหายใจ
จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า “เทพวารีผู้นี้มีความอดทนและจิตใจดีงามเป็นเลิศ และการกระทำของเขานั้น ก็ละเอียดถี่ถ้วนอย่างน่ากลัวสุดๆ จนแทบจะทำให้ข้าขนลุกชันในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ เขาก็ยังเป็นคนที่มีคุณต้องทดแทนและมีแค้นต้องชำระอย่างแน่นอน
ฝ่าบาททรงรู้เรื่องที่ดวงตาแห่งท้องทะเลของเผ่าพันธุ์มังกรถูกทำลายไปหรือไม่?”
“แน่นอน ข้ารู้แล้ว” นักพรตเต๋าลู่หยากล่าว “ศาลสวรรค์และสำนักบำเพ็ญประจิมได้วางแผนกับเผ่ามังกร และในท้ายที่สุด เผ่ามังกรก็เลือกที่จะยอมจำนนต่อศาลสวรรค์
สำนักบำเพ็ญประจิมใช้เผ่าพันธุ์มังกรเพื่อสร้างพลังอำนาจให้แข็งแกร่ง ทำลายดวงตาแห่งท้องทะเลบูรพา และฉกชิง ยึดเอาคลังสมบัติของทะเลบูรพาไป”