ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 761 ครั้งหนึ่ง เคยมีปีศาจหนึ่งแสนตนเหยียบย่างผ่านท้องฟ้าและทำลายศาลปีศาจ (3)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- บทที่ 761 ครั้งหนึ่ง เคยมีปีศาจหนึ่งแสนตนเหยียบย่างผ่านท้องฟ้าและทำลายศาลปีศาจ (3)
บทที่ 761 ครั้งหนึ่ง เคยมีปีศาจหนึ่งแสนตนเหยียบย่างผ่านท้องฟ้าและทำลายศาลปีศาจ (3)
บัดนั้นหลี่ฉางโซ่วและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ต่างก็มองหน้ากันและหัวเราะออกมาทันที
จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กล่าวว่า “บางครั้ง แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล เพื่อให้บรรลุผล ก็ต้องใช้ทุกวิถีทาง การเป็นคนไร้ยางอายก็ไม่ได้ทำให้เสื่อมเสีย”
“ศิษย์น้องโหย่วฉิน” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจัง
“ในศาลสวรรค์นั้น กว่าเก้าในสิบส่วนของบรรดาทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ในยามนี้ ล้วนมาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์
เวลานี้ มนุษย์เป็นตัวเอกของโลก ดังนั้นศาลสวรรค์ก็ถือได้ว่า เป็นศาลสวรรค์ที่ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน
ข้าไม่สนใจเรื่องความเป็นตายของปีศาจที่ท้าทายสวรรค์อย่างเปิดเผยเหล่านี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเรื่องการครองคู่ของพวกมัน
การลดความแข็งแกร่งของศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ ทำลายขวัญกำลังใจของคู่ต่อสู้ และเพิ่มความขัดแย้งภายในของศัตรูก็คือ การปกป้องเหล่าทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์ของเราเอง
แน่นอนว่า ข้าไม่ได้เกลียดชังสิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้คนที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายในหมู่เผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย
แต่พวกเผ่าปีศาจที่กบฏต่อสวรรค์เหล่านี้ กำลังได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์จากการถูกศาลสวรรค์กดขี่ข่มเหงจริงๆ หรือ?
เพียงไม่กี่ปีนับตั้งแต่มีการจัดตั้งศาลสวรรค์ขึ้นมาเท่านั้น เหล่าปีศาจที่กบฏเหล่านี้ก็รู้สึกเพียงว่า พวกมันถูกคุกคามและรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
เหตุผลที่ศาลสวรรค์เจริญรุ่งเรืองขึ้นก็เป็นเพราะเต๋าสวรรค์นั้นเที่ยงธรรมเป็นที่สุด และศาลสวรรค์ก็ปฏิบัติตามเต๋าสวรรค์
ยิ่งศาลสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งบรรลุความสมดุลระหว่างความดีและความชั่วในสวรรค์และปฐพีได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”
โหย่วฉินเสวียนหย่าตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดลึกซึ้ง
ในขณะนั้นหลิงเอ๋อร์ก็พึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิงโหย่วฉินหาได้กล่าวโทษท่านไม่ ท่านอย่าโกรธ…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแย้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้นิสัยของศิษย์น้องโหย่วฉินหรือ? ศาลสวรรค์ต้องการผู้มีพรสวรรค์เช่นนาง”
หลิงเอ๋อร์เม้มปาก เมื่อครู่นี้ เขายังเรียกนางว่า เสวียนหย่า!
“เจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่าก้มศีรษะลงตอบรับ แต่นางก็ไม่ละทิ้งความพากเพียรพยายามในเรื่องนี้
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ จากด้านข้าง เขานึกถึงบางอย่างและยังคงแย้มยิ้ม
ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากศิษย์น้องอวิ๋นเซียวเข้าร่วมหารือด้วย…
ในยามนั้นหลี่ฉางโซ่วกังวลเกี่ยวกับ “ปรมาจารย์” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเผ่าปีศาจและในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ หลี่ฉางโซ่วจึงเอ่ยถามโดยตรงว่า “ศิษย์พี่ ข้ายังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า มีใครบางคนกำลังชี้แนะแนวทางให้ลู่หยาอยู่ข้างหลังเขาขอรับ”
ไม่ใช่ว่า เขาไม่ให้ค่าลู่หยา
แต่เขาเพียงแค่รู้สึกว่า หากนักพรตเต๋าลู่หยามีวิสัยทัศน์ และความคิดเห็นกว้างไกลเช่นนี้ เผ่าปีศาจย่อมจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ในเวลานี้อย่างแน่นอน
“เรื่องเล็กน้อย ให้ข้าหยั่งรู้ดูสักหน่อย”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่บีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้ และในเวลาไม่นาน เขาก็อุทานออกมาเบาๆ
หลี่ฉางโซ่วรีบเอ่ยถามว่า “เป็นซิ่วฉิวแดงหรือไม่ขอรับ?”
“หาใช่พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ ความจริงแล้ว อีกฝ่ายมีความสามารถในการลบล้างความลับสวรรค์!”
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หรี่ตาลงเล็กน้อยและยกมือขึ้นเพื่อเรียกแผนภาพไท่จี๋และถือมันเอาไว้ในฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็หลับตาและเพ่งสมาธิจดจ่อ
ครั้งนี้ เขาใช้เวลาเต็มๆ และอักขระเต๋าของแผนภาพไท่จี๋ก็หมุนเวียนไปอย่างต่อเนื่อง…
ในที่สุด ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็เอ่ยนามหนึ่งออกมาเบาๆ ว่า
“ไป๋เจ๋อ”
หลี่ฉางโซ่วผงะงันเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เข้าใจกระจ่างแจ้งทันที
“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นผู้บัญชาการปีศาจโบราณผู้นี้
ผู้บัญชาการปีศาจโบราณที่รอดชีวิตจากมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจนั้น รับมือไม่ง่ายเลย!
ศิษย์พี่ ข้าปล่อยให้ไป๋เจ๋อผู้นี้มีชีวิตอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
ศิษย์พี่ช่วยข้าลงมือกำจัดไป๋เจ๋อโดยเร็วที่สุดได้หรือไม่ขอรับ?
หากเขาช่วยลู่หยาอีกครั้ง ศาลสวรรค์ย่อมจะประสบปัญหาจริงๆ”
“ได้” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กล่าว “ข้าไม่คิดว่า ไป๋เจ๋อจะเริ่มเข้าสู่ภัยพิบัติเองในครั้งนี้
ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้!
ทว่าไป๋เจ๋อก็ยังเป็นสัตว์มงคลเซียนเทียน เขามีความสามารถในการแสวงโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ดังนั้นข้าจะต้องใช้ความพยายามและใช้เวลาพอสมควร”
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “บางที ข้าอาจใช้พลังเวทของเขาเพื่อแสวงโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติได้
ข้าสามารถย้อนกลับหยินและหยางและล่อให้เขาลงโอ่งได้”
“โอ้? น่าสนใจ บอกรายละเอียดมาให้ข้าที”
ในขณะนั้นเอง ศิษย์พี่ผู้นี้ที่กำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟริมแม่น้ำ ก็เริ่มทำการศึกษา…ร้อยวิธีข่มเหงสัตว์มงคล
แน่นอนว่า พวกวิธีนับร้อยนั้น ออกจะเกินจริงไป หลี่ฉางโซ่วเพียงให้แนวคิดแก่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไว้เจ็ดหรือแปดแนวคิดเท่านั้น
ตามความเข้าใจเกี่ยวกับไป๋เจ๋อของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้น เขาก็พบจุดอ่อนบางประการที่เป็นไปได้ของไป๋เจ๋อ
ตัวอย่างเช่น สัตว์มงคลประเภทนี้ เก่งกาจในการหยั่งรู้และมีพลังเวทลี้ลับ มันจะเก่งกาจในการปกป้องชีวิตของพวกมันเองด้วย
พวกมันดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่นเสมอมา และเป็นไปได้มากที่พวกมันจะเชื่อในสิ่งที่พวกมันกำลังคิดอยู่ในใจมากเกินไป
หลังจากที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้พูดคุยกับหลี่ฉางโซ่วตั้งแต่เที่ยงวันยันอาทิตย์อัสดง เขาก็แทบรอที่จะไปพบกับไป๋เจ๋อไม่ไหว
จากนั้นเขาก็นำปลาย่างสองตัวไปกินในระหว่างทางที่ทะลุผ่านจักรวาลแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ก่อนที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะจากไป เขาได้ทิ้งยันต์หยกสองแผ่นเอาไว้ให้หลี่ฉางโซ่ว
พวกมันได้บันทึกวิธีการสร้างทหารปีศาจเอาไว้เพื่อให้หลี่ฉางโซ่วสามารถหาทางฟื้นคืนอารมณ์ทั้งเจ็ดและสัมผัสรับรู้ทั้งหกของเหล่าทหารปีศาจได้
หลี่ฉางโซ่วก็หยิบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาต่อหน้าหลิงเอ๋อร์ และเสวียนหย่า จากนั้นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็ได้ขี่เมฆและนำเหล่าทหารปีศาจที่มีท่าทีราวกับหุ่นเชิดหนึ่งร้อยแปดตัวจากไป
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมดนั้น พวกเขาไม่ได้เอ่ยวาจาเลยสักคำ ในขณะนั้น พวกเขารับรู้เพียงคำสั่งของหลี่ฉางโซ่วเท่านั้น
ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้?
ระดับฐานพลังของพวกเขาเริ่มต้นจากการมีอายุยืนยาว พวกเขาปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและกฎห้ามอย่างเคร่งครัดโดยปราศจากความหวาดกลัวหรือการถอยหนีอย่างแน่นอน
พวกเขาเก่งการสู้รบแบบบุกโจมตีร่วมกัน และใช้พลังเซียนได้ดีที่สุด นอกจากนี้ พวกเขาแต่ละคนยังมีสมบัติวิญญาณมากมาย…
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบพวกเขาเหล่านี้ให้หลี่ฉางโซ่วเป็นผู้สั่งการ
ความจริงแล้ว เขาอยากให้พวกเขาพินาศไปพร้อมๆ กับพวกปรมาจารย์เผ่าปีศาจในดินแดนเทวะอุดรและมอบปลายทางสุดท้ายให้แก่ทหารปีศาจเหล่านี้
ความคิดนั้นไม่ได้ผิด แต่หลี่ฉางโซ่วก็มีแนวโน้มจะปล่อยให้พวกเขาได้ตัดสินใจเลือกเองมากกว่า…
บัดนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยุคที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองแล้ว และศาลสวรรค์ก็มีความสามารถพอที่จะปราบปรามเผ่าปีศาจได้
แล้วเหตุใดพวกเขาถึงต้องให้วิญญาณมนุษย์เหล่านี้กล้าหาญและเป็นวีรบุรุษ?
“ข้าคิดว่าพวกเขาอยากเห็นว่ายุคทองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งพวกเขาได้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มานั้น มันช่างงดงามตระการตาเพียงใด…”
หลี่ฉางโซ่วคิดถึงการเตรียมการของเหล่าทหารปีศาจและตัดสินใจว่าจะพาพวกเขาไปที่เมืองอันสุ่ย และปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ในโลกมนุษย์สักพักหนึ่ง
เขาเตรียมพร้อมที่จะลองอีกครั้งและรอให้สถานการณ์ของเผ่าปีศาจที่ชายแดนดินแดนเทวะอุดรมีเสถียรภาพมั่นคงมากขึ้น
เขาไม่รู้ว่าพลังสะท้อนแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดของราชินีโฮ่วถู่จะช่วยให้พวกเขากลับมาเป็นปกติได้อีกหรือไม่…
ทว่าก่อนที่หลี่ฉางโซ่วและเหล่าทหารปีศาจจะทันได้ไปถึงเมืองอันสุ่ย หลิงเอ๋อร์ก็รีบบินไปที่หอโอสถ
นางถือยันต์หยกที่ห่อหุ้มด้วยพลังเซียนมากกว่าสิบชั้นเอาไว้ในมือเล็กๆ ของนาง
“ศิษย์พี่!”
“ศิษย์ของสำนักบอกว่ามีคนอยู่ที่ประตูสำนักส่งยันต์หยกนี้มาให้เจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วย้ายจิตสนใจของเขากลับมาทันทีและถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“มีนักพรตเต๋าผู้หนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า เจ๋อไป๋ ได้ทิ้งมันเอาไว้ เขาต้องการมอบให้ท่านโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ศิษย์พี่!”
หลี่ฉางโซ่วตกตะลึง
เจ๋อไป๋… ไป๋เจ๋อ?
หากเป็นเขาจริงๆ แล้ว ก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้บัญชาการปีศาจโบราณคนนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้จริงๆ!