ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 752 สัตว์เทพ ข้ารู้จักเทพวารีมานานแล้ว (3)
บทที่ 752 สัตว์เทพ ข้ารู้จักเทพวารีมานานแล้ว (3)
“ข้าเพียงแต่เกรงว่า เมื่อพระองค์ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อศาลสวรรค์แล้ว เทพวารีผู้นี้ ก็จะขว้างมีดต่อหน้าพระองค์ และเติมเต็มชื่อเสียงแห่งความเมตตาของพระองค์
เขาจะต้องทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
ลู่หยารู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนมีก้างปลาติดในลำคอขึ้นมาทันที
“เหตุใดเทพวารีผู้นี้ถึงพุ่งเป้ามาที่ข้า?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” ไป๋เจ๋อถอนหายใจเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววที่ลู่หยาไม่อาจเข้าใจได้
“แผนอุบายของเทพวารีนั้นลึกล้ำสุดหยั่ง เขามักจะลงมือทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง
เขาปฏิบัติตน ราวกับใบหน้าไม่มีความสำคัญใดๆ และสมบัติก็เป็นดั่งเมฆและควันสำหรับเขา
สิ่งที่ทำให้ข้าชื่นชมมากที่สุดก็คือ เขาไม่เคยเห็นแก่ผลประโยชน์จนลืมคุณธรรมของเขา
แม้ข้าจะไม่เคยพบเทพวารีผู้นี้มาก่อน แต่ก็ดูเหมือนว่า ข้าจะรู้จักเขามานานแล้ว…”
“ผู้อาวุโส” นักพรตเต๋าลู่หยาถามเบาๆ ว่า “ท่านคิดหาวิธีกำจัดเทพวารีไม่ได้หรือ?”
“จัดการเขาหรือ?” ไป๋เจ๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า “สิ่งแรกที่ตกอยู่บนพระเศียรของพระองค์นั้น ไม่น่าจะเป็นแผนภาพไท่จี๋ หรือ กระบี่สังหารเซียนทั้งสี่ แต่เป็น…”
“อันใดกัน?”
“สายฟ้าเทพสวรรค์ม่วง”
ไป๋เจ๋อตบไหล่ของลู่หยาแล้วกล่าวว่า “อย่าทรงคิดมาก ตอนนี้ เทพวารีกำลังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ลงมือเคลื่อนไหว
เบื้องหลังของเขาคือ เต๋าสวรรค์ บรรพชนเต๋า และผู้ดำรงอยู่ที่สามารถทำลายล้างเราได้ด้วยการสะบัดนิ้วของเขาเท่านั้น
แทนที่จะคิดถึงเรื่องนั้น มาคิดกันดีกว่าว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พวกราชาปีศาจลุกขึ้นก่อการกบฏเพื่อเป็นการเอาใจเทพวารี”
ดวงตาของนักพรตเต๋าลู่หยาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในขณะที่เขาจมจ่อมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้ง
ผ่านไปสักพัก ลู่หยาก็ถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านช่วยข้าไปทักทายทำความรู้จักกับเทพวารี ในนามของผู้เยาว์ได้หรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่อาจทำได้ อย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้”
“เอ่อ ผู้อาวุโส เหตุใดท่านจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเพียงนี้…”
“อย่าล้อเล่นเช่นนั้นเลย”
ไป๋เจ๋อเม้มปาก แม้แต่เคราแพะของเขาก็ยังดูไม่พอใจเล็กน้อย
“ดูตี้จั้ง และเสี่ยวตี้ทิงเป็นตัวอย่างสิ เทพวารี กลัวเสี่ยวตี้ทิง หาใช่ตี้จั้งไม่
หากเทพวารีสบโอกาสเหมาะ เสี่ยวตี้ทิง สัตว์เทพน้อยที่สามารถฟังเสียงความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลได้ จะต้องถูกกำจัดอย่างรวดเร็วแน่นอน
แล้วจะนับประสาอะไรกับปีศาจโบราณเยี่ยงข้าที่มีความสามารถมากกว่าเสี่ยวตี้ทิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากข้าได้พบกับเทพวารี ก็จะมีจุดจบเพียงสองอย่างเท่านั้น”
บัดนั้นหัวใจเต๋าของลู่หยาก็รู้สึกมึนชาไปหมดแล้ว เขาเอ่ยถามเบาๆ ว่า “สองจุดจบนั้นคืออะไรหรือ?”
“เขาจะสังหารข้า หรือไม่เช่นนั้นก็ให้ข้าให้สัตย์สาบานว่าจะเป็นพาหนะของเขา”
ไป๋เจ๋อเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววหดหู่ใจ
“ตอนนี้เขายังไม่ได้แตะต้องข้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะการฝึกฝนเต๋าของเขายังไม่ลึกซึ้ง และเขาก็ยังสะสมพลังได้ไม่เพียงพอ ทว่าเมื่อเขาสร้างร่างทองแห่งบุญได้แล้ว เกรงว่า บางทีเขาก็อาจจะพุ่งเป้ามาที่ข้า”
ลู่หยารีบถามว่า “ผู้อาวุโส แล้วท่านจะไม่หลบหนีหรือ?”
“เราจะหนีไปที่ใดไหนได้?”
ไป๋เจ๋อยิ้มขื่นและกล่าวว่า “ตอนนี้เราทำได้เพียงแค่ใช้อุบายแกล้งตายเท่านั้น
ในเวลานั้น ไม่ว่าเราจะหลบหนีได้ทันหรือไม่ ทว่า… มันก็ไม่น่าจะได้ผล”
“เหตุใดกัน?”
“เทพวารีเก่งกาจเรื่องการสังหารมาก หลังจากฆ่าวิญญาณแล้ว เขาจะไม่เหลือร่องรอยวิญญาณใดๆ ทิ้งเอาไว้ข้างหลังเลย”
ลู่หยาขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ ผู้อาวุโส ท่านไม่ได้กำลังพูดเกินจริงไปสักหน่อยหรือ?
หากเทพวารีผู้นี้ ทรงพลังเพียงนั้นจริงๆ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ปราบปรามภูเขาวิญญาณเสียเล่า? และเหตุใดเขาถึงไม่ทำลายเผ่าปีศาจของข้าเล่า?”
“ต้องให้เวลาเขาบ้าง”
ไป๋เจ๋อกล่าวช้าๆ ว่า “ในขณะนี้ ข้าสามารถบอกเรื่องของเทพวารีกับพระองค์ได้ว่า แม้เขาจะฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้ และคงใช้เวลาไม่เกินห้าร้อยปีที่เขาจะสามารถทำร้ายพระองค์ให้บาดเจ็บสาหัสได้ในการต่อสู้ที่ภูเขาเหยาเซิง
อย่าได้ถามถึงเรื่องอื่นใดอีก ข้าไม่กล้าไปเกี่ยวข้องกับกรรมของเขา”
ลู่หยาอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็ลังเลในขณะที่ไป๋เจ๋อคลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะและไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเมื่อเห็นเช่นนั้น
“ฝ่าบาท โปรดจำคำเตือนของข้าเอาไว้สักหน่อยเถิด”
“ผู้อาวุโสโปรดกล่าวมาเถิด ข้าจะจดจำมันเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน”
“เมื่อบรรดาผู้เป็นเซียนต่อสู้กัน เหล่าจอมปราชญ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง” ไป๋เจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สิ่งที่ศาลสวรรค์กลัวก็คือ เผ่าปีศาจยังคงแข็งแกร่งเหนือสามัญ ฝ่าบาท ขอพระองค์อย่าได้ไปเข้าร่วมกองกำลังกับภูเขาวิญญาณสำนักบำเพ็ญประจิมเป็นเด็ดขาด”
ลู่หยาโค้งคำนับให้อีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าจะจดจำคำสั่งสอนของผู้อาวุโสเอาไว้ในใจ!”
ทันใดนั้น ร่างของไป๋เจ๋อก็เลือนรางไปในทันที
ครั้นเมื่อลู่หยาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นไป๋เจ๋อกำลังค่อยๆ สลายหายไปกับสายลม และทั่วทั้งที่พำนักนั้นก็เงียบงันลงทันที
“ข้าขออำลาไปก่อน ขอฝ่าบาทโปรดถนอมตัวด้วย
ข้าได้ตอบแทนบุญคุณแล้ว ต่อไปในภายหน้า เราจะไม่พบกันอีก”
ในขณะนั้น ลู่หยาหลับตาลงและยิ้มขื่น เขาโค้งคำนับให้อีกสามครั้งก่อนจะหันหลังกลับและออกไปจากสถานที่แห่งนั้น
……
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น องค์รัชทายาทแห่งศาลปีศาจโบราณ ลู่หยา ก็ไปปรากฏตัวที่ชายแดนทางใต้แห่งดินแดนเทวะอุดร เขาชูแขนขึ้นและร้องตะโกนเพื่อประณามสวรรค์อย่างเป็นทางการ
และภายในหนึ่งวัน ราชาปีศาจจำนวนสามร้อยยี่สิบห้าตนก็สนองตอบ พวกมันพากันรวบรวมเหล่าทหารปีศาจนับล้านและปรมาจารย์เผ่าปีศาจนับพัน
พวกมันกล่าวว่า ศาลสวรรค์กดขี่ข่มเหงเผ่าปีศาจ และปราบปรามเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งมวล พวกมันล้วนฝ่าฝืนบัญชาแห่งศาลสวรรค์
บัดนั้น ดินแดนเทวะทั้งห้าแห่งโลกบรรพกาลก็เดือดพล่านตกอยู่ในความโกลาหล in an uproar และศาลสวรรค์ก็ได้รวบรวมกองทัพเพื่อเตรียมพร้อมออกศึก
เหล่าปีศาจจากทั่วหล้าล้วนรีบพุ่งไปที่ชายแดนดินแดนเทวะอุดรเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจของเผ่าปีศาจให้แข็งแกร่งขึ้น
บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ลับกระบี่ของพวกเขาให้คม และมุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนเทวะอุดรเช่นกัน
ราชาปีศาจตนหนึ่งร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายให้จัดตั้งศาลปีศาจขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในไม่ช้า เหล่าราชาปีศาจก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ในวันที่ลู่หยาได้ออกประณามศาลสวรรค์ เขาก็ได้ไปเยี่ยมชมยอดเขาหยกน้อยของสำนักตู้เซียน ในป่าไผ่ที่เงียบสงบ…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่ววางม้วนคัมภีร์ในมือลงและจ้องมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
ลู่หยาผู้นี้อาจได้ปรมาจารย์มาช่วยหรือไม่? เขาจึงสามารถคิดหาทางรุกและถอยเช่นนี้ได้
เขาต้องมั่นคง ในขณะนี้ องค์เง็กเซียนและเทพมารดาไม่ได้อยู่ในศาลสวรรค์
ในเวลานี้ เผ่าปีศาจก็เพียงแค่ไม่เชื่อฟังคำบัญชาและยังไม่ได้ปล่อยกองกำลังทหารของพวกมันอย่างเป็นทางการ
ข้าจะออกประกาศเรียกระดมพลออกไปสักพัก แล้วดูว่าเหล่าปีศาจจะขยายไปสู่การเริ่มโจมตีศาลสวรรค์หรือไม่
ตราบใดที่ยังมีเหล่าทหารปีศาจ…
ไม่สิ เสี้ยวกลิ่นอายลมปราณปีศาจ!
ตราบใดที่เสี้ยวกลิ่นอายลมปราณปีศาจมาถึงหน้าประตูสวรรค์ หลี่ฉางโซ่วก็สามารถใช้มันสร้างความวุ่นวายได้
เขายังขอให้แม่ทัพตงมู่ไปที่วังอวี่ซวี วังปี้โหยว และวังดุสิต เพื่อร่ำร้องเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยกล่าวว่า เผ่าปีศาจจะทำร้ายศาลสวรรค์ในขณะที่องค์เง็กเซียนกำลังเผชิญกับภัยพิบัติในโลกมนุษย์