ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - บทที่ 782 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (1)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- บทที่ 782 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (1)
บทที่ 782 ไป๋เจ๋อแสดงพลังเป็นครั้งแรก และสำนักบำเพ็ญประจิมก็วางแผนการอีกครั้ง (1)
บนภูเขาเฉียนหยวน มีเมฆสีขาวบินออกมาจากค่ายกลใหญ่จินกวง และค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว
บนก้อนเมฆนั้น หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงเพื่อมองไปยังศิษย์หลานของเขาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เขา
เขามองดูสีหน้าน่าสงสารของศิษย์หลานที่พยายามจะอดทนอย่างเต็มที่
ทว่าดวงตาของเขาก็ยังคงแดงก่ำ เช่นเดียวกับไหล่ของเขาที่ยังคงสั่นสะท้านอยู่อย่างต่อเนื่อง และห่วงรัดศีรษะเต๋าที่สั่นไหวเบาๆ…
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกผิดทันทีราวกับว่าเขาได้ทำอะไรผิด มันเป็นหลิงจูจื่อที่ยอดเยี่ยม
“ศิษย์หลาน” หลี่ฉางโซ่วเรียกอย่างอบอุ่น
หลิงจูจื่อเงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแอ ดวงตาของเขาฉายแววสิ้นหวังเล็กน้อย “อาจารย์อาฉางเกิง ข้าสบายดีขอรับ”
หัวใจเต๋าของหลี่ฉางโซ่วแทบจะหลอมละลายในทันที
เขารีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาเจ้าไปที่ศาลสวรรค์ สิ่งมีชีวิตที่นั่นน่าสนใจมากและยังอ่อนโยนอย่างยิ่งอีกด้วย
ไม่เช่นนั้น เรามาเดิมพันกันดีหรือไม่เล่า?”
หลิงจูจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คมชัดว่า “ท่านอาจารย์อา เราจะเดิมพันกันอย่างไรเล่าขอรับ?
ท่านอาจารย์บอกว่าการพนันไม่ใช่วิสัยที่ดี ท่านต้องมีหัวใจเต๋าที่มั่นคงและต้องมั่นใจว่าจะจัดการสิ่งต่างๆ ได้”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเงียบงันทันที
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าก็รับปากกับอาจารย์อาว่าจะเป็นสหายที่ดีในศาลสวรรค์ เช่นนี้ เป็นอย่างไรเล่า?”
“ได้ขอรับ” หลิงจูจื่อพยักหน้ารับ “ศิษย์จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามการจัดเตรียมการของท่านอาจารย์อาขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างอบอุ่นและไม่เอายวาจาใดอีก จากนั้นเขาก็ขี่เมฆตรงไปยังประตูสวรรค์กลาง
ในระหว่างทางไปที่นั่น หลี่ฉางโซ่วก็ยังจงใจบินวนไปครึ่งรอบที่ขอบของพื้นที่ที่พวกเผ่าปีศาจควบคุมอยู่
เมื่อเขากลับมา จริงๆ แล้ว เขาก็กลัวว่าจะถูกเหล่าปรมาจารย์เผ่าปีศาจซุ่มโจมตี ดังนั้นเขาจึงจงใจวนไปรอบๆ ที่ประตูสวรรค์ประจิมเหนือดินแดนเทวะประจิม
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภูเขาวิญญาณก็ไม่กล้าออกหน้ากระทำการอย่างโจ่งแจ้งและทำเรื่องยากให้เขา ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และย่อมจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาใกล้ๆ กับภูเขาวิญญาณแห่งนั้น
ในระหว่างทาง หลี่ฉางโซ่วไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแอบสังเกตปฏิกิริยาของหลิงจูจื่ออยู่ลับๆ เพื่อหวังจะเข้าใจตัวตนทั้งหมดของหลิงจูจื่อให้เร็วที่สุด
ในขณะนั้น อารมณ์ของหลิงจูจื่อส่วนใหญ่ก็เต็มไปด้วยความกังวลใจ
เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่เคยออกจากภูเขาฉียนหยวนเลยนับตั้งแต่เขากลายร่าง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางไกลอีกด้วย
“อาจารย์อาฉางเกิง…”
“หือ?” หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงเมื่อได้ยินเสียง
หลิงจูจื่อกำลังมองดูเขา ดวงตาโตของเขาคู่นั้นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่ฉายรอยแห่งความอับจนหนทางเล็กน้อย
“ที่ข้าเป็นเช่นนี้ มันผิดปกติหรือไม่ขอรับ?
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะมีปัญหาลำบากใจยิ่ง เขาเอาแต่บอกว่าเขาอยากให้ข้าเป็นลูกผู้ชาย
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออาจารย์อาอวี้ติ่งมองมาที่ข้า เขาก็มักจะมองข้าด้วยท่าทีสงสารเห็นอกเห็นใจอยู่บ่อยๆ”
“ฮ่าๆๆ” หลี่ฉางโซ่วรู้สึกขบขันกับหลิงจูจื่อ
หลิงจูจื่อขมวดคิ้วและมองหลี่ฉางโซ่วด้วยความสับสนไม่เข้าใจ “อาจารย์อาฉางเกิง มีอันใดผิดไปหรือขอรับ?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางโบกมือของเขา และยังนั่งขัดสมาธิบนก้อนเมฆ
รูปลักษณ์ที่ดูใจดีมีเมตตาด้วยเส้นผมสีขาวและคิ้วสีขาวของเขา ทำให้หลิงจูจื่อรู้สึกใกล้ชิดสนิทกับเขามากขึ้น
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ที่ท่านอาจารย์ของเจ้าเอาแต่คอยพร่ำบอกให้เจ้าเป็นลูกผู้ชายบ่อยๆ ก็เป็นเพราะเขาคิดว่าเจ้าเป็นคนมีอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหวเกินไป
ศิษย์น้องอวี้ติ่งก็ไม่ได้เห็นใจเจ้าเช่นกัน เขายังคิดเช่นกันว่าเจ้าอ่อนแอมากเกินไป
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว บุรุษเป็นตัวแทนของความเป็นลูกผู้ชายในขณะที่สตรีก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหญิง
ทว่านั่นก็ยังไม่ได้แน่นอนเด็ดขาดไปเสียทั้งหมด แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น
ศิษย์พี่ไท่อี่ค่อนข้างหยาบในเรื่องนี้ เขาไม่อาจบอกเจ้าได้ทันการณ์ และเพียงอยากให้เจ้าเป็นลูกผู้ชายเท่านั้น
หยินและหยางแห่งสวรรค์และปฐพีนี้ ไม่ได้ตรงข้ามกันไปเสียทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง และก็ไม่ได้แบ่งแยกแตกต่างกันอย่างเด็ดขาดเสียทีเดียว”
หลิงจูจื่อเม้มปากพลางครุ่นคิด
หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสริมว่า “หากเจ้าอยากให้ท่านอาจารย์ของเจ้ามีความสุข เจ้าก็เพียงแค่เปลี่ยนนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าบ้างเท่านั้น”
หลิงจูจื่อรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ท่านอาจารย์อา โปรดเมตตาชี้แนะสั่งสอนข้าด้วยเถิดขอรับ!”
“วันนี้ไม่สะดวกที่ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังมากไปกว่านี้”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ไว้เมื่อเราไปถึงศาลสวรรค์หลังจากนี้ ข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับสหายที่ดีๆ สองสามคน
เจ้าสามารถใช้เวลากับพวกเขาสักพัก และค้นหาดูด้วยตัวเองว่า ท่านอาจารย์ของเจ้าอยากให้เจ้าเป็นอย่างไร”
ทันใดนั้นหลิงจูจื่อก็ลังเลที่จะพูดออกไป
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้กล่าวต่อไป แต่เขาหยิบพระสูตรออกมาเล่มหนึ่งแล้วมอบให้หลิงจูจื่อเพื่อคลายความเบื่อหน่ายระหว่างทาง
หลิงจูจื่อเป็นไข่มุกวิญญาณโบราณที่ถือกำเนิดในวังอวี่ซวี และเริ่มฝึกบำเพ็ญในฐานพลังเซียนเสิ่น และบัดนี้ เขาก็อยู่ในชอบเขตเซียนเทียนขั้นปลายแล้ว ซึ่งยังคงห่างไกลจากขอบเขตเซียนจินอยู่บ้าง
ทว่าหลิงจูจื่อมีรากฐานที่ลึกล้ำ และการพึ่งพาที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดก็คือ ปราณวิญญาณที่ได้รับพรบริสุทธิ์ของตัวเขาเอง
หากเขาฝึกฝนจนกลายเป็นเซียนจินและมีประสบการณ์หลายแสนปี เขาก็จะกลายเป็นเซียนจินที่ได้รับพรบริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับอวิ๋นจงจื่อ ซึ่งจะสามารถเพิ่มโชคให้สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้
บัดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เกิดจินตนาการพลุ่งพล่านในใจ…
ในเรื่องราวดั้งเดิมของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งแห่งการพาล และใช้อำนาจบาตรใหญ่กดขี่ข่มเหงอย่างไร้เหตุผลของเหล่าศิษย์รุ่นที่สอง
ในขณะที่ฝ่ายสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานก็มีชื่อเสียงในเรื่องที่ศิษย์รุ่นที่สามได้ต่อสู้อย่างรุนแรงบ้าคลั่งกับศิษย์รุ่นที่สองของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย
ตัวอย่างเช่น หยางเจี้ยนเจิ้นจุนแห่งชิงหยวนเมี่ยวเต๋าผู้ได้ฝึกฝนวิชาลับแปดเก้า และมีตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์อยู่ในร่างของเขาก่อนจะเข้าสู่ภัยพิบัติ
ในชีวิตชาติก่อน หลังจากที่หลิงจูจื่อเข้าสู่ภัยพิบัติ เขาก็ได้ใช้ปราณวิญญาณรวมเข้ากับกายาบงกช เขาคือ เทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งเทวาสถานท้องทะเลทั้งสาม เทียนถานไห่หุย นาจา
………………………………………………………………..