ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 770 หลักการของเฮยฉือ (2)
บทที่ 770 หลักการของเฮยฉือ (2)
ไป๋เจ๋อมาอยู่ด้านข้างของเทพวารีได้สำเร็จและกลายเป็นเด็กลากรถม้าที่ขยันขันแข็งของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
ต่อจากนี้ไป บางที เขาอาจจะถูกพบว่าตายอยู่ข้างๆ ร่างหลักของเทพวารีเสียเอง นับประสาอะไรกับการวางแผนร้ายต่อต้านโชคอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และปฐพี
และในภายภาคหน้า เขาจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างสงบสุข และหลับใหลไปกับสวรรค์และปฐพี ได้จริงๆ…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ไป๋เจ๋อก็ถอนหายใจเงียบๆ และค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
ผู้ใดจะตำหนิเส้นทางที่เขาเลือกเองได้เล่า?
ดูเหมือนว่า หลี่ฉางโซ่วจะสามารถมองทะลุผ่านความคิดของไป๋เจ๋อได้
เขายิ้มและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส อย่าผิดหวังเสียใจไปเลย สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินให้ความสำคัญกับความสงบสุขและการวางเฉย
ศิษย์พี่และข้าก็จะไม่บังคับให้ผู้อาวุโสทำอะไรมากกว่านี้
ผู้อาวุโสไม่ได้ยืนอยู่ข้างเผ่าปีศาจ นั่นก็ช่วยพวกเราเอาไว้ได้มากแล้ว”
ความคิดของหลี่ฉางโซ่วเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อข้าไม่อาจเอาชนะไป๋เจ๋อได้ ข้าจึงทำได้เพียงสร้างความสนิทสนมกับเขาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น!
ไป๋เจ๋อขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่แล้ว ข้าขอถามสหายเต๋าอีกครั้ง สหายเต๋าช่วยบอกข้ามาตรงๆ อย่างจริงใจได้หรือไม่?
สหายเต๋าไม่ความปรารถนาในอำนาจจริงๆ หรือ?”
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “หากข้าคาดไม่ผิด ผู้อาวุโสไม่อาจตรวจจับสถานที่ที่มีพลังแห่งเต๋าสวรรค์แข็งแกร่งได้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ข้าต้องหลีกลี้เต๋าสวรรค์”
“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสจะเข้าใจผิด” หลี่ฉางโซ่วกล่าวและส่ายศีรษะเบาๆ
เขายกมือขึ้นแล้ววางเบาะนั่งสมาธิสองใบและโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัวที่ริมสระ จากนั้นเขาก็ผายมือทำท่าทางเชื้อเชิญ
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ความจริงแล้ว ผู้อาวุโสได้ละเลยหลักการที่ง่ายที่สุดไป หากข้าพูดถึงมัน ผู้อาวุโสก็จะเข้าใจกรรมได้ที่นี่”
“หลักการอันใดกัน?”
“หากไม่เป็นเพราะตัวตนของข้า หากข้าไม่แสวงหาความสงบสุข และการวางเฉยแล้ว เช่นนั้น ปรมาจารย์จอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินของเราจะเลือกข้าได้อย่างไร?”
ไป๋เจ๋อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดอะไรไม่ออก เขาซุกหัวไว้ที่อุ้งเท้าหน้าแล้วถอนหายใจ
“ข้าฉลาดมาก ฉลาดมาตลอดชีวิต แต่ข้ากลับถูกจับได้ในช่วงเวลาที่อับปัญญานัก!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและส่ายศีรษะในขณะที่ปล่อยให้ไป๋เจ๋อรู้สึกหดหู่ใจอยู่ตามลำพังสักพักหนึ่ง
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “ต่อจากนี้ไปในภายหน้า ผู้อาวุโสจะต้องรักษารูปลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ต่อหน้าผู้คนภายนอกเท่านั้น เมื่อเราพบกันเป็นการส่วนตัว ผู้อาวุโสก็สามารถทำอะไรได้ตามต้องการ”
ไป๋เจ๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น อารมณ์ของเขาผ่อนคลายยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ค้นพบความผิดพลาดร้ายแรงของเขาและยอมรับตัวตนในยามนี้ของเขาชั่วคราว…
เขาเป็นคนควบคุมรถม้าของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
ไป๋เจ๋อฟื้นคืนร่างของเขาในฐานะนักพรตเต๋าวัยกลางคน มีรอยแดงที่ดูเหมือนหยดน้ำตาบนหน้าผากของเขา เส้นผมยาวบนหน้าผากของเขากลายเป็นสีเงิน ทำให้เขามีกลิ่นอายปีศาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ในขณะนั้น ไป๋เจ๋อสวมชุดคลุมสีขาวหลวมๆ และนั่งตรงข้ามโต๊ะเตี้ย เขายิ้มขื่นและกล่าวว่า “ข้าต้องการอะไรกันแน่?”
“มั่นคงมากขึ้นและสั่นคลอนน้อยลง และจัดการแก้ไขกรรมแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วหยุดไปชั่วขณะและคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่า ยังมีพันธนาการเพิ่มเติมอยู่ ทว่า…”
“อย่างไรกัน?” ไป๋เจ๋อถามด้วยรอยยิ้มขื่น
“เหตุและผลของเรื่องนี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ถึงพลังเวทของผู้อาวุโสในการแสวงโชคและหลีกเลี่ยงภัยพิบัติหรือ?”
หลี่ฉางโซ่วประสานมือแล้วโค้งคารวะให้พลางหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “น่าอิจฉาจริงๆ!”
ไป๋เจ๋อสับสนเล็กน้อย และรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขาอยากบ่น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แล้วจ้องมองไปที่สระน้ำด้วยความงุนงง
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เจ๋อก็หายใจออกมาช้าๆ พร้อมเผยรอยยิ้มที่ดูไร้กังวลมากขึ้น
ดวงตาของไป๋เจ๋อมองออกไปในระยะไกลในขณะที่เขากล่าวช้าๆ ว่า“หลังจากสมัยโบราณแล้ว เดิมที ข้าก็คิดว่าชีวิตของข้าจะว่างเปล่า
ข้าจึงทำได้เพียงแค่ค่อยๆ ค้นหาไปรอบๆ และในที่สุด ก็พบสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยเพื่อจะได้นอนหลับใหลไปกับสวรรค์และปฐพีอย่างสงบในตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
เป็นเพราะ ข้ายังเคยเห็นท่านและศาลสวรรค์ในยามนี้มาก่อน แล้วข้าก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความยากลำบากในการช่วยเหลืออดีตจักรพรรดิเพื่อสร้างศาลสวรรค์โบราณ ความยากลำบากของพวกจอมปราชญ์ผู้ทรงพลังแข็งแกร่ง และหัวใจเต๋าของข้าก็ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่
ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นความผิดพลาดที่ต้องชำระจิตใจ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เหตุใดถึงรู้สึกสนใจที่จะควบคุมชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วน?”
ไป๋เจ๋อกล่าวว่า “การได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เฝ้าดูความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยของสวรรค์และปฐพี นั่นจะไม่ใช่เรื่องยอดเยี่ยมหรอกหรือ?”
“สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ล้วนไม่ใช่หญ้าไร้ชีวิตเหล่านี้ และไม่ใช่ปลาที่ยังไม่มีสติปัญญาก่อเกิดขึ้นมาอีกด้วย
พวกมันทั้งหมดต่างก็มีความคิด ความปรารถนา ความต้องการ ความสับสน และความสุขของตัวเอง
พวกมันเกิดมาเพื่อท่องไปทั่วทั้งของสวรรค์และปฐพี หาใช่เพื่อสักการะบูชาร่างที่อยู่บนจุดสูงสุด เหนือหมู่มวลสิ่งมีชีวิตไม่
ความปรารถนาในอำนาจเป็นเพียงความปรารถนาของตัวเองเท่านั้น แล้วไฉนจึงต้องใช้คำว่า วีรชน ไม่ธรรมดา ราชา และผู้ดำรงอยู่สูงสุด เพื่อทำให้มันดูงดงามเล่า?
สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่กดขี่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเพียงเพื่อให้รู้สึกพึงพอใจทั้งทางร่างกายและจิตใจเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วหยิบไหสุราและจอกหยกสองใบออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นเขาก็รินสุราให้กับไป๋เจ๋อหนึ่งจอก
“ผู้อาวุโสน่าจะรู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร ผู้อาวุโสสามารถซ่อนตัวได้ครึ่งหนึ่งในช่วงที่เผ่าพันธุ์ปีศาจถึงจุดสูงสุด ผู้อาวุโสน่าจะเข้าใจหลักการง่ายๆ เช่นนี้”
ไป๋เจ๋อมองดูสุราในจอกของเขาแล้วยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา
“มันเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะเข้าใจหลักการนี้เมื่อศาลปีศาจถูกทำลาย
สหายเต๋าฝึกบำเพ็ญมาเพียงสองสามร้อยปีเท่านั้น แต่ได้เข้าใจมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
ความปรารถนาในอำนาจนั้น หาใช่ความปรารถนาของตัวเองไม่ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดมาเพียงเพื่อเดินทางท่องไปทั่วทั้งสวรรค์สวรรค์และปฐพี
มันไม่มีเหตุผลเลยที่ข้าจะสูญเสียท่าน…”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและดวงตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
เขากล่าวว่า “ที่ข้าเอาชนะผู้อาวุโสได้นั้น เป็นเพียงโชคล้วนๆ จริงๆ นอกจากนี้ มันยังเป็นเพียงพรที่ศิษย์น้องหญิงของข้าได้นำมาด้วย”
“อืม” ไป๋เจ๋อถือจอกสุราแล้วค่อยๆ เลื่อนมันมาที่ริมฝีปากของเขา เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมาบนใบหน้าที่อ่อนโยนและหล่อเหลาของเขา
“กล้าพูดว่าท่านไม่มีความปรารถนาในอำนาจเลยหรือ?”
“หากเทียบกันแล้ว มันน่าจะน้อยกว่า”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจจะปกครองผู้อื่น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ข้าชอบความเงียบและความสงบสุขมากกว่า
ทว่าตรงข้ามกับผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเพลิดเพลินกับการได้ช่วยเหลือจ้าวผู้ปกครองที่ชาญฉลาด
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาในอำนาจเช่นกัน แต่เขาไม่กล้าจะแบกรับกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เขาจึงต้องการช่วยให้สิ่งมีชีวิตบรรลุถึงจุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และได้รับความรู้สึกถึงความสมหวังและการดำรงอยู่ของตนเอง?”
ไป๋เจ๋อตกตะลึง เขาตั้งใจฟังคำพูดของหลี่ฉางโซ่วอย่างระมัดระวัง และพยักหน้าช้าๆ
“ข้าพอใจในเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่า ข้าไม่กล้าจะแบกรับกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกว่าข้าไม่คู่ควร
หากข้าสามารถช่วยจ้าวผู้ปกครองที่ชาญฉลาดให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นเป็นครั้งที่สองได้ แล้วเมื่อทำสำเร็จ ก็สละโลกไป และฝากชื่อ ไป๋เจ๋อ เอาไว้ในสวรรค์และปฐพี…
มันคงจะยอดเยี่ยมจริงๆ!
เฮ้อ ตอนนี้ ข้าก็คิดได้เพียงเท่านี้ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
………………………………………………………………..