ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 771 หลักการของเฮยฉือ (3)
บทที่ 771 หลักการของเฮยฉือ (3)
ไป๋เจ๋อหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความทรงจำที่ยังเหลืออยู่
เขาดื่มสุราในจอกหมดในรวดเดียว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาก็ยังคงฉายแสงวิบวับอยู่เล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเต็มใจที่จะรับใช้ศาลสวรรค์ในยามนี้แล้วหรือไม่?”
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ” ไป๋เจ๋อส่ายศีรษะช้าๆ
“สหายเต๋า ศาลสวรรค์ในวันนี้ไม่มีที่สำหรับข้าให้ยืนหยัดอีกแล้ว”
“มีทิวาราตรีบนท้องฟ้า เต๋าแบ่งเป็นหยินหยาง…
ช่างเถิด มันไม่ใช่เวลาจะมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้”
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ขัดจังหวะตัวเองและจงใจทิ้งข้อความเอาไว้เล็กน้อย
บังเอิญว่า หลิงเอ๋อร์บินมาจากด้านนอกภูเขาพร้อมกับถาดในมือและจานอาหารเครื่องเคียงอีกสองสามจาน…
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงเอ๋อร์ก็วางจานลงแล้วกล่าวว่า “ขอให้ถูกปากนะเจ้าค่ะ ” จากนั้น นางก็ขยิบตาให้ศิษย์พี่ของนางและขี่เมฆจากไป
ทว่าไป๋เจ๋อก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งทันที เขามองดูอาหารเลิศรสตรงหน้าแล้วสูดดมมันเบาๆ
และทั้งที่ยังไม่ได้รับการเชื้อเชิญจากหลี่ฉางโซ่ว เขาก็ใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำปลีหยกขาวมาคำหนึ่ง แล้วใส่ปากเคี้ยวมันอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาก็กล่าวชมเปาะว่า “แม้รสชาติจะไม่ดี สียังไม่สมบูรณ์ และมีกลิ่นหอมแรงเกินไป แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจที่มีความพยายามและความรักของศิษย์น้องหญิงที่มีต่อศิษย์พี่ของนางอยู่ในนั้น
ช่างหายากและล้ำค่ายิ่งนัก ฮ่าๆๆ!”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสก็ชอบอาหารอร่อยเหมือนกันหรือ?”
“เมื่อข้าใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้ค่า ความสุขเพียงอย่างเดียวของข้าก็คือ การได้ทำอาหารโอชะ และลิ้มรสมันร่วมกับผู้อื่น ข้าจะชิมมันตามลำพังคนเดียว”
ไป๋เจ๋อมองไปรอบๆ แล้วกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้เรียบง่าย รอให้ข้าสร้างบ้านแล้ว ข้าก็จะแสดงฝีมือบางอย่างให้สหายเต๋าดู”
“ผู้อาวุโสโปรดช้าก่อน ในเมื่อผู้อาวุโสเป็นปรมาจารย์ในแขนงนี้ ข้าเองก็อยากแสดงฝีมือของข้าให้ผู้อาวุโสได้ประจักษ์เช่นกัน”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็โยนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกไปสองตัว และรีบสร้างแท่น ตั้งหม้อเอาไว้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็กลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยด้วยตนเอง และเลือกสัตว์วิญญาณที่ล้ำค่าและหายากสองตัวมา เขายังเลือกปลาวิญญาณตัวอวบอ้วนสองตัวแล้วพาพวกมันกลับไปที่ยอดเขาเฮยฉือ
บางครั้งการมีงานอดิเรกร่วมกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ไป๋เจ๋อเริ่มท้าทายในการแข่งขันทำอาหารกับหลี่ฉางโซ่วก่อน และหลี่ฉางโซ่วก็ได้อธิบายเงื่อนไขทั้งหมดก่อนจะพยักหน้าตกลง
พวกเขาทั้งสองกระทำการเป็นผู้ตัดสินให้กันและกัน และแสดงฝีมือของพวกอยู่ริมสระในภูเขาที่รกร้าง
ไป๋เจ๋อหลงใหลในเต๋าแห่งการทำอาหารมาหลายปีแล้ว ทักษะการทำอาหารของเขาดีกว่าหลี่ฉางโซ่วมาก อาหารทุกจานล้วนประณีตอย่างยิ่ง
ทว่าข้อดีของหลี่ฉางโซ่วก็คือ เขามีกลอุบายมากมายอยู่ในแขนเสื้อ
นอกจากนี้ เขายังเชี่ยวชาญในการปรุงรสชาติใหม่ๆ ที่หาพบได้ยากในโลกบรรพกาล
ในท้ายที่สุด เขาก็อาศัยเนื้อปลาที่ถูกหั่นเป็นแผ่นบางๆ เครื่องเทศที่เพิ่งปรุงรสใหม่ และประโยคที่ว่า “ปกติแล้ว ส่วนผสมชั้นสูงใช้เพียงการปรุงอาหารง่ายๆ เท่านั้น” ซึ่งทำให้ไป๋เจ๋อตกตะลึงสุดๆ
จากนั้น พวกเขาทั้งสองก็ดื่มกันจอกชนจอกจนเมามายเล็กน้อย และบัดนี้ ดูเหมือนว่า พวกเขาจะไร้ความเป็นศัตรูกันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
และในท้ายที่สุด ในขณะนี้ไป๋เจ๋อก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหลี่ฉางโซ่ว และเขาก็ไม่กล้าอวดดีมากเกินไป
ดังนั้นเขาจึงขอให้หลี่ฉางโซ่วเรียกขานเขาตามชื่อจริงของเขา และแนะนำให้พวกเขาหารือเรื่องทักษะการทำอาหารกันต่อไปในภายภาคหน้า
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเรียกไป๋เจ๋อ “ท่านครูไป๋”
ดังนั้น เมื่อหลี่ฉางโซ่วเรียกขานไป๋เจ๋อว่า “ท่านครูไป๋” ไป๋เจ๋อก็ค่อยๆละทิ้งตัวตนไปทีละน้อย
ในยามนี้ เขารู้สึกใกล้ชิดกับหลี่ฉางโซ่วมากขึ้นจริงๆ…
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่คิดที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ของเขากับไป๋เจ๋อเลย
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เรียบเรียงความคิดของเขาให้กระจ่าง ชัดเจน และจงใจเปิดแผลเป็นของไป๋เจ๋อ…
“ท่านครูไป๋ ในการแข่งขันระหว่างท่านและข้า ข้าชนะเพราะความโชคดีของศิษย์น้องหญิงของข้า ทว่ามันก็เป็นเพราะท่านครูไป๋สาวไหมพันตนเองเช่นกัน”
ไป๋เจ๋อขมวดคิ้ว
“ข้าจะพันตนเองได้อย่างไรกัน?”
หลี่ฉางโซ่วดึงแขนเสื้อขวาด้วยมือซ้ายแล้วรินสุราอุ่นๆ ลงในจอกของไป๋เจ๋อ
จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มพลางกล่าวออกมา ราวกับว่า เขากำลังพูดถึงเรื่องเล็กน้อยทั่วไป
“พลังแห่งเต๋านั้นยากที่จะสงบลงได้ และยากที่จะลิขิตสวรรค์ได้ และจิตใจของสิ่งมีชีวิตก็ยากจะสงบลงได้
ในกาลก่อนนั้น ท่านได้ก่อตั้งพันธมิตรกับเทพปีศาจ และสร้างเผ่าจอมปราชญ์บนยอดเขาปู้โจว
ท่านได้รับพลังแห่งเต๋าสวรรค์และต่อสู้กับพวกเผ่าเวท ต่อสู้เพื่อสวรรค์และปฐพี และช่วยเหลือจักรพรรดิปีศาจ
ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการปีศาจ สำราญใจกับการได้รับการเคารพยกย่องจากเผ่าปีศาจทั้งมวล
หลังจากนั้น ศาลปีศาจก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลงทีละน้อย ท่านได้รักษาชื่อเสียงของท่าน และรีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วทั้งที่อยู่ในฐานะอันรุ่งโรจน์
ท่านใช้ชีวิตสมถะ พเนจรตามลำพังไปเรื่อยๆ ดั่งเมฆล่องลอยและกระเรียนป่า แม้ท่านจะหนีรอดจากกรรมของมหาสงครามจอมเวท-ปีศาจได้ แต่ท่านก็หนีจากกรรมของเผ่าปีศาจไปไม่ได้
ในครั้งนี้ ลู่หยาได้ขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส แต่ท่านครูก็ไม่สนใจ และท่านก็มอบกลยุทธ์ให้แก่ลู่หยาในการรวบรวมเหล่าปีศาจเพื่อต่อสู้กับศาลสวรรค์
ท่านสละเผ่าปีศาจเพื่อช่วยศาลสวรรค์ ลู่หยาและตัวท่านครูเอง
ในการสนทนาก่อนหน้านี้ ท่านได้บอกข้าว่า เหล่าจอมปราชญ์ และเหล่าปีศาจนั้นแตกต่างกัน
ท่านครูถือว่าตัวเองเป็นปราชญ์ผู้สูงศักดิ์และดูถูกปีศาจที่ดุร้าย แต่ก็ลืมไปแล้วว่าจอมปราชญ์และปีศาจนั้น เป็นเพียงคำสองคำที่ให้ความหมายแตกต่างกันเท่านั้น
พวกท่านทุกคนล้วนมาจากเผ่าเดียวกัน
เรื่องนี้ไม่ขัดต่อโชคของท่านหรือ? ท่านจะอาชนะได้อย่างไร?”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเล็กน้อยพลางยกจอกสุราขึ้นและกล่าวต่อไป
“เวลานี้ มนุษย์เป็นตัวเอกของโลก การกระทำของท่านไม่ได้ผิดในสายตาของคนนอก พวกเขาจะยังสรรเสริญให้กับความชอบธรรมของท่าน
ทว่าท่านครูไป๋…
ในเมื่อท่านก็ได้มาเป็นชาวสวนและเพลิดเพลินกับความสุขในการดูแลรักษาดอกไม้และชมดอกไม้เบ่งบาน แล้วท่านจะต้องทนกับความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่ได้เห็นดอกไม้ร่วงโรย และตกลงไปในโคลน
นี่คือ เต๋าแห่งการได้มาและเสียไป นอกจากนี้ยังเป็นเต๋าของความสมดุลแห่งสวรรค์และปฐพีอีกด้วย
ข้าไม่ได้ขอให้ท่านครูไปช่วยเผ่าปีศาจอีก ในขณะนี้ ท่านครูไป๋ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า และข้าก็กำลังต่อต้านเผ่าปีศาจอยู่เช่นกัน
ทว่า ข้า หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ต้องการที่จะเป็นปีศาจคนต่อไปหรือเป็นจักรพรรดิปีศาจคนต่อไปในสายตาของท่านครูไป๋
ดังนั้น เมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ต้องการช่วยชีวิตท่าน ข้าก็จะไม่แสวงหาการวางแผนต่อต้าน กลอุบาย แผนการ และทักษะความสามารถอื่นๆ ของท่านครูไป๋
แต่ข้าก็จะไม่มีวันละทิ้งความตั้งใจที่จะสังหารท่าน
ท่านครูไป๋ ท่านหาใช่สิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแก่การยกย่องชื่นชมไม่ และท่านก็มิใช่ผู้มากพรสวรรค์ที่ข้าชื่นชม
เพียงเฉพาะผู้ที่ไม่มาเมื่อมีชื่อเสียงหรือไม่จากไปเมื่อตกต่ำเท่านั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในโลกบรรพกาล แต่ท่านครูไป๋ ท่านไม่คู่ควรในยามนี้”
หลังจากกล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ดื่มสุราในจอกของเขาจนหมดในรวดเดียวและค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ไป๋เจ๋อขมวดคิ้วมุ่นและจ้องมองไปยังถ้วยและจานที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าเขาอย่างมึนงง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลี่ฉางโซ่วจากไปเมื่อใด
เมื่อไป๋เจ๋อได้สติกลับมาอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงของหลี่ฉางโซ่ว…
“ข้าจะกลับมาดื่มกับท่านครูไป๋ในอีกสามวัน และข้าก็หวังว่าท่านครูไป๋จะหักล้างคำพูดของข้าในวันนี้ได้
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยากที่จะหาคนเช่นท่านได้”
ก้าวแรกของการเพิ่มความชื่นชอบ พิชิตใจ
………………………………………………………………..