ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 758 ของขวัญของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
บทที่ 758 ของขวัญของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ (3)
ขณะนั้น เหล่าปีศาจน้อยที่มีระดับฐานพลังต่ำต่างก็ไม่มีขวัญกำลังใจอีกต่อไป และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ถอยห่างออกไปไกล …
ในยามนี้ชาวเผ่าเวทมักจะปรากฏตัวออกมาท่ามกลางไอพิษในดินแดนเทวะอุดร
บรรดาสำนักเซียนทางตอนเหนือของดินแดนเทวะมัชฌิมา ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางใต้ พวกเขาได้รวมกำลังกันทำการปิดกั้นชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเผ่าปีศาจได้เหยียบย่างเข้ามาในดินแดนเทวะมัชฌิมา
โชคดีที่มีกองกำลังปีศาจกลุ่มอื่นๆ อยู่ในชายแดนอื่น ซึ่งคอยให้การสนับสนุนกองทัพปีศาจต้านสวรรค์ในดินแดนเทวะอุดรอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกมันปฏิบัติการต่อไปได้
ในเวลาเพียงครึ่งปี ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าปีศาจ ก็มีรอยร้าวปรากฏขึ้นมากมาย ทว่าพวกมันทั้งหมดก็ถูกกลุ่มปีศาจโบราณปราบปราม
หลี่ฉางโซ่วไม่เคยจับร่องรอยของนักพรตเต๋าลู่หยาได้เลย เขาติดตามนักพรตเต๋าลู่หยามาครึ่งปี แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีกุนซือกองทัพคนใดปรากฏตัวในเผ่าปีศาจ ซึ่งนั่นทำให้หลี่ฉางโซ่วงงุนงงเล็กน้อย
ลู่หยาคิดเคล็ดลับนี้คิดขึ้นมาเองหรือ?
ข้าไม่คิดเช่นนั้นแน่
บนยอดเขาหยกน้อย หลี่ฉางโซ่วได้ดึงจิตสนใจส่วนใหญ่ของเขากลับคืนมา และในขณะนี้ เขาซึ่งกำลังนั่งทำสมาธิเงียบๆ อยู่ในป่าไผ่ ก็ลืมตาขึ้น
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่ห้องเล่นไพ่เดินหมากที่ครึกครื้น และอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะปรากฏตัว หลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งเพิ่งออกมาจากการเข้าปิดด่าน กำลังจิบชาและพูดคุยกันในห้องเล่นไพ่เดินหมาก พวกนางกำลังดีดพิณและเดินหมากกันในขณะที่ปรมาจารย์ใหญ่เจียงหลินอ๋อร์ อาจารย์อาจิ่วจิ่ว และอาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือ กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในศึกสู้มหาเทพ
ในเวลาต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆไปที่กรงสัตว์วิญญาณ และสังเกตเห็นสงหลิงลี่ ซึ่งกำลังเข้าปิดด่านอยู่
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงเรียกหลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าให้ออกมาจากห้องเล่นไพ่เดินหมาก
ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังเปิดเผยบางสิ่งเกี่ยวกับศาลสวรรค์ให้หลิงเอ๋อร์ได้รับรู้ในระหว่างทาง
“ศิษย์พี่!”
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว”
โหย่วฉินเสวียนหย่าทักทายอย่างอ่อนโยนและโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่ว
หลิงเอ๋อร์ และโหย่วฉินเสวียนหย่าก็ขี่เมฆบินเข้ามาในเวลาเดียวกันพร้อมกับเรียกชื่อเขาเบาๆ สองครั้ง ในขณะนั้นเสื้อผ้าของพวกนางปลิวไสวไปตามสายลม พวกนางช่างดูงดงามนัก หากแต่ก็มีเสน่ห์ของตัวเองกันไปคนละแบบ
หลิงเอ๋อร์เปรียบดั่งหยกขาวบริสุทธิ์ไร้ที่ติ นางหวีผมเป็นจอนพลิ้วไหวสวยงาม สวมเสื้อท่อนบนสีขาวบริสุทธิ์ และชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนปักลายดอกกล้วยไม้
เมื่อรวมกับชุดกระโปรงยาวสีขาวบางเบาที่ยาวถึงเอว เรือนร่างของนางก็ช่างดูงดงามจนไม่อาจพรรณนาได้ว่าแสนสะคราญปานใด
ขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่าสวมชุดสีฟ้าเย็นยะเยือกที่นางโปรดปราน เส้นผมยาวของนางถูกมัดรวบเป็นหางม้า และลำคอระหงสีขาวราวหิมะของนางก็ช่วยเสริมส่วนเว้าส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบของนาง ทว่าเรือนร่างของนาง ก็ไม่อาจบดบังใบหน้าที่งดงามของนางได้
แม้กระนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สรุปได้ด้วยคำเดียว …
พวกนางเพียงแค่ดูมีเสน่ห์โดดเด่นสะดุดตาก็เท่านั้นเอง
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็สร้างข่ายอาคมกั้นรอบตัวพวกเขาทั้งสามคน เขามองไปที่หินสัมผัสบนร่างของเขา และยันต์หยกที่แยกออกมาเพื่อตรวจจับจิตใจที่ศิษย์น้องหญิงทั้งสองคนของเขาถือเอาไว้
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เอ่ยตรงประเด็นออกไปทันที “เสวียนหย่า เจ้าอยู่ห่างจากขอบเขตเซียนเทียนมากเพียงใดแล้ว?”
เสวียนหย่า?
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ศิษย์พี่คุ้นเคยกับศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?!
โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวว่า “ข้าจะต้องปลีกตัวไปเข้าปิดด่านอย่างน้อยสิบปี… ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ความก้าวหน้าในการฝึกบำเพ็ญของข้าช้าเกินไปหรือไม่เจ้าคะ?”
“การฝึกบำเพ็ญนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วไม่ เจ้าพากเพียรมาหนักมากแล้ว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่น
จากนั้นเขาก็หยิบโอสถสองขวดออกมาจากอ้อมแขนแล้วใช้พลังเซียนของเขา ส่งมอบพวกมันไปให้โหย่วฉินเสวียนหย่า
“นี่คือ เม็ดโอสถสำหรับเพิ่มระดับฐานพลังของเจ้า และยังช่วยเพิ่มการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นสูงและเต๋าใหญ่
เจ้ากินโอสถนี้ได้เพียงหนึ่งเม็ดในทุกๆ สิบปี อย่าได้ใจร้อนไป จงฝึกบำเพ็ญไปทีละขั้นตอน แล้วเจ้าจะฝ่าทะลวงด่าน บรรลุความก้าวหน้าไปได้มากที่สุดด้วยเม็ดโอสถนี้”
หลี่ฉางโซ่วเตือนอย่างเป็นกังวลและเอ่ยถามอีกครั้งว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเคยได้ยินเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างปีศาจกับศาลสวรรค์หรือไม่”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้” หลิงเอ๋อร์กล่าว
“ท่านอาจารย์ลุงและท่านอาจารย์อาหลายคนในสำนักกำลังพูดเรื่องนี้ พวกเขากล่าวว่า พวกเขามักจะได้ยินเรื่องนี้ผ่านการใช้เวทวายุวัจน์เจ้าค่ะ”
โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวว่า “ศาลสวรรค์ต้องการกำลังคนหรือเจ้าคะ?”
“ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนนัก” หลี่ฉางโซ่วกล่าว
“ขณะนี้ศาลสวรรค์อยู่ในช่วงเริ่มผงาดขึ้น ข้าต้องการฝึกฝนเจ้า เสวียนหย่า ให้เจ้าเป็นวีรสตรีผู้แกร่งกล้าที่น่าเคารพนับถือของศาลสวรรค์
ดังนั้น ข้าจึงอยากให้เจ้าได้รับการสนับสนุนจากระดับฐานพลังเซียนเทียน
ตอนนี้บรรดาทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษ ทว่าในด้านความแข็งแกร่งของผู้ฝึกบำเพ็ญ ทั้งบุรุษและสตรีก็มีความสมดุล
หากศาลสวรรค์สามารถสร้างแม่ทัพหญิงผู้แกร่งกล้าและห้าวหาญผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ ก็ย่อมแน่นอนว่า จะเป็นประโยชน์ต่อศาลสวรรค์อย่างยิ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็เม้มปากและประสานมือคารวะแน่นพร้อมกับก้มศีรษะลงพลางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เสวียนหย่าจะไม่ทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“อืม!”
ข้าจะอาศัยเจ้าเพื่อปรับปรุงความเป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีแห่งโลกบรรพกาล!
แน่นอนว่า เขาไม่อาจพูดเรื่องนี้ออกมาดังๆ ได้
หลี่ฉางโซ่วยังกล่าวต่อไปว่า “หลิงเอ๋อร์ การเตรียมตัวออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“นี่… ไม่เกินสิบสองปีหลังจากนี้… ฮิฮิ ศิษย์พี่ ท่านเต็มใจจะปล่อยให้ข้าไปเผชิญหน้ากับโลกบรรพกาลที่เย็นชานี้จริงๆ”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้า “ใช่ ข้าเต็มใจ ยิ่งกว่านั้น ข้ายังเต็มใจอย่างยิ่งอีกด้วย…”
ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจบ จู่ๆ ทั้งสามก็ได้ยินเสียงทักทายกะทันหัน
“หลิงเอ๋อร์กำลังจะออกไปฝึกฝนหรือ? นั่นก็ไม่เลว”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่!
หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปมองรอบๆ และเห็นแผนภาพไท่จี๋หมุนอยู่ข้างๆ เขา หลี่ฉางโซ่วย่อมไม่พลาดเกี่ยวกับพลังของแผนภาพไท่จี๋ สมบัติเซียนเทียนขั้นสูงสุดที่ปรากฏขึ้น
เสียงของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ดังขึ้น “ฉางเกิง เจ้ามากับศิษย์น้องหญิงทั้งสองคนของเจ้า ลองเดาสิว่า ศิษย์พี่ของเจ้าเอาอะไรมาให้เจ้าบ้าง?”
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกงุนงง เขาเตือนหลิงเอ๋อร์ และเสวียนหย่าว่าอย่าไร้มารยาท
จากนั้นเขาก็พาพวกนางทั้งสองคนไปที่แผนภาพไท่จี๋ และมาถึงหุบเขาใกล้กับสำนักตู้เซียนทันที
ในห้องเล่นไพ่เดินหมาก บัดนั้น จิ่วจิ่วได้เหลือบมองไปยังทิศทางของกรงสัตว์วิญญาณและพึมพำว่า “ไฉนจู่ๆ เขาถึงหายไปนะ?”
“เจ้าคิดถึงเขาหรือ?” เจียงหลินเอ๋อร์หรี่ตาพลางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าไปดูก็ได้นี่ คู่เซียนเทียน!”
“อาจารย์หญิง ท่านเพิ่งต่อสู้กับเซียนเทียนสองคนไปเจ้าค่ะ” จิ๋วอวี่ซือกล่าวเบาๆ “ข้ายังมีบันทึกของเซียนเทียนอยู่ที่นี่”
“เอ๋ เช่นนั้นหรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! อาจารย์หญิงไม่ได้โกงนะ!”
……
หมายเหตุ: ตัวละครบางตัวในหนังสือมีมุมมองบางอย่างที่ไม่ดี สัญญาว่าผู้เขียนจะเป็นเหมือนอ๋าวอี่ และจะไม่เรียนรู้จากศิษย์พี่รอง